สะพานบุญหรือมิจฉาชีพ?

คงเป็นคำถามในใจของใครหลายคนที่ได้เห็นข่าวกรณีของ ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ หรือเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล ที่หลายคนเชื่อว่าสามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ หลังพบพิรุธการระดมทุนขอรับบริจาคจากพุทธศาสนิกชนให้กับวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ในฐานะการเป็น ‘สะพานบุญ’ 

ทูตสื่อวิญญาณรายนี้ถูกกล่าวหาว่า มีพฤติกรรมที่พยายามทำหน้าที่เป็นสะพานบุญโดย ‘เลี่ยง’ การตรวจสอบเส้นทางการเงิน โดยใช้วิธีการบริจาคเป็นเงินสด ซึ่งเจ้าตัวให้เหตุผลว่า เพื่อความคล่องตัวในการใช้จ่ายเงินบริจาคของวัด ขณะเดียวกันก็ถูกตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นบ้านและรถ ว่ามาจากเงินของคณะศรัทธาที่ต้องการถวายให้กับวัด แต่กลับถูกหักเอาไปใช้ส่วนตัวหรือไม่

นอกจากหมอบีแล้ว วัดพระบาทน้ำพุยังถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับเงินบริจาค ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว และมีการ ‘ฮั้ว’ กันระหว่างเจ้าอาวาสกับสะพานบุญที่ตกลงหักเงินบริจาคเข้ากระเป๋าหรือไม่

คำถามคือ ช่องโหว่ของการบริจาคเงินให้กับสะพานบุญคืออะไร เงินบริจาคที่หลั่งไหลเข้าไปยังสะพานบุญด้วยความศรัทธาจำนวนมหาศาล มีกระบวนการการตรวจสอบหรือไม่ วิธีใดจะแก้ปัญหาและอุดช่องโหว่

The Momentum พูดคุยกับ มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เพื่อหาคำตอบและทางออกของปัญหานี้

มานะระบุว่า กลุ่มที่เรียกตนเองว่าเป็นสะพานบุญ มักจะเป็นผู้ที่คลุกคลีกับแวดวงการทำบุญ เช่นกับวัดหรือองค์กรการกุศลต่างๆ โดยจะดำเนินการเปิดรับเงินบริจาคและเสนอตัวเป็น ‘ตัวแทน’ ในการนำเงินส่งต่อไปให้กับวัดที่เข้าร่วมโครงการกับสะพานบุญในการรับบริจาคครั้งนั้นๆ 

ซึ่งกลุ่มสะพานบุญอาจจะเล็งเห็นช่องทางในการหาผลประโยชน์ จากการเป็นประตูบานแรกในการรับเงินบริจาค และอาจจะกลายเป็น ‘สะพานบุญแอบแฝง’ หักเงินบริจาคเข้ากระเป๋าตนเอง ทำให้เงินไปถึงปลายทางไม่ครบจำนวนเงินที่บริจาคเข้ามาทั้งหมด

“คนกลุ่มนี้มักจะเลือกเป็นสะพานบุญให้กับวัดขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะสามารถเอาชื่อเสียงของวัดหรือแม้แต่ชื่อเสียงของพระในวัดไปหากินต่อได้ โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องเดินทางไปที่วัดหรือไม่จำเป็นต้องเอาพระรูปนั้นๆ ที่มีชื่อเสียงมาปรากฏตัวก็ได้ เนื่องจากคนที่มีความเชื่อความศรัทธาเขาพร้อมที่จะบริจาคเงินให้อยู่แล้ว” 

มานะระบุต่อว่า กลุ่มสะพานบุญพยายามพูดให้ผู้ที่มีความเชื่อความศรัทธามองเห็นว่า หลังจากบริจาคกับเขาแล้วจะได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน เช่น การบอกว่าทำบุญด้วยการบริจาคสิ่งนี้ จะได้อะไรเป็นการตอบแทนที่มีผลต่อชีวิตและอนาคต เพื่อให้ผู้ที่อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะบริจาคหรือไม่บริจาค เลือกที่จะมาบริจาคกับตนเอง

ด้านพฤติกรรมของผู้ที่มีจิตศรัทธาหลังบริจาคเงินไปแล้ว มานะชี้ว่า มักจะ ‘ไม่สนใจ’ ว่าเงินที่บริจาคไปมีเส้นทางอย่างไร และถูกใช้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่

“เพราะความบริสุทธิ์ใจ มองว่าเมื่อบริจาคเงินไปแล้วก็ถือว่าได้รับบุญกุศลมาแล้ว ผู้ที่เอาเงินไปจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเขา” ซึ่งพฤติกรรมนี้อาจเป็น ‘ช่องโหว่’ ให้สะพานบุญนำเงินไปใช้ในบริบทอื่นซึ่งแตกต่างจากรายละเอียดที่แจ้งแก่ผู้บริจาค 

ทั้งนี้การตรวจสอบไม่ได้เป็นหน้าที่ของประชาชนแต่เพียงผู้เดียว ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มองว่า การตรวจสอบเส้นทางของเงินบริจาคว่า มีปลายทางตรงตามที่สะพานบุญระบุเอาไว้ในการเชิญชวนให้ร่วมบริจาคหรือไม่ เป็นหน้าที่ของ ‘รัฐ’ ที่จะเข้ามาตรวจสอบว่า มีการฉ้อฉลหรือมีพฤติกรรมเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ แต่ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการและกลไกทางกฎหมาย ที่จะเข้ามาตรวจสอบหรือกำกับการทำหน้าที่ของผู้ระดมทุนที่ชัดเจน 

เมื่อถามว่า พฤติกรรมของนักระดมทุนที่มีการ ‘หักเปอร์เซ็นต์’ จากเงินที่ได้รับบริจาค และนำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นนอกจากที่ได้ระบุไว้ในรายละเอียดแรกที่แจ้งนั้น มานะชี้ว่า มีความคล้ายกับองค์กรระดมทุนทั่วๆ ไป เช่น องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา​ (UNICEF USA) ที่จะใช้ร้อยละ 88 ของเงินบริจาคตามวัตถุประสงค์ ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 12 เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับระดมทุนร้อยละ 8 และค่าใช้จ่ายในการบริหารร้อยละ 3 ซึ่งในกรณีของเสกสันน์หรือหมอบีมีการบริจาคให้กับวัดพระบาทน้ำพุร้อยละ 70 และอีกร้อยละ 30 เป็นค่าดำเนินการ ซึ่งเขามองว่า ‘ไม่ผิด’ และไม่นับว่าเป็นมิจฉาชีพ หากมีการแจ้งกับผู้ร่วมบริจาคชัดเจน

“ถ้าประชาชนผู้ที่บริจาคเขารู้มันก็จะไม่ใช่การฉ้อโกง แต่ถ้าเขาไม่รู้มันก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย” มานะระบุ “ฉะนั้นสิ่งที่เราควรจะรณรงค์ให้เกิดขึ้นคือเราจะควบคุมอย่างไร” 

ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เสนอว่า ในบริบทการทำบุญและการระดมทุนเพื่อองค์กรการกุศลในปัจจุบันควรใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถตรวจสอบได้ และป้องกันช่องโหว่ของการใช้เงินบริจาคอย่างผิดวัตถุประสงค์ของผู้ระดมทุน ด้วยการโอนบริจาคโดยตรงไปยังปลายทางคือผู้รับบริจาค 

“เราต้องลืมวิธีการบริจาคแบบเก่าๆ ผมเสนอให้บริจาคผ่านระบบ e-Donation ออกแบบให้เป็นระบบที่สามารถควบคุมได้ มีความชัดเจน สะดวก และให้ประชาชนสามารถนำการบริจาคมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ แบบนี้จะเกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวผู้บริจาคและผู้รับบริจาคมากกว่า ทันสมัย และยังสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริจาคมากกว่าด้วย” มานะกล่าว 

อ้างอิง 

https://www.unicefusa.org/about-unicef-usa/finances/financial-disclosure/charity-watchdog-ratings 

Tags: , , , ,