ย้อนกลับไปในปี 2006 ภาพยนต์แนวตลกคอมเมดี้เชิงเสียดสีการเมืองแบบเบาๆ อย่าง ‘Idiocracy’ ได้รับความนิยมระดับหนึ่ง กับเรื่องราวของชายผู้ถูกจำศีลอยู่ในแคปซูลยาวนาน และตื่นขึ้นมาอีก 500 ปีให้หลัง ซึ่งสภาพสังคมช่วงเวลานั้น ประชากรไอคิวสูงหลีกเลี่ยงการมีลูกเพราะกังวลเรื่องความเสี่ยง สวนทางกับกลุ่มประชากรไอคิวต่ำที่เลือกจะมีลูกอย่างไม่ลังเล โลกอนาคตจึงถูกปกครองด้วยคนไอคิวต่ำ เพราะฐานเสียงส่วนใหญ่เป็นคนไอคิวต่ำเหมือนกัน
แม้จะฟังดูเป็นหายนะ แต่หากมีระบบการปกครองใดเลวร้ายเกินจริงยิ่งกว่าภาพยนตร์เรื่อง Idiocracy ระบบการปกครองแบบ ‘Kleptocracy’ คงเป็นหนึ่งในนั้น
Kleptocracy หรือ โจราธิปไตย คือหนึ่งในรูปแบบของการปกครองของผู้นำที่อาจเรียกว่า Kleptocrats โดยผู้นำเหล่านั้นจะใช้ตำแหน่งทางการเมืองที่มีอำนาจเพื่อให้ได้มาหรือเพิ่มความมั่งคั่งส่วนตัวด้วยการขโมยเงิน และทรัพยากรอันมีค่าจากประเทศที่พวกเขาปกครองอย่างไม่สนใจประชาชนภายใต้พวกเขาเลยทั้งสิ้น
คำนี้พัฒนามาจากรากฐานของภาษากรีกโบราณ ‘Klepto’หมายถึง ขโมย และ ‘Cacy’ หมายถึง กฎ โดยรวม Kleptocracy จึงมีความหมายว่า การปกครองโดยโจร ซึ่งมักใช้เพื่ออธิบายรัฐบาลที่ผู้นำใช้อำนาจของตนในทางที่ผิดเพื่อขโมยทรัพย์สินประชาชนของตน ผ่านการยักยอกหรือการติดสินบน ทำให้ตนเองและครอบครัวร่ำรวยขึ้น โดยแลกกับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วไป
ไม่มีหลักฐานแน่ชัดนักว่าผู้ใดเป็นคนคิดค้นหลักการปกครองแบบ Kleptocracy ขึ้นมา แต่คำนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษ 1960-1970 โดยนักวิชาการชาวโปแลนด์ที่มีชื่อว่า สตานิสลาฟ อันเดรสกี (Stanislav Andreski) ได้แสดงมุมมองความคิดของเขาที่มีต่อการวัฒนธรรมการรับสินบนของผู้มีอำนาจในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ว่า “ไม่มีใครที่รับเงินสินบนอย่างเดียวแล้วสามารถกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ในประเทศคอมมิวนิสต์”
เพราะฉะนั้น การกระทำดังกล่าวเมื่อเทียบกับการรับสินบน ต้องเลวร้ายยิ่งกว่า รุนแรงยิ่งกว่า รวมถึงแพร่หลายยิ่งกว่า อันเดรสกีจึงได้มอบชื่อใหม่ให้กับการกระทำดังกล่าวว่า Kleptocracy
สำหรับการปกครองแบบ Kleptocracy นั้นมักเกี่ยวข้องกับระบอบเผด็จการและคณาธิปไตย(Oligarchy) เนื่องจากเป็นระบบการปกครองที่คล้ายคลึงกัน โดย Kleptocracy มักพบมากที่สุดในประเทศกำลังพัฒนา และประเทศกำลังล่มสลายทางเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการค้าทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก ประชาชนส่วนใหญ่ขาดทรัพยากรทางกาย และทางปัญญาที่จะป้องกัน หรือรู้เท่าทันผู้นำที่ชั่วร้ายเหล่านี้ได้
ระบบการทำงานทั่วไปของเหล่า Kleptocrats นี้ มักจะเป็นการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศที่พวกเขากำลังปกครองด้วยการเพิ่มภาษีจากการผลิต และยักยอกรายได้จากภาษี ค่าเช่าการทรัพยากรธรรมชาติ หรือเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศเก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง และเอาตัวรอดด้วยเครือข่ายการฟอกเงินระหว่างประเทศที่ซับซ้อนเพื่อปกป้องทรัพย์สินตนเอง โดยอาจซ่อนไว้ในบัญชีธนาคารต่างประเทศ (Offshore account) ที่เป็นความลับ
ตัวอย่างของประเทศที่เคยถูกขนานนามว่าถูกปกครองด้วยระบบแบบ Kleptocracy ได้แก่ ประเทศคองโก ภายใต้การปกครองของ ‘โจเซฟ โมบูตู’ (Mobutu Sese Seko) ประเทศเฮติภายใต้เผด็จการหมอผีที่ของ ‘ฌอง-โคลด ดูวาลิเยร์’ หรือ Baby Doc รวมถึงการปกครองของเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส (Ferdinand Marcos) ในประเทศฟิลิปปินส์ที่คนไทยคุ้นเคยดี
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดในระบบการปกครองแบบ Kleptocracy ไม่ใช่การขโมย หรือความเห็นแก่ตัวของผู้นำ หากแต่ว่ามันคือ การกระทำความชั่วในที่แจ้งผิดจากอาชญกรรมทั่วไปที่มักจะเกิดขึ้นในที่ลับตาคน เพราะเหล่า Kleptocrats พวกนี้ไม่ได้เพียงแค่ไม่ซ่อนตัวเท่านั้น แต่กลับโอ้อวดความมั่งคั่งโดยมิชอบเพื่อชักจูงหว่านล้อมผู้คนให้หลงเชื่อว่าพวกเขากำลังปกครองประเทศอย่างชอบธรรม ดังนั้น ประชาชนคนทั่วไปจึงมีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการช่วยกันเป็นหูเป็นตา คอยสอดส่องกลุ่มอำนาจที่ฉ้อฉลเช่นนี้ไม่ให้ขึ้นมามีอำนาจปกครองประเทศได้
ที่มา
–https://www.thoughtco.com/kleptocracy-definition-and-examples-5092538
–https://marketbusinessnews.com/kleptocracy-definition-meaning/
–https://ideas.repec.org/p/cpr/ceprdp/4059.html
–https://www.power3point0.org/2018/01/09/the-origins-of-modern-kleptocracy/
–https://www.newyorker.com/magazine/2017/10/30/the-dos-and-donts-of-kleptocracy
Tags: Wisdom, Kleptocracy, Knowledge