วันนี้ (20 มิถุนายน 2025) แคโรไลน์ เลวิตต์ (Karoline Leavitt) โฆษกประจำทำเนียบขาว เปิดเผยว่า โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประกาศขีดเส้นตายแผนการโจมตีอิหร่านไว้ที่ 2 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุว่า เตหะรานยังลังเลที่จะผลิต ‘ระเบิดนิวเคลียร์’
“ตามข้อเท็จจริง โอกาสการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นในเร็วนี้ๆ ผมจะตัดสินใจเองว่า จะโจมตีอิหร่านหรือไม่ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า”
เลวิตต์แถลงข่าวกรณีท่าทีของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน โดยข้างต้นคือคำพูดจากทรัมป์ที่เธอแจ้งต่อสื่อเพื่อให้ได้รับทราบตรงกัน พร้อมย้ำว่า สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการคือ การไม่ให้อิหร่านสะสมแร่ยูเรเนียมที่นำไปสู่การพัฒนาและครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตามสำนักข่าว The New York Times ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้อยแถลงของทรัมป์อาจไม่เป็นความจริง หลังทรัมป์มักใช้เงื่อนไขเวลาดังกล่าวกับการแก้ไขปัญหาทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นภาษี นโยบายด้านสุขภาพ การเปิดเหมืองแร่ การต่อสู้กับกลุ่ม ISIS จนถึงคำถามจากนักข่าวตั้งแต่ 2 เดือนที่ผ่านมาว่า ทรัมป์ไว้ใจ วลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ผู้นำรัสเซีย ได้จริงหรือไม่
“ผมจะแจ้งให้คุณทราบภายใน 2 สัปดาห์นะ” ทรัมป์ตอบผู้สื่อข่าวในทำเนียบขาวเมื่อ 2 เดือนก่อน ซึ่งคล้ายกับบทสนทนาระหว่างโฆษกทำเนียบขาวกับผู้สื่อข่าวในวันนี้ โดยเลวิตต์ไม่ได้ตอบคำถามสื่อหลังมีนักข่าวตะโกนถามว่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าทรัมป์จะยึดถือเงื่อนเวลานี้จริงๆ
ขณะเดียวกันหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เปิดเผยว่า อิหร่านยังไม่มีแผนการผลิตอาวุธนิวเคลียร์อย่างระเบิด แม้ว่ามีแร่ยูเรเนียมมากพอก็ตาม ยกเว้นในกรณีที่สหรัฐฯ โจมตีฟอร์โด (Fordo) โรงงานพัฒนานิวเคลียร์ หรือเปิดปฏิบัติการสังหาร อายะตุลลอฮ์ อาลี คาเมเนอี (Ayatollah Ali Khamenei) ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้ข้อมูลจากมอสซาด (Mossad) หน่วยข่าวกรองอิสราเอล ว่าอิหร่านมีศักยภาพสูงจนถึงขั้นสร้างอาวุธร้ายแรงขึ้นภายใน 5 วัน แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และกลุ่มสปายชาวอเมริกันประเมินข้อมูลทั้งหมดที่มีและสรุปได้ว่า อิหร่านต้องใช้อย่างต่ำ 1 ปีหรือหลายเดือน จึงจะสามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้
แต่ทางการสหรัฐฯ ก็ประเมินข้อมูลอีกแนวทางว่า ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ อิหร่านสามารถร่นเวลาการผลิตอาวุธร้ายแรงนี้ได้ แต่ประสิทธิภาพจะน้อยลง ละคล้ายคลึงกับระเบิดที่สหรัฐฯ ทิ้งลงเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2
ทางสองแพร่งทางการทูตของสหรัฐฯ: ทรัมป์ 2.0 กับภารกิจสงบศึกในตะวันออกกลาง
‘การทูตวินาทีสุดท้าย’ หรือ ‘เปิดศึกกับอิหร่าน’
ถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ยากที่สุดของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ในสงครามระหว่างชาติมหาอำนาจในตะวันออกกลาง เพราะสหรัฐฯ เป็นตัวแปรเดียวที่สามารถทำลายล้างโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โด (Fordo) ของอิหร่าน ด้วยการใช้ B-2 Spirit เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน ทิ้งระเบิด GBU-57 เพื่อกำจัดต้นตอที่สร้างความไม่พอใจให้กับอิสราเอล แต่นั่นก็เท่ากับว่า สหรัฐฯ จะกลายเป็นหนึ่งในตัวแสดงของความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งสวนทางคำพูดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ผ่านมาว่า จะไม่ยุ่งกิจการภายนอกอย่างสงคราม
การมีอยู่ของฟอร์โดถือเป็นปัญหาคาราคาซังสำหรับสหรัฐฯ โดยกินเวลาตั้งแต่ยุคประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) จนถึง โจ ไบเดน (Joe Biden) อดีตผู้นำสหรัฐฯ หลังหน่วยข่าวกรองประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ยืนยันตรงกันว่า อิหร่านซ่องสุมสร้างโรงงานนิวเคลียร์ลับ เป็นเหตุให้สหรัฐฯ เปิดโต๊ะเจรจากับอิหร่านตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา แต่ปัญหาก็ไม่สิ้นสุด เพราะเตหะรานปฏิเสธส่งข้อมูลบางส่วนให้กับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency: IAEA) เช่น แผนการออกแบบและวัตถุประสงค์การก่อสร้าง
แม้ในปี 2015 มีความคืบหน้าอย่างการลงนามแผน JCPOA (Joint Comprehensive Plan of Action) ที่ให้บทบาทมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน เยอรมนี สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร เข้ามาดูแลกำกับโรงงานนิวเคลียร์ เพื่อแลกกับการไม่คว่ำบาตรอิหร่าน โดย IAEA รายงานตลอดว่า เตหะรานได้เจือจางแร่ยูเรเนียมให้มีความเข้มข้นน้อยลงกว่า 5%
อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดมาถึงขีดสุดในปี 2023 หลัง IAEA ตรวจพบแร่ยูเรเนียมที่ผ่านการสกัดจนบริสุทธิ์เทียบเท่าการผลิตอาวุธถึง 83.7% จาก 90% โดยไม่ผ่านการแจ้งให้ทราบ ขณะที่อิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหา ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับอิสราเอลที่มองว่า นิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นภัยคุกคามต่อประเทศอย่างมาก หากแต่ไม่มีวิธีการเข้าถึงโรงงานที่ไร้ความเสี่ยง นอกจากเปิดปฏิบัติการคอมมานโดและทิ้งระเบิดโดยตรง ทำให้ เบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เรียกร้องให้สหรัฐฯ จัดการแทน ตั้งแต่ยุคบุชมาตลอด
ทว่าแนวโน้มการโจมตีอิหร่านยังเป็นเรื่องยากสำหรับสหรัฐฯ เพราะภายในพรรครีพับลิกัน (Republican Party) เผชิญ ‘ภาวะเสียงแตก’ โดยเชื่อว่า การทำลายต้นตออาวุธนิวเคลียร์ เพื่อช่วยพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเรื่องน่าอภิรมย์และจำเป็นเท่าไร หากพิจารณาในแง่ผลประโยชน์แห่งชาติ โดยเฉพาะกลุ่ม MAGA ที่สนับสนุนทรัมป์เชื่อว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ควรหลีกเลี่ยงสงครามนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรโดยสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ ทักเกอร์ คาร์ลสัน (Tucker Carlson) อินฟลูเอนเซอร์สายโปรทรัมป์วิเคราะห์ว่า สหรัฐฯ ควรเรียนรู้บทเรียนจากการบุกอิรักและอัฟกานิสถานในอดีต ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร นอกจากทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางแย่ลง พร้อมทั้งแนะนำให้ทรัมป์ทิ้งอิสราเอล และปล่อยให้ 2 มหาอำนาจสู้กันเอง
อ้างอิง
– https://www.nytimes.com/live/2025/06/19/world/iran-israel-trump-news#iran-nuclear-weapons-assessment
– https://www.nytimes.com/2025/06/19/world/middleeast/trump-iran-two-weeks.html
– https://www.nytimes.com/2025/06/16/us/politics/trump-iran-diplomacy-conflict.html
Tags: อิสราเอล, ตะวันออกกลาง, สหรัฐฯ, Middle East, ฟอร์โด, อิหร่าน, Fordo, Donald Trump, สหรัฐอเมริกา, โดนัลด์ ทรัมป์, ทรัมป์, นิวเคลียร์