วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2565) ที่พรรคก้าวไกล พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้าชุดสืบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา เมื่อปี 2558 ซึ่งลี้ภัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย แถลงข่าวผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ภายหลังจาก รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล อภิปรายเรื่องดังกล่าวในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ เมื่อคืนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตอนหนึ่งว่า วันนี้เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดวันหนึ่ง เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ติดค้างคาอยู่ในใจ ที่สร้างความทุกข์ระทมขมขื่น ทั้งเครียด ทั้งกลัว สะท้อนจิตใจ นับตั้งแต่หลบหนีออกนอกประเทศไทย
“จนถึงวันนี้ 6 ปี 6 เดือน 3 วัน จากการที่ผมปฏิบัติหน้าที่แล้วถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก สตช. และรัฐบาล รวมถึงผู้มีอำนาจ เรื่องทั้งหมดถูกเปิดเผยให้คนไทยและคนทั่วโลกได้รับทราบ จากการอภิปรายเมื่อวานนี้ โดยรังสิมันต์ โรม จากพรรคก้าวไกล นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นจริง
“มีคนกล่าวหาว่าผมสร้างเรื่อง วางแผนที่จะใช้ชีวิตในต่างประเทศ แต่ผมกลับต้องมาใช้ชีวิตในแบบผู้ลี้ภัย เหมือนคนทั่วไป มาเรียนภาษา แบบคนที่หนีภัยสงคราม เหมือนชาวซีเรีย เลบานอน เหมือนคนอิหร่าน หรือเหมือนคนพม่า เมื่อเรียนแล้วก็ต้องทำงาน หางานเลี้ยงชีพ ผมไม่รู้ตัวมาก่อน ไม่เคยใช้ชีวิตในต่างประเทศ ภาษาผมก็ไม่ได้ ทรัพย์สินก็ไม่มีอะไร วันนี้ เป็นวันที่เป็นบทสรุป หักล้างเรื่องที่มาลี้ภัยในต่างประเทศ ตามที่ถูกกล่าวหาทั้งหมด วันนี้ ผมได้รับความเป็นธรรมกลับมาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่อีกครึ่งหนึ่งมันขาดหายไป ผมเสียดาย”
พลตำรวจตรีปวีณกล่าวอีกว่า ถ้าวันนั้นประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารทุกระดับ ที่อยากให้ประเทศไทยเราใสสะอาดจริงๆ มีความซื่อสัตย์และมีความกล้าหาญ ให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างเที่ยงตรง เหมือนนานาอารยะประเทศ และปล่อยให้กระบวนการเดินไปอย่างสุดทาง ชีวิตราชการของตัวเองที่ยังเหลืออีกสามปี ประกอบกับความรู้ความสามารถในการสืบสวนสอบสวนและประสบการณ์ส่วนตัว จะสามารถสาวไปถึงปลาตัวใหญ่ได้อีกหลายตัวแน่นอน ส่วนจะใหญ่แค่ไหน ขอให้ทุกคนไปคิดเอาเอง
“ในความรู้สึกของผม จากการที่ผมมาอยู่ต่างประเทศ ห่างจากบ้านเกิดเมืองนอนนานกว่า 6 ปี บางครั้งผมก็ได้ติดตามข่าวสารจากเมืองไทยเป็นบางครั้ง ตลอดระยะเวลาที่ติดตามข่าวสารมานั้น ความรู้สึกของผมที่มีต่อผู้นำประเทศ และจะให้ผมกล่าวฝากไป ถ้ากล่าวอย่างจริงใจ ไม่มีอะไรต้องฝาก ให้กับบุคคลแบบนี้
“แต่อยากฝากถึงพี่น้อง ข้าราชการตำรวจที่เป็นเพื่อน ที่มีอาชีพเดียวกับกระผม และต้องประสบพบกับระบบที่เลวร้าย ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ผมยังรับราชการอยู่ และตอนนี้ก็คงไม่แตกต่างจากเมื่อผมรับราชการอยู่ ซึ่งอาจจะเลวร้ายกว่าในยุคของผม ขอให้ทุกคนพึงตระหนักถึงหน้าที่ที่ทำเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชนจริงๆ ประเทศชาติในที่นี้คืออะไร คือประโยชน์ของประชาชนคนไทยทุกคน ไม่ใช่ของผู้มีอำนาจบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เพื่อประชาชนโดยยึดหลักกฎหมายอย่างแท้จริง เหมือนกับผมที่เคยยึดหลักมาตลอดในการปฏิบัติหน้าที่
อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กล่าวอีกว่า สิ่งที่ยึดถือมาโดยตลอดในการทำหน้าที่ตำรวจก็คือ ไม่ว่าจะทำการสืบสวนเรื่องใดก็แล้วแต่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกฎหมาย ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม เที่ยงตรง ต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตัวเอง ต้องไม่กลั่นแกล้งบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีพยานหลักฐาน พิสูจน์ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาอย่างถูกต้อง ไม่กลั่นแกล้งใคร ต้องพิสูจน์ในชั้นสอบสวน ชั้นอัยการ ชั้นศาล
“ที่สุดแล้ว ทุกคนจะยอมรับในวิชาชีพอย่างตัวเอง หากไม่ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ความน่าเชื่อถือก็ลดน้อยถอยลงไป เกียรติยศศักดิ์ศรีของตัวเองก็จะไม่มีค่าอะไร เหมือนคนที่ขาดความน่าเชื่อถือ ขาดการยอมรับ ไม่มีความหมายในสายตาของประชาชน รวมถึงอารยะประเทศ นั่นคือการทำลายตัวเอง ทำลายสถาบันของตัวเอง ทำลายประเทศชาติของตัวเอง และผลสุดท้ายคือความเสียหายของประเทศเราเอง คือสิ่งที่ผมอยากฝากไว้มากกว่าอยากฝากถึงผู้นำประเทศ”
พลตำรวจตรีปวีณกล่าวอีกว่า การค้ามนุษย์ไม่ได้เกิดในปี 2558 หากแต่เบ่งบาน รุ่งเรืองมานานมาก แต่ไม่มีใครสนใจ กระทั่งถูกกดดัน เรื่องสิทธิทางการค้าต่างๆ รัฐบาลจึงร้อนก้น สั่งประกาศเป็นวาระแห่งชาติ แต่พอทำจริงก็เป็นอย่างที่รังสิมันต์ได้อภิปราย ไม่ว่าจะเป็นถูกกลั่นแกล้งในขั้นตอนของการสืบสวนและถูกขัดขาต่างๆ
สำหรับเรื่องโรฮีนจา เป็นชาวต่างชาติที่มีปัญหาในประเทศต้นทาง ซึ่งหากอธิบายง่ายๆ ก็คือ คนกลุ่มนี้ ไม่สามารถเข้ามาในประเทศไทยได้ แต่ต้องมาจากต่างประเทศ ต้องผ่านพรมแดนเข้ามา ซึ่งไม่ใช่พรมแดนเฉพาะบนบก แต่มาจากในน้ำด้วย ขนย้ายมาทางเรือประมง หลายครั้งมาทางเรือประมง 200-500 คน ซึ่งการขนคนเข้ามามากๆ อย่างสะดวกสบาย เป็นไปไม่ได้เลยในทางความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน่วยงานที่ปกป้องชายแดน ถ้าหากหน่วยงานเหล่านี้หละหลวม ความเสียหาย ก็เกิดขึ้นกับประเทศไทย
“ใครก็แล้วแต่ที่ล่วงล้ำเข้าไทย ไม่ว่าทางบก ทางอะไร ต้องถูกสกรีน หน่วยงานต่างๆ ปล่อยปละละเลย ปล่อยปละละเลย โดยมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยน นั่นคือผลประโยชน์ ส่วย ที่ต้องจ่าย พอเงินเหล่านี้เข้ามา ก็เลยขนคนได้อย่างสะดวกสบาย ขนคนมาขาย ถ้าสอบสวนต่อไป ปลาตัวใหญ่ๆ ต้องเข้ามาอีกเยอะ ห้องก็อาจไม่พอใส่
“ผมได้เปรยกับสื่อมวลชนหลายสำนัก แต่พอพูดไปไม่มีใครกล้าเขียน ไม่มีใครกล้าเปิดเผย ทำไมไม่กล้าแฉ ผมเป็นคนจริง แต่เมื่อไม่มีคนตอบรับ ไม่กล้านำเสนอ ก็ปลิวไปในอากาศ ไม่เป็นเรื่องเป็นราวให้คนรับทราบได้ ใครก็แล้วแต่ที่รับข้อมูลไป ผมยินดีอย่างยิ่ง และยินดีมาก ที่เมื่อพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 คุณปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.พรรคก้าวไกล นำเรื่องนี้ไปอภิปรายในสภา แต่อภิปรายได้เพียงแค่นิดเดียว ก็สร้างพลังใจว่าคงมีใครเอาไปขยาย ไม่ให้สิ่งที่รับรู้ตายไปพร้อมกับผม เพราะระบบนี้กัดกินประเทศไทยมานานแสนนาน แล้วก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นี่คือความจริง คือระบบที่ทำลายประเทศชาติจริงๆ
“ทำไมถึงต้องหนี แน่นอน ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เพราะพอเปิดเผยไป ใครก็ไม่กล้า แล้วก็ใบสมัครแผ่นนั้นล่ะครับ ตรงนั้น เป็นคำตอบทั้งหมดว่าอย่างนี้นี่เอง” พลตำรวจตรีปวีณสรุป
“ผมไม่ได้มีความเก่งกาจขนาดนั้น เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา มีความฝัน อยากเป็นตำรวจที่ดี ทำงานให้กับสังคม ผมสาบานกับตัวเอง ไม่ได้สาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร สาบานกับตัวเองว่าเป็นตำรวจที่ดีแค่นั้น”
อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ยังกล่าวอีกด้วยว่า ในเวลาที่ผ่านมา พยายามพูดเรื่องนี้อย่างปากเปียกปากแฉะ แต่ก็กระจายไปได้เพียงกลุ่มเล็กๆ ในทีมงานที่มีอุดมการณ์เท่านั้น แต่ไม่สามารถขยายไปได้ทั้งประเทศ และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
และในตอนหนึ่ง สื่อมวลชนได้ถามว่าอยากกลับประเทศไทยไหม พลตำรวจตรีปวีณสะอึกอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “แน่นอน นั่นคือบ้านเกิด บ้านเกิดของผม ผมยังมีบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ที่นั่นครับ เป็นความหวังของผม”