วันนี้ (10 มิถุนายน 2568) พลเอก สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงแก่อสัญกรรมด้วยวัย 91 ปี เป็นหนึ่งในนายกฯ ที่อายุยืนยาวที่สุด
พลเอกสุจินดาเกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2476 จบจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า หลักสูตรเวสต์ปอยต์ (รุ่น 5) เติบใหญ่ในชีวิตราชการจนได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกระหว่างปี 2533-2535 โดยมีบทบาทอย่างสูงในการรัฐประหาร ในนาม ‘คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ’ (รสช.) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ยึดอำนาจ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ด้วยข้อหา ‘บุฟเฟต์คาบิเนต’ ว่า มีการคอร์รัปชันครั้งมโหฬาร แทรกแซงข้าราชการ เผด็จการทางรัฐสภา ทำลายสถาบันทหาร รวมถึงมีส่วนบิดเบือนคดีที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
หลังรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 รสช.ตั้ง อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ โดยอานันท์รับภารกิจให้เร่งจัดทำรัฐธรรมนูญและเร่งให้มีการเลือกตั้ง จนมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีถัดมา ทว่าอำนาจของ รสช.ยังคงอยู่ แม้ ‘อานันท์’ จะพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ไปแล้ว
7 เมษายน 2535 พลเอกสุจินดาเข้ารับตำแหน่งนายกฯ คนที่ 19 ของประเทศไทย ภายหลังพรรคร่วมรัฐบาลประกอบด้วยพรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย และพรรคราษฎร ร่วมกันเสนอชื่อพลเอกสุจินดา
การดำรงตำแหน่งนายกฯ ของพลเอกสุจินดานำมาซึ่งการประท้วงครั้งใหญ่ที่หน้ารัฐสภา เนื่องจากก่อนหน้านี้ พลเอกสุจินดาซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก รวมถึงเป็นเลขาธิการ รสช.ประกาศไว้ว่า จะไม่ดำรงตำแหน่งนายกฯ แต่สุดท้ายต้องยินยอมรับตำแหน่งเพราะ ณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม มีชื่อพัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติด และติดแบล็กลิสต์ของสหรัฐอเมริกา
พลเอกสุจินดาชี้แจงต่อรัฐสภาในเวลาต่อมาว่า เหตุผลที่รับตำแหน่งนายกฯ นั้น เพื่อขัดขวางการตั้งสภา ‘เปรซิเดียม’ (Presidium) ของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ และการตั้งศาสนาใหม่ของพลตรี จำลอง ศรีเมือง และการดำรงตำแหน่งครั้งนี้เป็นการ ‘เสียสัตย์เพื่อชาติ
การประท้วงที่หน้ารัฐสภา ลามมาถึงการประท้วงใหญ่ที่ท้องสนามหลวงและถนนราชดำเนิน ซึ่งสุดท้ายจบลงด้วยเหตุจลาจล การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และการใช้ ‘กระสุนจริง’ สาดเข้าใส่ผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตตามรายงานทางการทั้งสิ้น 44 ราย สูญหาย 48 ราย บาดเจ็บสาหัส 47 ราย บาดเจ็บ 1,728 ราย แต่มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่านั้นมาก แต่ถึงที่สุดก็ยังไม่มีท่าทีที่พลเอกสุจินดาจะลาออกจากตำแหน่ง
เย็นวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 มวลชนที่ยังปักหลักบนถนนราชดำเนิน เคลื่อนขบวนไปยังสถานที่ชุมนุมใหม่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ท่ามกลางข่าวลือว่า รัฐบาลอาจเดินหน้าล้อมปราบอีกครั้ง แต่ในค่ำวันเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) เรียก พลเอกสุจินดา, พลตรีจำลอง ผู้นำการชุมนุม รวมถึงพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ และสัญญา ธรรมศักดิ์ เข้าพบ จึงเป็นอันยุติเหตุรุนแรงทั้งหมด ขณะที่พลเอกสุจินดาลาออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2535 เท่ากับระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของพลเอกสุจินดาอยู่ที่ 47 วันเท่านั้น
แต่ก่อนที่จะลาออก 1 วัน รัฐบาลพลเอกสุจินดาออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17-21 พฤษภาคม 2535 โดยให้ ‘บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2535 และได้กระทำในระหว่างวันดังกล่าว ไม่ว่าได้กระทำในฐานะเป็นตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำหรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง’ ส่งผลให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตและสูญหายของประชาชนพ้นผิดโดยสิ้นเชิง และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครต้องรับโทษ
หลังเกิดเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม พลเอกสุจินดาเคยให้สัมภาษณ์กับ วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ว่า “ไม่คิดว่าตัวเองผิด แต่คิดว่าตัดสินใจผิด แต่ตัวเองไม่ได้ผิดและไม่เคยทำอะไรผิด เพราะไม่เคยสั่งการให้ยิง ไม่เคยสั่งการให้ฆ่าประชาชน ไม่เคยจะสั่งการอย่างนั้น แล้วเข้ามาเป็นนายกฯ เป็นไปตามกฎระเบียบที่ถูกต้องทุกอย่าง เรื่องเสียสัตย์อะไรที่ว่าก็ไม่ใช่เรื่องผิดกติกาอะไร ผิดมารยาทอะไร แต่โอเค มันอาจจะดูไม่ดีในแง่หนึ่ง แต่มันไม่ใช่เรื่องผิดใช่ไหม ไม่ได้ผิด
“ผมก็เสียใจ แต่ที่เสียใจคือทำให้กองทัพวางตัวลำบาก ประชาชนส่วนหนึ่งก็เกลียดชังกองทัพ เขามองไม่เห็นว่าอะไรที่กองทัพได้ทำมา กลายเป็นว่าเป็นความผิดของกองทัพ เราก็เสียใจว่า เราเป็นคนหนึ่ง เราเป็นคนที่เชิดชูกองทัพ เรียนมาเพื่อหวังที่จะทำให้กองทัพเข้มแข็งมั่นคง เป็นที่พึ่งที่ศรัทธาของประชาชน แต่เรากลับมีส่วนทำให้กองทัพต้องถูกโจมตี ก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา แต่ไม่เคยคิดโทษใคร หรือโทษคนรอบข้าง เราต้องโทษตัวเราเอง ไม่มีใครมาทำอะไรได้ ถ้าเราตัดสินใจว่าเราจะไม่ทำอย่างนั้น ถ้าเราไปโทษคนรอบข้างเราก็แย่”
ขณะเดียวกันยังกล่าวด้วยว่า “บทเรียนประการสำคัญที่ได้รับก็คือ ทหารยังไม่ลึกซึ้งกับการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เต็มไปด้วยกลเกม”
ตามความเชื่อของพลเอกสุจินดา ความรุนแรงในเดือนพฤษภาคม 2535 เป็นเรื่องของ ‘มือที่สาม’ ที่คอยยุยงให้เกิดเหตุรุนแรง และหมายไปถึงคู่แค้นตลอดกาลอย่างกลุ่มนักเรียนนายร้อย จปร.รุ่น 7 ที่มีพลตรีจำลองและพลเอก พัลลภ ปิ่นมณี เป็นผู้นำ
นับจากความรุนแรงในวันนั้น พลเอกสุจินดายังใช้ชีวิตตามปกติที่บ้านซอยระนอง 2 พร้อมกับยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมด เปิดบ้านพักเพียงวันสงกรานต์ให้นายทหารและนักการเมืองเข้ารดน้ำดำหัว กระทั่งเสียชีวิตในวันนี้
อ้างอิง
https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_699157