วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2568) ที่อาคารรัฐสภา เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ตอบกระทู้ถามสดของ วรภพ วิริยะโรจน์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ถึงการบริหารเศรษฐกิจไทย และโครงการแจกเงินหมื่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 1 เป็นการกระจายเงินหมื่นไปยังกลุ่มเปราะบางอย่างถูกฝาถูกตัว โดยหากพิจารณาจากแผนที่ประเทศไทยเจาะลงไปจะเห็นว่า พื้นที่ใดมีความยากจนสูง แล้วก็พิจารณาต่อได้ว่าเงิน 1 หมื่นบาทจะลงไปยังจังหวัดไหน ซึ่งสะท้อนชัดว่าเงิน 1 หมื่นบาทลงไปยังจังหวัดที่มีความจำเป็นสูงสุด ไม่ได้มีตำบลใดที่ไม่ได้กระจายในส่วนนี้เลย

ขณะเดียวกันข้อทักท้วงว่า เงินจะกระจายเข้าสู่เพียง ‘รายใหญ่’ เท่านั้น ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า 68% ลงสู่ร้านเล็ก ร้านค้ารายย่อย ร้านค้าในตลาด และหาบเร่แผงลอย และพบว่า 82% ใช้เงินอย่างรวดเร็วหมดภายใน 3 เดือน นับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รวดเร็ว รุนแรง และทันท่วงที 

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังยังระบุด้วยว่า ในไตรมาส 4 ที่โครงการนี้ลงไปในพื้นที่ดัชนีต่างๆ เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมก็ดีขึ้น อัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มก็เพิ่มสูงสุดในหลายไตรมาส

“ถ้าเราไม่มีอคติ ดูกันที่ตัวเลข โครงการนี้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี รัฐบาลสามารถปิดการบริหารเศรษฐกิจปี 67 ได้ดี และมีโมเมนตัมในเชิงบวกตั้งแต่ Q1-Q4 ส่งต่อไปถึงปี 2568”

ส่วนเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ การกระจายเม็ดเงินเฟส 1 ให้กับกลุ่มเปราะบางพบว่า หากวัดค่าสัมประสิทธิ์จีนี (Gini Coefficient) ซึ่งวัดเรื่องความเหลื่อมล้ำพบว่า โครงการนี้สามารถร่นระยะเวลาเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำลงได้ 2-3 ปี จึงตอบโจทย์ในเรื่องแก้ความเหลื่อมล้ำด้วย

ขณะเดียวกันตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจ ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่าปี 2567 เติบโตอยู่ที่ 2.5% และเกือบรั้งท้ายในอาเซียนนั้น เผ่าภูมิระบุว่า ทุกไตรมาส การเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ และดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี 2567 

“หลายสำนักปรามาสไว้ว่าปี 2567 เราจะได้ 2.1-2.2% แต่เราปิดปีที่ 2.5% ส่วนต่างถือว่ามหาศาลในเชิงเศรษฐกิจ นั่นคือสิ่งที่รัฐบาลทำเราอยากให้มองที่โมเมนตัมทางเศรษฐกิจ ไม่ได้มองแค่รายไตรมาส แต่ยังมองไส้ในให้ชัดเจนลงไปในรายละเอียด”​

ด้านวรภพกล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกพบว่า ตัวเลขจีดีพีเติบโตไตรมาสต่อไตรมาส เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 1% เท่านั้น ขณะที่ไตรมาส 4 เติบโตขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2566 เพียง 0.4% ฉะนั้นยังมีความน่ากังวล ขณะเดียวกันหากย้อนดูคำสัมภาษณ์ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังก็จะพบว่า ตัวเลขจีดีพีเติบโตเพียงแค่ครึ่งเดียวจากที่อวดอ้างไว้ ส่วนเรื่องการแจกเงินหมื่นนั้น ก็ดีใจที่รัฐบาลยอมรับว่า เป็นการ ‘ลดความเหลื่อมล้ำ’ ไม่ใช่กระตุ้นเศรษฐกิจ และขอให้พิจารณาเช่นกันว่า ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยและสภาพัฒน์ฯ ต่างยืนยันว่า การกู้เงินมาแจก 3 บาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียง 1 บาท คำถามคือ เมื่อรู้อยู่แล้วว่าการแจกเงินหมื่นเฟส 1 ได้ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจน้อยนิด แต่ก็ยังคงเดินหน้าต่อในเฟส 2 และเฟส 3

Tags: , ,