ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นวันแรกที่เริ่มมีมาตรการคลายล็อกดาวน์ ให้สถานประกอบการหลายแห่งเริ่มกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาด รวมถึงร้านอาหาร ที่เป็นแหล่งอาชีพของเหล่านักดนตรีกลางคืน หากแต่ทาง ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ยังไม่อนุญาตให้ร้านอาหารเล่นดนตรีสดได้ เพราะกังวลเรื่องการรวมกลุ่มที่แออัด
แพทย์หญิง อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ให้ความเห็นว่า คนนั่งฟังดนตรีอาจเพลินและเผลอถอดหน้ากากอนามัย รวมถึงนักดนตรีอาจเดินทางหลายสถานที่ จึงหวั่นว่าอาจเกิดการแพร่ระบาด ทำให้ภายใต้การคลายล็อก
นั่นทำให้อาชีพคนดนตรี เป็นหนึ่งในอาชีพที่ปิดก่อน – เปิดทีหลัง และไม่ได้รับการเยียวยา ซึ่งจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีอนาคตว่าจะได้กลับมาทำงานเมื่อไร…
The Momentum ติดต่อพูดคุยกับ ‘เอ’ ฐิติภัทร อรรถจินดา นักร้องนำแห่งวงดนตรี Safeplanet หนึ่งในสมาชิก ‘สมาพันธ์ผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืนฯ’ และเป็นตัวแทนพี่น้องศิลปินแห่ง ‘ชมรมคนดนตรีแห่งประเทศไทย’ ที่ออกมายื่นหนังสือให้รัฐบาลผ่อนปรนและเยียวยา ให้กลุ่มผู้ประกอบการอาชีพธุรกิจกลางคืน และธุรกิจบันเทิง ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถึงสถานการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นภายใต้การคลายล็อก ที่กลุ่มคนกลางคืนและนักดนตรีกลางคืน ยังคงถูกปิดผนึกต่อไปเหมือนเดิม
สถานการณ์ของวง Safeplanet ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง งานล่าสุดที่เล่นผ่านมานานขนาดไหน
ช่วงนี้ทางวงก็ทำเพลง ทำอัลบั้ม อยู่ที่บ้าน มีงานออนไลน์บ้าง อัด Live Session บ้าง แต่ก็ถือว่าโชคดีกว่านักดนตรีที่เล่นประจำตอนกลางคืน เพราะพวกเรายังพอมีงานออนไลน์ให้เล่น ก่อนหน้านี้ช่วงเวลาปกติ ถ้ามากสุดวงเรามีเล่นประมาณ 21 งานต่อเดือน แต่เฉลี่ยปกติจะอยู่ที่ 10-12 งาน ต่อเดือน
เราจำได้แม่นว่างานสุดท้ายที่เล่นคือ วันที่ 9 มีนาคม 2564 ที่โคราช แต่หากรวมที่โดนหยุดเล่นมาทั้งหมดก็ประมาณหนึ่งปี คือ สามร้อยวัน เพราะก่อนมีนาคมก็เคยโดนปิดมาแล้ว เพิ่งมาเปิดปลายกุมภาพันธ์ มีนาคม เพิ่งได้กลับมาเล่นได้เดือนเดียว ประมาณสิบงาน แล้วก็ถูกสั่งปิดยาวมาจนถึงตอนนี้
ตอนนี้เริ่มคลายล็อกแล้วตั้งแต่ 1 กันยายน แต่ ศบค. ยังห้ามเล่นดนตรีสดในร้าน คุณคิดเห็นอย่างไร
เราคิดว่าเขาไม่ได้เห็นความสำคัญของอาชีพนักดนตรีหรือทุกอาชีพที่พ่วงมากับนักดนตรี ที่เป็นอาชีพกลางคืนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผับ บาร์ หรือร้านอาหาร เขาจะติดอยู่กับความคิดที่ว่า ฝั่งกลางคืนเป็นคนไม่ดี เป็นพวกอบายมุข เป็นคนที่ทำให้ทุกคนเสียสติ คือทั้งที่คนกลางคืนก็เดือดร้อนกันมานาน ไร้ความหวัง
ความจริงเราอยากขอให้รัฐสั่งเปิดตามมาตรฐานเดียวกัน จะมีมาตรการที่เข้มงวด หรือต้องการ requirement อย่างไร เราก็พร้อมที่จะให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระยะห่าง ฉากกั้น หน้ากากอนามัย การไม่พูดคุยกับคนดู หรืออะไรก็ตาม หรือแม้กระทั่งการเว้นระยะห่างในร้านของผู้บริโภค เราคิดว่ามันทำได้ ถ้าเขาจะทำจริงๆ เพราะเราคิดว่าในชีวิตประจำวัน ก็เห็นว่าหลายอย่างไม่ค่อยสมเหตุสมผลอยู่แล้ว อย่างเช่น การเราไปเดินห้าง ขึ้นรถไฟฟ้า ขึ้นรถเมล์ อาจจะเสี่ยงกว่าด้วยซ้ำ หรือรัฐสภา ก็แออัดเหมือนกัน เราไม่ได้จะมางอแงว่า ทำไมพวกเราคนกลางคืนไม่ได้เปิดด้วย แต่เหมือนคุณใช้คนละมาตรฐานกับพวกเราที่เป็นคนกลางคืน
พวกเราเองก็ไม่ได้อยากทำงาน หรือไม่ได้อยากเปิดร้าน ถ้าเกิดเราใช้คำว่ามันเสี่ยงมาก เพราะเจ้าของร้าน หรือคนที่เกี่ยวข้อง ทุกคนกังวลเรื่องนี้เป็นอันดับแรกอยู่แล้ว ว่าจะเกิดคลัสเตอร์ หรือการแพร่ระบาด ทุกคนมีเรื่องนี้ในใจอยู่แล้ว แต่อย่างน้อย ให้เขาได้เปิดเพื่อมีรายได้จ่ายค่าเช่า หรือค่าพนักงานก็ยังดี ไม่ได้ขอให้มันกลับมาแบบฟูลสเกล หรือทำกำไร ทุกคนไม่ได้คาดหวังขนาดนั้นอยู่แล้วในสเต็ปแรก
คำพูดของ ศบค. ที่ว่า ‘กลัวคนฟังเพลินถอดแมสก์ แล้วเกิดการแพร่โรค’ คุณเห็นข่าวแล้วรู้สึกอย่างไร
พูดไม่ออก มีคำพูดแย่ๆ ในหัวเต็มไปหมด เรื่องถอดแมสก์ เมื่อวานเราไปกินข้าวที่ห้าง เราก็ถอดแมสก์กิน แต่อย่างที่บอก เขาจะมีความเชื่อแบบคนแก่ว่า ในร้านอาหารที่มีดนตรี คนกินเหล้าอาจจะกินแก้วเดียวกัน ไปกอดคอกัน ไปเต้นกัน ซึ่งเท่าที่เราทำงานมา ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่แบบนั้น โอเค มันอาจจะมี แต่ว่าถ้ามีมาตรการเข้มงวด หรือมีบทลงโทษที่จริงจังในช่วงนี้ มีการปรับหนักๆ เราเชื่อว่าไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนหรอก หรือเราเป็นเจ้าของร้าน ถ้าเราเห็นโต๊ะไหนผิดกฎ เราก็อาจจะเชิญออกได้ แต่ว่ารัฐเลือกจะไม่ทำ
มีสถิติมากมายที่บอกว่า คนกลางคืนไม่ได้เป็นแย่ขนาดนั้น เช่น งานมิวสิคเฟสติวัลต่างๆ ไม่เคยมีคลัสเตอร์เกิดขึ้นเลยนะ แล้วถามว่ามันเกิดขึ้นที่ไหน เราก็รู้กันดีอยู่ว่ามันเกิดขึ้นจากคนมีอำนาจทั้งนั้น แต่มันกลายเป็นเหมารวมไปหมดทุกอย่าง สุดท้ายก็ตราหน้าคนกลางคืนว่าเป็นตัวแพร่เชื้อ ซึ่งเรากล้าให้เอาตัวเลขมากางได้เลย ถ้าเขามีตัวเลขนะ ว่าคลัสเตอร์ใหญ่ๆ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากสถานบันเทิงทั้งหมด
กังวลไหม วัคซีนดีๆ ก็ยังไม่มีเข้ามา เดี๋ยวถ้ามีการอนุญาตให้เล่นในร้าน แต่ถ้ามีการระบาดเกิดขึ้น คนกลางคืนอาจตกเป็นเหยื่อถูกสั่งปิดอีก
ความจริงก็กังวล แต่ตอนนี้เราอยู่กับสมาพันธ์ผู้ประกอบการกลางคืน เราเป็นตัวแทนชมรมคนดนตรี เราทำหนังสือออกมาตรการมาเพื่อไปยื่นกับ ศบค. ซึ่งตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ เรามีมาตรการหลายข้อที่คิดว่าเขาน่าจะรับฟัง เช่น คนมาร้านต้องฉีดวัคซีนกี่เข็มขึ้นไป หรือต้องมีวัคซีนพาสปอร์ต สอง การจัดคอนเสิร์ต หรือการเข้าร้าน ต้องมีชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ซึ่งถ้า ATK ไม่โดนโกง ก็ไม่ได้แพงเลย ใครก็ซื้อได้ มันมีต้นตอเยอะมาก แต่วัคซีนก็น่าจะเป็นหัวข้อหลักที่สุด ถ้า mRNA หรือวัคซีนตัวดีๆ มาเร็วกว่านี้ เราว่ามันไม่แย่ขนาดนี้หรอก
เราเห็นหลายประเทศกลับมาจัดคอนเสิร์ตกันเต็มรูปแบบแล้ว ขณะที่บ้านเรานักดนตรียังถูกสั่งห้ามเล่นในร้าน คุณรู้สึกอย่างไร
เรารู้สึกถึงการเปรียบเทียบของการทำงานของรัฐบาล ระบบสาธารณสุขบ้านเขาสามารถรองรับได้ และมีวัคซีนดี มีภูมิคุ้มกันสูง ในขณะที่วัคซีนหลักของบ้านเรา มีภูมิน้อยมาก เราคิดว่าการ Corrupt ของการจัดการมันส่งผลขนาดนั้น เพราะคิดว่าประเทศเราไม่ได้จน มันมีทรัพยากรที่จะจัดหาให้ได้แบบสากล แต่ว่าเราก็พูดได้แค่ข้อกล่าวหาว่าเขา Corrupt ตั้งแต่เรื่องหน้ากาก เรื่องวัคซีน แล้วเราคิดว่าระบบการจัดการสาธารณสุขเรากำลังล่ม
ตอบตรงๆ ว่าตอนนี้คิดถึงการเล่นดนตรีสดทุกวัน คิดถึงอยู่ตลอดทุกครั้งที่อยู่หน้าคอมทำเพลง คิดว่าอยากเอาเพลงนี้ไปเล่น อยากไปเจอแฟนเพลง คิดถึงการเดินทาง เพราะเราก็ไม่ได้ทำอาชีพอื่น เราเป็นนักดนตรีมาสิบปีแล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเป็นอย่างเดียวที่เราทำได้
Tags: นักดนตรีกลางคืน, covid19, Safeplanet