วันนี้ (16 ธันวาคม 2568) ที่ทำการพรรคเพื่อไทย เปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคทั้ง 3 คนคือ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรองศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล บุตรชายคนโตของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ คนที่ 26 ของประเทศไทย พร้อมกันนั้นทั้ง 3 คนยังได้แสดงวิสัยทัศน์ภายใต้แคมเปญ ‘ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้’
จุลพันธ์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องการสร้างพรุ่งนี้ที่ดีกว่า โดยการสร้างหลักประกันเงินออม การปลดหนี้ และการสร้างรายได้ใหม่ เพราะนิยามของประชาชนในสังคมประชาธิปไตยคือ ความมั่นคง อิสรภาพ และโอกาสในชีวิต สอดคล้องกับแนวคิดของพรรคเพื่อไทยคือ มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี

หัวหน้าพรรคเพื่อไทยระบุต่อว่า วันนี้ประชาชนยังประสบกับความลำบากทางเศรษฐกิจ มีค่าครองชีพสูงขึ้น แต่รายได้กลับลดลง ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าเดินทาง เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เกษตรกรยังเจอปัญหาสินค้าการเกษตรตกต่ำ แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้นคนไทยในปัจจุบันยังเจอกับ ‘ปัญหาหนี้ล้นตัว’ ทั้งหนี้บัตรเครดิต หนี้การศึกษา และหนี้นอกระบบ ทำให้เกิดสภาวะคนไทยแก่ก่อนรวย ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะยังคงเดินหน้าการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นหลัก
โดยจุลพันธ์เสนอ 2 นโยบายเร่งด่วนที่สามารถทำได้ทันที เพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ดังนี้
1. ‘หวยเกษียณ’ โดยพรรคเพื่อไทยจะทำให้ได้ภายใน 3 เดือนแรกของการเป็นรัฐบาล ด้วยหวยเกษียณจะทำให้เงินทุกบาทของคนซื้อลอตเตอรี่ไม่หายไป แต่จะกลายเป็นเงินออมเพื่อให้เป็นเงินก้อนในวัยแก่ชรา ดังนั้นหวยเกษียณจึงเป็นการสร้างหลักประกันในระยะยาว
2. ‘ล้างหนี้’ เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาส่วนบุคคลอีกต่อไป เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยไม่ให้เติบโต ตลอดการเป็นรัฐบาล 2 ปีของพรรคเพื่อไทย ได้พักหนี้เกษตรกรและแก้หนี้นอกระบบ เติมสภาพคล่อง ค้ำประกันสินเชื่อ ลดภาระหนี้ให้ประชาชนแล้วกว่า 6 ล้านราย คิดเป็นมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท
โดยกลุ่มหนี้นอกระบบ จุลพันธ์เสนอว่า ต้องการคืนอิสรภาพ ปลดความหวาดกลัวให้กับประชาชน โดยจะให้สินเชื่อรายละ 5 หมื่นบาทเพื่อให้ไปปิดหนี้นอกระบบ ขณะที่กลุ่มหนี้เสีย (NPL) พรรคเพื่อไทยจะให้คนที่เป็นหนี้เสียไม่เกิน 2 แสนบาท จ่ายไม่เกิน 10% และปลดหนี้ออกไป ส่วนหนี้เกษตรกร พรรคเพื่อไทยจะพักเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี วงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท และผู้สูงอายุต้องลดการพึ่งพาทางการเงินกับลูกหลาน โดยพรรคเพื่อไทยจะปลดหนี้เสียให้ในวงเงินไม่เกิน 1 แสนบาท
ทั้งนี้สำหรับคนที่เป็นลูกหนี้ดี ผ่อนตรงตามเวลาครบ 1 ปี พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการสมทบให้ฟรี 1 งวด ยอดเงินไม่เกิน 1 แสนบาท
“การแก้หนี้ประชาชนไม่ใช่การแจกเงิน ไม่ใช่ประชานิยม แต่คือการซ่อมฐานรากเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็ง เพื่อให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ต่อไป
“ตัวเลขทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสะท้อนความเดือดร้อน ความเหลื่อมล้ำ ความลำบากของประชาชน พรรคเพื่อไทยจะทำพรุ่งนี้ที่ดีกว่าให้ จะต้องทำให้ประชาชนมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี นี่คือนิยามของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะยกเครื่องประเทศไทย เพราะมีแต่เพื่อไทยเท่านั้นที่ทำได้” จุลพันธ์ทิ้งท้าย

ด้านสุริยะขึ้นกล่าวต่อว่า พื้นฐานของตนมาจากวิศวกร ถูกสอนมาให้คิดแบบเป็นระบบ เมื่อได้รับมอบหมายให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ก็มีความมุ่งมั่นจริงจังเต็มที่เพื่อให้นโยบายเป็นสำเร็จ เช่น ตอนที่ตนเข้ามาทำงานในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร นำบริษัท ปตท. และบริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อตีมูลค่ารัฐวิสาหกิจเหล่านั้นตามราคาตลาด เพื่อให้นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเห็นว่า รัฐบาลมีทรัพย์สินจำนวนมหาศาล ไม่ใช่เห็นแต่หนี้สิน
สุริยะระบุต่อว่า ตลอดระยะเวลาการทำงานกว่า 25 ปี หนึ่งในโครงการที่มีความภาคภูมิใจคือ ‘ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ’ ที่สร้างนานหลายสิบปี แต่มาแล้วเสร็จในสมัยรัฐบาลทักษิณ ในช่วงปี 2545-2548 เร่งรัดการก่อสร้างท่าอากาศยานจนแล้วเสร็จภายใน 4 ปี ทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันการเป็นศูนย์กลางการบินได้ และหลังจากเปิดบริการแล้วได้ถูกจัดอันดับโดยบริษัทอันดับโลก เป็นท่าอากาศยานที่ดีอันดับที่ 10 ของโลกได้

ทั้งนี้ภายหลังการรัฐประหาร 2549 สุริยะกล่าวว่า เป็นที่น่าเสียดายที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ทำให้คุณภาพลดลง มิเช่นนั้นคงไม่แพ้สิงคโปร์หรือฮ่องกง ในการเป็นศูนย์กลางการบินในทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ภายหลังที่ตนกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทำให้ท่าอากาศยานแห่งนี้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก ซึ่งจะเป็นเครื่องจักรสำคัญของภาคการท่องเที่ยวของประเทศ ทำให้ในปี 2568 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิถูกจัดอันดับดีขึ้นมาอยู่ที่ 39 จากที่อยู่ลำดับที่ 77
สุริยะกล่าวต่อว่า คมนาคมไม่ใช่แค่เรื่องการเดินทาง แต่คือการเปิดโอกาสให้คนทั้งประเทศ หากสามารถทำระบบถนน ระบบราง การบิน และท่าเรือให้พร้อมเป็นโครงข่ายเดียว ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีจะทำให้ไทยเป็นจุดเชื่อมที่สำคัญของภูมิภาค และจะทำให้ไทยแข่งขันได้มากขึ้น
ขณะที่นโยบายที่พรรคเพื่อไทยพร้อมสานต่อ สุริยะเปิดเผยว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ก่อนที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ตนเตรียมความพร้อมสำหรับนโยบายนี้ผ่านการแก้ไขกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ และประกาศต่อประชาชนว่า จะได้ใช้ภายในวันที่ 20 พฤศจิกายน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่รัฐมนตรีที่ทำหน้าที่ต่อจากตนทำอะไรอยู่ ถึงไม่ผลักดันเรื่องนี้
“ภายใน 3 เดือน ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พี่น้องประชาชนจะได้ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทันที” สุริยะประกาศ

อีกหนึ่งนโยบายที่พร้อมสานต่อคือ ‘บ้านเพื่อคนไทย’ พรรคเพื่อไทยเริ่มต้นเดินแล้วมี 4 โครงการนำร่อง ใกล้งาน ใกล้เมือง และที่สำคัญคือประชาชนสามารถจ่ายไหว ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจที่จะขยายโครงการดังกล่าวไปสู่พื้นที่ศักยภาพทั่วประเทศ ทำให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง การบิน และท่าเรือเป็นโครงสร้างที่ผู้คนตั้งหลักได้
“คนข้างนอกบอกพรรคเพื่อไทยอยู่ในจุดท้าทาย บอกว่าเราไม่สามารถกลับไปจุดเดิมได้อีก แต่ผมเชื่อว่าเราทุกคนในที่นี้ไม่ได้คิดแบบนั้น เรายังมีไฟ เรายังมีฝัน เรายังมีอุดมการณ์เดียวกันคือ การทำงาน ทำนโยบายให้กับพี่น้องประชาชน” สุริยะทิ้งท้าย
ส่วนยศชนันเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนสุดท้ายของพรรคเพื่อไทยที่ขึ้นกล่าวบนเวทีแห่งนี้ โดยเริ่มเล่าประวัติการทำงานว่า เมื่อปี 2551 เข้าบรรจุเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ด้านการบริหารเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย ดูแลระบบวิจัยที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในขณะเดียวกันภายหลังย้ายมาเป็นผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อดูแลสตาร์ทอัปและ SMEs เพื่อสนับสนุนเชื่อมเข้ากับภาคอุตสาหกรรม

ยศชนันระบุว่า สิ่งที่ประเทศไทยกำลังเดินในปี 2568 ยังคงเจอกับปัญหาเดิมๆ คือ เศรษฐกิจตกต่ำ ท่ามกลางปัญหาเทคโนโลยีดิสรัปชัน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาเศรษฐกิจไม่ใช่ปัญหาที่แก้ง่ายๆ แต่การที่ประเทศไทยเปลี่ยนนายกฯ ปีละครั้ง ประเทศไทยทำได้ขนาดนี้ก็ต้องชื่นชม
“ปัจจุบันเรานึกว่าไม่มีทางแล้วที่ประเทศไทยจะกลับมาได้ ถ้าเรายังทำแบบเดิม การเมืองแบบเดิม เราก็จะเจอกับความมืดมิด ถ้าเราเริ่มใหม่ ปรับโครงสร้างใหม่ โครงสร้างเศรษฐกิจ ปรับโครงสร้างเทคโนโลยี บวกกับความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ทุกอย่างเป็นไปได้”
โดยยศชนันประกาศเป้าหมายอันดับแรกหากพรรคเพื่อไทยกลับไปเป็นรัฐบาล คือจะเข้าไปวางรากฐานเพื่อพาประเทศไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูง โดยอัปเกรดเครื่องยนต์ที่มีอยู่ ทั้งการเกษตร อุตสาหกรรมการผลิต และภาคบริการ ซึ่งเป็นเสาค้ำของ GDP ประเทศ

ยศชนันเสนอให้เพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ซึ่งทำได้ผ่าน 2 วิธีคือ เพิ่มจำนวนคน ซึ่งสำหรับไทยนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ดังนั้นต้องการเพิ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปในทุกอุตสาหกรรม รวมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ ซึ่งตนมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยทำได้
ขณะเดียวกันบทบาทหน้าที่ของรัฐบาลต้องรองรับเศรษฐกิจมูลค่าสูงเช่นเดียวกัน ผ่านการความมั่นคงในทุกมิติ ทั้งความปลอดภัยทางกายภาพ ไซเบอร์ การเมือง รวมถึงความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม
นอกจากนั้นบทบาทของรัฐบาลจะต้องการทำสงครามกับคอร์รัปชันทุกรูปแบบ ผ่านการเป็นรัฐบาลดิจิทัล สร้างวัฒนธรรมต่อต้านคอร์รัปชันที่ต้องเป็นวัฒนธรรมของทั้งประเทศ
“คนไทยทุกคนต้องได้รับโอกาสการเติบโตที่เท่ากัน ไม่ว่าวันนี้เขาจะเกิดที่ไหนในผืนแผ่นดินไทย จะต้องได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกัน สิ่งที่เราทำไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่เราทำเพื่อเปลี่ยนแปลง และหัวใจคือประชาชน การเดินทางครั้งนี้คงไม่ใช่แค่การเดินทางของพรรคเพื่อไทย แต่เป็นการเดินทางของพวกเราเพื่อสร้างประเทศไทยขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”

ทั้งนี้จุลพันธ์ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในช่วงท้ายของการแถลงวันนี้ว่า จากการหารือสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบัน ตลอดจนความต้องการของประชาชนในประเทศ นายกฯ ที่สามารถพาให้ประเทศพ้นจากความขัดแย้ง ขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไปข้างหน้าได้คือ ‘ยศชนัน’ แต่ไม่ได้มีการกำหนดตัวเลขลำดับที่ 1 ลำดับที่ 2 และลำดับที่ 3







