วันนี้ (1 มิถุนายน 2565) ที่รัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจง ภายหลัง ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคน อาทิ ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส. พรรคก้าวไกล จิราพร สินธุไพร ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดย พลเอกประยุทธ์ ระบุว่า เช้านี้งงๆ ว่าเวทีการอภิปรายงบประมาณ 2566 เป็นการอภิปรายงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล หรือเป็นการพิจารณางบให้กับพรรคการเมืองใหม่ที่ยังไม่เคยเป็นรัฐบาล ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ ระบุว่า อย่าใช้โอกาสนี้ และเวทีนี้ในการหาเสียง เพราะถือว่าผิดเวที

สำหรับการจัดเก็บรายได้ภาครัฐที่พลาดเป้านั้น พลเอกประยุทธ์ระบุว่า ในรอบนี้ มีการผ่อนคลาย ผ่อนผัน ลดดอกเบี้ย ในหลายรายการ ทำให้รายได้ภาครัฐสามารถจัดเก็บได้น้อยลง แต่สิ่งที่รัฐบาลทำไว้ คือการวางรากฐาน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้จีดีพีสูงขึ้นในระยะยาว สำหรับการใช้งบประมาณของรัฐบาล เป็นความพยายามจ่ายแบบพุ่งเป้ารายครัวเรือน และแก้ปัญหาแบบยั่งยืนให้ทุกคนอยู่รอด โดยทั้งหมด เป็นการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังบอกอีกว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับเรื่องโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยได้ใช้เรื่องดิจิทัลแก้ปัญหาเรื่องระบบราชการ เรื่องโควิด-19 เรื่อง Big Data หรือการพัฒนาเทคโนโลยี 5G โดยไทยเป็นประเทศแรกๆ ของอาเซียน ในการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล ทั้งนี้ ในปี 2564 ความเร็วเฉลี่ยเน็ตบ้านอยู่ที่ 308 ล้านบิทต่อวินาที มีโครงการอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน 7.4 หมื่นหมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการบริการโทรคมนาคมทั่วถึงและเท่าเทียมจนได้รับรางวัลจากนานาชาติ อีกทั้งยังสนับสนุนในเรื่องสังคมไร้เงินสด มีเรื่องบัตรสวัสดิการรัฐที่สามารถจ่ายตรงไปยังประชาชน 14 ล้านคน ริเริ่มระบบพร้อมเพย์ คิวอาร์เพย์เมนต์

“นอกจากนี้ เรื่องสาธารณสุข โครงการศิริราชสมาร์ทฮอสพิทัล รพ.อัจฉริยะ สถานีกลางบางซื่อ สถานีกลางอัจฉริยะ ยกระดับการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ สิ่งเหล่านี้ เกิดมาแล้ว แต่ท่านไม่พูดถึงเลย ท่านพูดถึงแต่ไอ้นี่ก็ไม่มี ไอ้นั่นก็ไม่ทำ เวลาพูดก็ไม่ฟัง แล้วหาทางโจมตีให้มากที่สุด เวลาท่านเป็นรัฐบาล ก็ต้องมาทำแบบผมนี่ล่ะครับ ทำอย่างไร จะร่วมมือ ผมไม่โทษใคร หลายอย่างต้องร่วมมือ อะไรที่ไม่ดี ไม่เห็นด้วย ก็ต้องนำไปพิจารณา งบประมาณผ่านจากข้างล่างขึ้นมาทั้งสิ้น กระทรวง ทบวง กรม สำนักงบประมาณ สภาพัฒน์ฯ นายกฯ ไปตั้งโครงการเองไม่ได้หรอกครับ”

พลเอกประยุทธ์ยังบอกอีกด้วยว่า รัฐบาลได้พยายามอย่างยิ่งยวดในการหาแหล่งรายได้ใหม่ ทั้งยังมีความพยายามปรับแก้หลักการว่า 30% ของงบประมาณภาครัฐต้องจ่ายเงินซื้อสินค้า ผลงานวิจัย พัฒนา ของประเทศ ทั้งวิสาหกิจชุมชน อาหารการกิน เครื่องอุปโภค บริโภค ซึ่งทำให้ วิสาหกิจชุมชนก็เติบโตขึ้นมากมาย และให้หลักการว่า ต้องทำให้ประชาชนรวมตัวกันให้ได้ ให้รวมตัวกันแล้วสร้างสรรค์ ไม่ใช่รวมตัวแล้วแตกแยกกัน ไม่มีผู้นำคนใดบริหารได้ท่ามกลางความขัดแย้ง

ส่วนการปรับขยายเพดานหนี้สาธารณะให้ขึ้นเป็น 70% ยืนยันว่ามีความจำเป็น เพราะมีหลายเรื่องเกิดขึ้นในระหว่างการบริหาร ทั้งโควิด-19 หรือการลงทุนในเรื่องอื่น ซึ่งเป็นการปรับระยะปานกลาง หาก 3 ปี ดีขึ้น ก็ลดกรอบหนี้ไปเหลือเท่าเดิม ไม่ใช่แช่ตลอดชีวิต หรือตลอดชาติ พร้อมกับบอกให้ฝ่ายค้านไปศึกษากฎหมาย

“ในเรื่องหนี้ครัวเรือน แน่นอน มันต้องเพิ่มขึ้น มันต้องเดือดร้อนแน่นอน แล้วคิดว่าผมไม่รู้สึกเหรอ ผมไม่เห็นใจคนเป็นหนี้เหรอ ไม่เห็นใจคนจนเหรอ จะเห็นว่าหลายโครงการ หลายงบประมาณ ทุ่มเทลงไปมหาศาล ในการที่จะให้ประชาชนเข้าถึง แต่จะให้มากอย่างที่ท่านต้องการ ยังทำไม่ได้ เพราะงบประมาณยังจำกัด ท่านพูดตัวเลขบอก 3,000 เหมือนน้อย เหมือนง่าย 1,000 นึง 2,000 มีกี่ล้านคน มีข้อมูลหรือเปล่า ก็ต้องให้ตามลำดับ นโยบายเราคือ อยู่รอด ปลอดภัย พอเพียง ลดหนี้สิน ลดปัญหา ท้ายสุดคือเกิดความยั่งยืน ต้องเดินอย่างนี้ ถ้ารื้อทั้งหมด ถ้าท่านมีโอกาส ท่านลองทำละกัน”

พลเอกประยุทธ์ยังได้แสดงอาการหงุดหงิด พร้อมกับบอกว่า อย่านำบริบทงบประมาณของประเทศไทยไปเทียบกับประเทศรายได้สูงมากนัก เพราะบริบทแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน พร้อมทั้งขอให้ฝ่ายค้านตามไปดูผลงานวิจัยและพัฒนา และขอให้ดูงานวิจัยใหม่ๆ ว่ามีกี่ร้อยชิ้น ใช้ประโยชน์อย่างไรไปบ้าง แต่ฝ่ายค้านไม่เคยดู แล้วยังพูดในพื้นที่ของตัวเอง และใช้โซเชียลมีเดียของตัวเองเท่านั้น

ด้าน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ใช้สิทธิ์พาดพิง ระบุตอนหนึ่งว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีระบุว่า พรรคฝ่ายค้านได้ใช้เวทีอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย 2566 เป็นเวทีหาเสียงของพรรคฝ่ายค้านใหม่ที่ยังไม่มีโอกาสเป็นรัฐบาล แท้จริงแล้ว เวทีนี้ คือเวทีภาษีพิทักษ์ประชาชน หาก ส.ส. ฝ่ายค้านติแล้วไม่มีอะไรใหม่ๆ มานำเสนอ นายกรัฐมนตรีก็จะหาว่ามีแต่เรื่องการเมือง

“แต่ ส.ส. ปกรณ์วุฒิ ของผมพยายามหาอะไรใหม่ๆ มีการเปรียบเทียบกับต่างประเทศ เปรียบเทียบวิธีการหารายได้ของท่านแล้ว ไม่ต้องกลัวครับ เมื่อถึงเวลาของพวกผมเมื่อไร พวกผมทำแน่นอนครับ ขอบคุณครับ” พิธา ระบุ

ภาพ: รัฐสภา

Tags: , ,