วันนี้ (8 ธันวาคม 2568) ภายหลังความรุนแรงบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา กลับมาปะทุอีกครั้งเมื่อวานนี้ (7 ธันวาคม 2568) ทำให้พรรคการเมืองของไทยทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างออกมาแสดงความเห็นในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

พรรคเพื่อไทยโพสต์ผ่านเพจ Facebook เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. ระบุว่า รัฐบาลต้องเร่งถอดบทเรียนแห่งความล้มเหลวจากการบริหารวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ และนำมาปรับใช้กับการเตรียมความพร้อมในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง

ด้าน มาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การบริหารภายใต้ภาวะวิกฤตไม่ได้หมายถึงเพียงการใช้เครื่องมือด้านความมั่นคงเท่านั้น แต่คือการคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สิน และความเชื่อมั่นของประชาชน ควบคู่ไปกับการประสานงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐทุกระดับได้อย่างไร้รอยต่อ

มาริษกล่าวต่อว่า รัฐบาลควรเตรียมแผนอพยพร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างละเอียดและทันต่อเหตุการณ์ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างเป็นเอกภาพ รวมทั้งยกระดับการเฝ้าระวังพลเรือนตลอด 24 ชั่วโมง และสื่อสารข้อมูลอย่างแม่นยำ รวดเร็ว และโปร่งใส

ทั้งนี้ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศยังเสนอให้รัฐบาลใช้ยุทธศาสตร์ ‘โลกล้อมกัมพูชา’ ที่รัฐบาลจะต้องเดินหน้าอย่างเป็นระบบในการควบคุมบทบาทประเทศที่สามให้สมดุล ต้องป้องกันไม่ให้ประเทศมหาอำนาจเข้ามาชี้นำการแก้ไขปัญหา และใช้กลไกทางการทูตทุกระดับอย่างสมดุล เพื่อเปิดเผยข้อเท็จจริงเชิงรุกต่อประชาคมโลก

“การประท้วงกัมพูชาในเวทีอนุสัญญาออตตาวาถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องขับเคลื่อนคู่ขนานกับการชี้ให้ประชาคมโลกเห็นว่า กัมพูชาเป็นผู้ละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ผ่านคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องขององค์การสหประชาชาติ ตามที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยวางรากฐานไว้ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมาย การใช้อาวุธที่มีลักษณะ Offensive หรือการใช้ข่าวปลอมเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง”

และเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในสายตานานาชาติ มาริศเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ 2 เรื่อง คือ 1. การมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงประชาคมโลกผ่านช่องทางทวิภาคีและพหุภาคีอย่างชัดเจนว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน และ 2. พิจารณาการใช้กล้องติดตัวทหาร (Bodycam) ในพื้นที่ชายแดน เพื่อสร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ที่กัมพูชาไม่อาจปฏิเสธได้

ด้านพรรคประชาชน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.แบบบัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน ออกมาโพสต์ผ่าน Facebook เช่นเดียวกันว่า วันนี้สถานการณ์กำลังเผชิญกับ Hybrid Warfare การรบที่มีหลายแนว หลายรูปแบบ ไม่ใช่การปะทะด้วยอาวุธที่จะเอาชนะด้วยความเหนือกว่าทางกำลังและขีดความสามารถในการรบเพียงอย่างเดียว

โดยหัวหน้าพรรคประชาชนเสนอว่า รัฐบาลจะต้องเปิด 3 แนวรบ เพื่อจบเกมรัฐบาลกัมพูชา ดังนี้

1. แนวรบทางทหาร: รัฐบาลประกาศสนับสนุนและกองทัพดำเนินการอยู่แล้ว การรบอย่างเต็มกำลังโดยมุ่งทำลายเป้าหมายทางทหาร เพื่อขจัดขีดความสามารถในการรบของกัมพูชา

2. แนวรบข่าวสาร: กระทรวงการต่างประเทศต้องเร่งชี้แจงว่า ไทยมีความชอบธรรมในการปกป้องตนเองต่อประชาคมโลก และไทยจำกัดขอบเขตโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารอย่างเคร่งครัด ‘ต้องนำเกม อย่าตามเกมกัมพูชา’ ที่รอรับบทประเทศเล็กกว่าถูกประเทศใหญ่รังแก

3. แนวรบโลกล้อมกัมพูชาด้วยการปราบสแกมเมอร์ รัฐบาลต้องเดินหน้าในการถอนรากถอนโคนขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของระบอบฮุน เซน (Hun Sen) 

“อย่าทำแค่จัดประชุมเรื่องปราบสแกมเมอร์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ รัฐบาลต้องมีแผนการมากกว่านี้ กระทรวงการต่างประเทศต้องคิดว่าจะประสานความร่วมมือกับแต่ละประเทศอย่างไรในการจัดการสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก” ณัฐพงษ์ระบุ

ณัฐพงษ์ยังย้ำอีกว่า ครั้งนี้คือ Endgame เป็นโอกาสที่จะจบปัญหาความมั่นคงชายแดนฝั่งตะวันออกของไทยอย่างถาวร เพื่อจัดการระบอบ ฮุน เซนที่เป็นภัยคุกคามต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้ทหารไทยต้องสูญเสียชีวิตและอวัยวะมาหลายครั้ง รัฐบาลต้องอย่าให้ทหารรบอยู่แนวเดียว ทุกองคาพยพต้องระดมสรรพกำลังเพื่อจัดการกัมพูชาอย่างเป็นระบบ เพื่อความผาสุกของประชาชนและความมั่นคงของชาติ

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาเสนอแนวทางต่อรัฐบาลเช่นเดียวกันในวันนี้โดยย้ำว่า ดินแดนของไทยคือศักดิ์ศรีของชาติ การปกป้องอธิปไตยคือภารกิจที่ต้องยืนหยัดร่วมกันเหนือความขัดแย้งทางการเมือง

ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอแนวทางการดำเนินการ ดังนี้

1. สนับสนุนกองทัพไทยเต็มกำลังเพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ พรรคประชาธิปัตย์ขอให้กำลังใจกองทัพไทยและเจ้าหน้าที่ทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งตลอดแนวชายแดน พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า รัฐบาลต้องสนับสนุนทรัพยากร ข้อมูล และกลไกทุกด้านแก่กองทัพอย่างเต็มที่และไม่ล่าช้า

2. ขอให้ประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือกับการอพยพอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ยังไม่นิ่ง พรรคประชาธิปัตย์ขอให้ประชาชนฟังข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัฐและกองทัพอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด

3. หากหลีกเลี่ยงการปะทะไม่ได้ รัฐบาลต้องใช้การทูตปกป้องสิทธิของไทยและสนับสนุนการปฏิบัติการของกองทัพ และในกรณีที่สถานการณ์จำเป็นต้องมีการปฏิบัติการทางทหารเพื่อป้องกันตนเอง กระทรวงการต่างประเทศต้องทำงานคู่ขนานกับกองทัพทันที ใช้ทุกเวทีระหว่างประเทศเพื่อยืนยันว่า ไทยมีสิทธิในการปกป้องดินแดนของตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เปิดช่องให้ฝ่ายใดนำสถานการณ์ไปบิดเบือน เพื่อทำให้ไทยเสียเปรียบบนเวทีโลก

“พรรคประชาธิปัตย์ขอย้ำว่า ไทยต้องยึดมั่นในหลักสันติวิธี แต่ต้องไม่ยอมให้ใครล้ำเส้นอธิปไตยของชาติ หรือใช้สถานการณ์เพื่อสร้างข้อเท็จจริงเชิงการเมืองที่ทำลายผลประโยชน์ของไทยในระยะยาว

“พรรคประชาธิปัตย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าไทยและกัมพูชาจะหาทางออกโดยสันติได้ในเร็ววัน แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์จะยืนเคียงข้างประชาชน ชาติไทย และผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินของเราอย่างถึงที่สุด”

Tags: , , , , , ,