วันนี้ (25 มีนาคม 2568) ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รังสิมันต์ โรม สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายในประเด็น ‘ดีลแลกประเทศ ตระกูลชินวัตรได้อะไร’ โดยตั้งคำถามถึงการเข้ารับการรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพ่อของแพทองธารว่า เป็นมหากาพย์การหลอกลวง เป็นดีลแลกประเทศเพื่อพาพ่อกลับบ้าน และไม่ต้องนอนคุกแม้แต่วันเดียว
“ลี้ภัยมา 15 ปี ที่ผ่านมาอยากกลับไทยใจจะขาด ทุกคนทราบ แต่กลับมาไม่ได้ แต่อะไรที่ทำให้อยู่ๆ นายใหญ่ตัดสินใจกลับมาตุภูมิ โดยที่พลเอกประยุทธ์ (จันทร์โอชา) มีอำนาจอยู่ ไม่คิดจะรีรอให้นายกฯ ที่มาจากการรัฐประหารหมดอำนาจเสียก่อน ท่านประธานคิดว่า มันไม่แปลกเหรอครับกับการกลับมาของนายใหญ่ครั้งนี้ นับว่าง่ายดายอย่างประหลาด ขนาดในวันที่น้องสาวตัวเองเป็นนายกฯ ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของแพทองธาร นายใหญ่ก็กลับมาไม่ได้ มันเป็นเพราะดีลที่นายกฯ ทำมาใช่ไหม จึงทำให้นายใหญ่กลับบ้านได้ในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เป็นเพราะ ‘ดีลลังกาวี’ ใช่ไหม ที่มีบิ๊กสีอะไรสักอย่างหรือเปล่าเป็นผู้เกี่ยวข้อง จึงทำให้นายใหญ่มั่นใจว่า ครั้งนี้กลับมาประเทศไทยได้ กลับมาแล้วปลอดภัย”
รังสิมันต์กล่าวต่อว่า หากย้อนไทม์ไลน์หลักฐานการให้สัมภาษณ์ของแพทองธารจะพบว่า 2 วันก่อนทักษิณเดินทางกลับประเทศไทย นายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า พ่อไม่มีปัญหาสุขภาพ แข็งแรงดี และตรวจสุขภาพปีละ 2 ครั้ง แต่อะไรที่ทำให้อดีตนายกฯ ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจกว่า 180 วัน และขณะเดียวกัน สส.พรรคประชาชนก็ให้ความยุติธรรมว่า ทักษิณอาจจะป่วยจากการเดินทางกลับไทย ด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนและอายุที่มาก แต่ก็ตั้งคำถามถึงความร้ายแรงของโรคว่า
“คำตอบของเรื่องนี้อาจจะอยู่ที่ตอนนายใหญ่กลับถึงประเทศไทย แข็งแรงขนาดนี้ พบผู้คน คนมาต้อนรับ ผมหาไม่เจอเลยครับ ท่านอดีตนายกฯ มีปัญหาสุขภาพตรงไหน ไม่เห็นจุดสังเกตใดๆ ผมจึงสันนิษฐานว่า สุขภาพไม่น่ามีความแตกต่างอะไรจากเมื่อ 2 วันที่แล้ว ที่นายกรัฐมนตรีได้ให้การกับคนไทยทั้งประเทศ จึงนำไปสู่จุดที่ 3 ว่า อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อดีตนายกฯ จากคนที่สุขภาพแข็งแรงกลายเป็นผู้ป่วยวิกฤต ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในเรือนจำ เรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเราต้องไม่ลืมว่า ณ วันนั้น วันที่นายใหญ่กลับไทย ตอนนั้นใครเป็นนายกฯ คือประยุทธ์เขายังมีอำนาจ และเขามาจากการยึดอำนาจจากท่านยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
ขณะเดียวกันรังสิมันต์กล่าวหาแพทองธารว่า เหล่านี้คือดีลแลกประเทศที่นายกฯ สมคบคิดเพื่อช่วยเหลือพ่อตัวเองไม่ให้นอนคุกแม้แต่คืนเดียว
“ถ้าวันนั้นไอ้โม่ง 2 ตัวนี้ (พลเอกประยุทธ์และวิษณุ เครืองาม) ขัดขวางนายใหญ่เอาไว้ในเรือนจำ นายใหญ่ไม่มีทางที่จะได้ไปโรงพยาบาลตำรวจได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่ในเรือนจำอีกหลายวันกว่าคุณเศรษฐา ทวีสิน จะมีอำนาจเต็ม กระบวนการทั้งหมดนี้ท่านแพทองธารรู้เห็นทั้งหมด ตั้งแต่การขานรับผสมพันธุ์ข้ามขั้วไปจนถึงการทิ้งนโยบายหาเสียงต่างๆ นานา รวมไปถึงที่เคยบอกว่า จะมีการดำเนินคดีกับไอ้โม่ง มันไม่เกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างมันเป็นคำโกหก ทุกอย่างที่เคยสัญญากับพี่น้องประชาชน มันไม่มีความหมายอีกแล้ว เพราะวันนี้พ่อได้กลับบ้านแล้ว นี่คือดีลแลกประเทศครับ
“ดีลแลกประเทศที่นายกฯ สมคบเพื่อให้ได้ดีลนี้เกิดขึ้น เพื่อช่วยเหลือพ่อตัวเองไม่ให้นอนคุกแม้แต่วันเดียว ท่านประธานครับ จุดเริ่มต้นของชั้น 14 จึงเป็นดีลปีศาจเพื่อพาพ่อกลับบ้าน แต่ดีลนี้แลกกับอะไร ขั้วอำนาจเดิมกลับมามีอำนาจแบบนั้นหรือเปล่า มีอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า แล้วราคาที่ต้องจ่าย ใครจ่าย นายกฯ จ่าย หรือประชาชนในประเทศนี้เป็นผู้จ่าย และที่สำคัญเราจ่ายเป็นอะไร ประชาธิปไตย ประเทศที่มันควรจะก้าวหน้า ประเทศที่ไม่ควรจะมีรัฐประหารอีกต่อไป อะไรอีกครับที่พวกท่านได้พรากไปจากสิ่งที่ควรเป็นของคนไทย”
สส.พรรคประชาชนอภิปรายต่อว่า การที่นายกฯ และพ่อต้องโกหกว่าป่วยหนัก อาจเป็นเพราะ ‘โดนปีศาจเล่นงาน’ เนื่องจากแผนที่เตรียมไว้ตอนแรก ทักษิณจะต้องไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว โดยนายกฯ แพทองธารคิดว่า พ่อจะได้รับการอภัยโทษทั้งหมด ไม่ใช่ยังเหลือโทษจำคุก 1 ปี
“ผมแอบไปทราบมาว่า ท่านนายกฯ มารู้ว่านายใหญ่จะเหลือโทษจำคุกอีก 1 ปี คือหลังกลับถึงประเทศไทยแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าท่านแพธทองธารและสมัครพรรคพวกรู้ล่วงหน้านานกว่านี้ การเตรียมการทั้งหลายมันก็จะดีกว่านี้ การเล่นละครจะสมจริงกว่านี้ ส่วนนายใหญ่จะกลับประเทศไทยหรือไม่ เผลอๆ อาจไม่กลับ หรือถ้ากลับก็กลับมาในสภาพที่ใส่ปลอกคอ คล้องแขน หรือถูกหามมาด้วยหมอตั้งแต่แรก ไม่ต้องมาขายผ้าเอาหน้ารอดแบบนี้ ซึ่งเป็นความน่าอับอายหน้าขายขี้หน้า และลดความน่าเชื่อถือของนายกฯ อย่างรุนแรง”
อย่างไรก็ตามแม้ว่าดีลปีศาจที่เกิดขึ้นระหว่างแพทองธารและขั้วอำนาจเดิมจะไม่ตรงตามที่ตกลงไว้ทั้งหมด แต่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ เพราะดีลนี้ทำให้ทางเรือนจำรับตัวนายใหญ่เอาไว้เวลา 11.30 น. และกรมราชทัณฑ์ก็ได้แถลงใหญ่โต เวลา 12.40 น. ว่า ราชทัณฑ์ตรวจพบทักษิณป่วย 4 โรค หัวใจขาดเลือด ปอดผิดปกติจากการติดโควิด-19 ความดันสูง กระดูกสันหลังเสื่อม จัดอยุ่ในกลุ่มเปราะบางต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด แยกขังเดี่ยวในแดน 7 ซึ่งเป็นแดนพยาบาลในเรือนจำ
“จากการแถลงตรงนี้ส่อพิรุธว่า ชายไทยสุขภาพดี แม้จะสูงวัย แต่ก็ได้รับการยืนยันจากลูกสาวว่า สุขภาพของคุณแข็งแรงดี ได้รับการดูแลอย่างดีที่ดูไบ ตรวจสุขภาพปีละ 2 ครั้ง ไม่เจอโรคร้ายใดๆ แต่เมื่อมาตรวจสุขภาพที่เรือนจำ กลับกลายเป็นคนที่สุขภาพมีปัญหาร้ายแรง ทำไมคำให้การของแพทองธารกับทางเรือจำถึงได้สวนทางกันขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ห่างกันแค่ 2 วัน”
รังสิมันต์กล่าวต่อว่า หลังจากถูกส่งตัวไปรักษาด่วนที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ที่แผนกรักษาตัวหอผู้ป่วยพิเศษระดับสูง หรือ Premium แต่หลังจากเข้าพักและถูกวิพากษ์วิจารณ์ โรงพยาบาลตำรวจจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอผู้ป่วยพิเศษ
“จึงมีข้อสังเกตว่า หากนายทักษิณป่วยตามที่ชี้แจงจริง ควรได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด และพักในห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน แต่ทักษิณกลับพักในห้องพิเศษ ซึ่งตามปกติมีไว้สำหรับผู้ป่วยที่พ้นจากภาวะวิกฤต และสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้วครับ
“นี่คือหลักฐานที่มัดตัวท่านนายกฯ ว่า กรณีชั้น 14 มันมีปัญหาจริงๆ มันมีพิรุธ มีความย้อนแย้งทำให้คนในสังคมตั้งคำถามว่า บิดาของท่านที่บอกว่าป่วย ป่วยเป็นอะไร วิกฤตแบบไหนไม่ต้องอยู่ห้องฉุกเฉิน แต่ไปอยู่ในห้อง VVIP แสดงว่าบิดาของท่านนายกฯ ช่วยเหลือตัวเองได้ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะรักษาในโรงพยาบาลตำรวจอีกต่อไป” รังสิมันต์ตั้งคำถาม
Tags: อภิปรายไม่ไว้วางใจ, รังสิมันต์ โรม