วันนี้ (27 เมษายน 2565) รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล แถลงข่าวที่ห้องแถลงข่าวอาคารรัฐสภา เรื่องท่าทีของรัฐบาลที่จัดการกับกรณีการค้ามนุษย์ในประเทศไทย จากที่สำนักข่าวระดับโลกอย่างอัลจาซีรา (Al Jazeera) ได้เผยสารคดีชีวิต ‘ตำรวจไทยผู้ไร้ความกลัว’ ในวันที่ 21 เมษายน 2565 ซึ่งเป็นเรื่องราวของอดีต พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ นายตำรวจผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการเครือข่ายค้ามนุษย์จนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดรายหลายและหนึ่งในนั้นคือนายทหารยศใหญ่ และหลังจากนั้นได้มีคำสั่งย้าย ปวีณ ลงไปพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่เป็นพื้นที่ของผู้ทรงอิทธิพลเรื่องการค้ามนุษย์โดยตรงอย่างกะทันหัน ซึ่งการย้ายครั้งนี้ ปวีณ มองว่าไม่ต่างจากส่งเขาให้เข้าปากเสือ จนทำให้เขาต้องตัดสินใจลี้ภัยและไปใช้ขีวิตเป็นแรงงานนอกประเทศไทย

โรมระบุว่า 6 วัน หลังจากสารคดีของอัลจาซีราเผยแพร่ เขายังไม่เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดออกมารับผิดชอบ หรือตอบคำถามเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจน มีแต่เพียงเสียงเรียกร้องให้พลตำรวจตรีปวีณกลับมาประเทศไทยและเปิดเผยหลักฐานต่างๆ พร้อมกับระบุว่า ในขบวนการค้ามนุษย์นั้น ยังคงมี ปลาตัวใหญ่ที่ยังลอยนวลอยู่

“เรื่องการลี้ภัยไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายดาย ทั้งหมดย่อมมีเหตุผล คุณปวีณพูดเสมอว่ามีเหตุอะไรบ้าง ผมก็ย้ำตลอดว่าคืออะไร แล้วทำไมรัฐบาลยังนิ่ง ทำไมถึงไม่จัดการขบวนการที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ ผมก็ไม่แน่ใจนะว่าที่ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ต้องการให้คุณปวีณติดต่อมา ตัวเขาเองก็เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ด้วยหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น การกลับประเทศไทยของคุณปวีณก็ยิ่งเป็นไปได้ยากมากขึ้น สิ่งที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดคือมีบุคลากรของรัฐบาลนี้เข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าเป็นแบบนั้น โอกาสที่เราจะเห็นคุณปวีณกลับมาในประเทศไทยภายใต้รัฐบาลนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

“สรุปว่าเราจะมีรัฐบาลนี้ไปทำไม ถ้าสุดท้ายเราต้องให้คนที่เป็นผู้ลี้ภัยทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวของเขาเอง ผมเองมีความคาดหวังอย่างสูงหลังจากมีการเปิดเผยจากสื่อระดับโลก แน่นอน สิ่งที่ตามมาหลังจากนี้คือประเทศต่างๆ ก็จะจับตามองมาที่ประเทศไทย ว่าทำไมเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีคุณูปการในการแก้ไขปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ถึงได้กลายเป็นผู้ลี้ภัย ซึ่งรัฐบาลต้องตอบคำถามนี้”

โรม ยังได้เผยหลักฐานชิ้นสำคัญในกรณีนี้ว่า ในวันที่มีการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มีคำสั่งย้ายพลตำรวจตรีปวีณไปอยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น พลเอกประวิตร ก็นั่งอยู่ในห้องประชุม และเป็นประธานการประชุม โดยมีบันทึกการประชุมอย่างชัดเจน 

“พลเอกประวิตรรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำคืออะไร เพราะเป็นผู้ที่ย้ายนายตำรวจซึ่งจัดการเรื่องค้ามนุษย์ ให้ลงไปอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในพื้นที่ซึ่งอันตรายต่อตัวเขา มันไม่มีความจำเป็นแบบนั้น  เรื่องนี้ เรายังไม่เคยได้รับคำตอบใดๆ จากเจ้าหน้าที่หรืออดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น  มีเพียงคำตอบจากอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านหนึ่ง ตอบว่า พลตำรวจตรีปวีณ ต้องการตำแหน่งที่สูงขึ้น เมื่อไม่ได้ก็ไม่พอใจ ซึ่งถามว่าความไม่พอใจถึงขั้นทำให้เขาต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย กลายเป็นมาเป็นแรงงานนั้น สมเหตุสมผลหรือไม่”

โรมยังได้ชี้แนะว่า ให้เริ่มที่การสอบสวน พลเอกประวิตรก่อน โดยหากไม่เริ่มจากตรงนี้ ก็ยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหากรณีการค้ามนุษย์เลย พร้อมกับตั้งคำถามไปถึงกองทัพเรือ ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่มีท่าทีที่ชัดเจนทั้งในเรื่องการตอบคำถาม หรือจัดการเรื่องนี้ และเป็นไปได้อย่างไรที่เรือประมงขนคน แล้วกองทัพเรือของไทยจะไม่มีศักยภาพในการตรวจจับตั้งแต่ต้น ซึ่งในที่สุด กองทัพเรือ ต้องเป็นด่านหน้าที่สุดด้วยซ้ำไป ขณะที่หน่วยงานที่ควรรับรู้มากที่สุดในเรื่องการค้ามนุษย์อีกหน่วยงาน ก็คือกระทรวงมหาดไทย

“ทำไมกองทัพเรือเสียงดังเฉพาะเวลาจะซื้อเรือดำน้ำ แต่ในเวลาที่คุณล้มเหลวเรื่องการจัดการการค้ามนุษย์ เราไม่เห็นกองทัพเรือตอบคำถามอะไรเลย ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีอีกหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ไม่ตอบคำถามอะไรเลย ตัวท่านคุมมหาดไทย เป็นไปได้อย่างไร ที่มีการขนมนุษย์จากจังหวัดระนอง สู่สงขลา ท่านจะไม่รู้เรื่องเลย แล้วแคมป์โรฮีนจาก็มีมานาน ผู้ว่าราชการจังหวัดจะไม่รู้จริงๆหรือว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

“เราหวังอยากเห็นรัฐบาลออกมาตอบปัญหานี้ และหากรัฐบาลตอบได้ไม่ดี ย่อมส่งผลไปถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน และเรื่องการค้ามนุษย์รวมถึงเรื่องแรงงานอีกมากมาย กลับกันหากตอบคำถามได้ต่างชาติก็จะเข้าใจประเทศไทยมากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พรรคก้าวไกลได้ออกมาเปิดเผย ก็คือการเปิดเรื่องราวการคามนุษย์ และการโยกย้ายตำรวจน้ำดีที่ตั้งใจทำงาน แต่โดนกลั่นแกล้งถึงขั้นเจตนาเอาชีวิต จนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ รวมถึงได้เปิดเผยเบื้องหลังของขบวนการที่เลวร้ายในการอาศัยประเทศไทยทำมาหากิน และที่สำคัญที่สุดคือการคืนศักดิ์ศรี เกียรติยศและความเป็นมนุษย์ของนายตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงฉินมาโดยตลอด พร้อมกับย้ำว่านายตำรวจน้ำดีคนนี้คงยังไม่กลับประเทศไทยจนกว่าจะสิ้นสุดรัฐบาลนี้

Tags: , , ,