วันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมาเป็นการครบรอบ 20 ปี ของเหตุการณ์ก่อการร้ายเขย่าขวัญชาวโลก โดยเฉพาะกับชาวนิวยอร์ก เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มอัลเคดา (al-Qaeda) หรือ อัลกออิดะฮ์ ของ อุซามะห์ บินลาดิน (Osama Bin Laden) ได้ทำการจี้ปล้นเครื่องบินโดยสาร 4 ลำ โดยมีจุดมุ่งหมายพุ่งเข้าชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ร์ (World trade center) ใจกลางมหานครนิวยอร์ค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 2,977 จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญดังกล่าว

ผลกระทบไม่มีเพียงแค่นั้น เพราะในเชิงเศรษฐกิจเหตุก่อการร้ายเมื่อ 20 ปีที่แล้วทำให้ผู้คนมากกว่า 430,000 คนต้องตกงาน ภายในเวลาเพียงแค่ 3 เดือน เงินในตลาดแรงงานสหรัฐฯ หายไปถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่การรับมือต่อเหตุการณ์การสูญเสียที่เกิดขึ้น นับได้ว่าทีมงานบริหารของสหรัฐฯ ณ ขณะนั้นตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด

ทันทีที่ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (Josh W. Bush) ผู้นำของสหรัฐฯ ณ ขณะนั้น ทราบถึงเหตุก่อการร้าย เขาอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริดา เพื่อพบปะพูดคุยกับอนาคตของชาติ สิ่งแรกที่บุชทำคือการประกาศให้ทั่วทั้งประเทศทราบว่า “เขารับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้มีการพูดคุยกับรองประธานาธิบดี และผู้นำของ FBI เพื่อเตรียมช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และเร่งรีบที่จะตามหาผู้ที่เป็นต้นตอของปัญหาให้เร็วที่สุด” แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดในการตัดสินใจ และการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดขณะเกิดภาวะวิกฤติ

แม้ว่ากลุ่มอัลเคดา จะเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่อ้างศาสนาอิสลามในการกระทำดังกล่าว แต่บุชก็ไม่ได้โทษชาวมุสลิมแต่อย่างใด อีกสิ่งที่บุชทำทันทีคือการเข้าไปพูดคุยกับผู้นำของศูนย์อิสลามแห่งวอชิงตันเพื่อแสดงให้โลก และชาวอเมริกันรู้ทั่วกันว่า คนร้ายของเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่พี่น้องชาวอาหรับ หรือชาวมุสลิม แต่เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายต่างหาก ทำให้ความเกลียดชังของผู้คนต่อชาวมุสลิมในประเทศสหรัฐฯ มีความเบาบางลงบ้าง

และสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการรับมือกับวิกฤติ คือการมั่นใจว่า ‘เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก’ เพียง 11 วันหลังจากเกิดเหตุ บุชได้จัดตั้งหน่วยงานกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และแต่งตั้ง โทมัส โจเซฟ ริดจ์ (Thomas Joseph Ridge) ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนีย ณ ขณะนั้น ให้เป็นผู้อำนวยการเพื่อป้องกันภัยทางด้านก่อการร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

การจัดการวิกฤตในช่วงเวลานั้น ทำให้คะแนนนิยมในตัวบุช หรือ approval rating พุ่งสูงขึ้นถึง 90% แม้หลังจากนั้นเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องตัดสินใจทำสงครามที่ไม่รู้จบในตะวันออกกลาง แต่การทำงานในช่วงเวลา 3-4 วัน หลังเกิดเหตุการณ์ ก็นับเป็นกรณีศึกษาของ ‘ผู้นำ’ ในภาวะวิกฤตได้เป็นอย่างดี 

Tags: