1

“เขาดูเป็นคนเงียบๆ และขี้อายหน่อยๆ ไม่มีใครจะจินตนาการออกว่า เขาจะกลายเป็นผู้นำได้”

16 ตุลาคมนี้ โลกทั้งใบจะจับจ้องไปที่จีน เมื่อมีการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ แม้จะมีวาระหลากหลายเรื่องในการประชุม แต่สิ่งที่ต้องจับตาคือ สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีจีน จะสามารถต่ออายุตัวเองให้เป็นผู้นำได้อีกสมัยหรือไม่ หลังเป็นมา 2 วาระ 10 ปีแล้ว โดย เติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping) อดีตผู้นำคนสำคัญ ได้กำหนดไว้ว่าประธานาธิบดีจีนจะเป็นได้แค่ 2 วาระเท่านั้น เพื่อป้องกันการบูชาลัทธิตัวบุคคลแบบ เหมา เจ๋อตง (Mao Zedong) ที่เคยสร้างความพินาศให้กับแผ่นดินจีนมาแล้ว

สี จิ้นผิง กำลังท้าทายกฎเหล็กที่เติ้งกำหนดไว้ หากเขามุ่งมั่นจะเป็นผู้นำอีกวาระ หรือสมัยที่ 3 ครองอำนาจยาวนานไปอีก 5 ปี จะถือเป็นการรื้อมรดกของเติ้งทิ้งอย่างไม่แยแสแน่นอน

ไม่เพียงเท่านั้น หลายคนคาดกันว่าบางที สี จิ้นผิง อาจจะรื้อฟื้นตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งคนที่ดำรงตำแหน่งนี้คือเหมา เจ๋อตง ก่อนโดนยุบไป แต่หากสีนำมันกลับมา เขาจะกลายเป็นประธานสี ต่อจากประธานเหมา และครองอำนาจไปตลอดชีวิต

นั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาเกือบหลายสิบปีแล้ว ที่ผ่านมา การเปลี่ยนผ่านอำนาจ ส่งต่อตำแหน่ง ผู้นำต่อผู้นำ เป็นไปอย่างละมุนนุ่มมาตลอด

ความตึงเครียดตรงนี้ เราจึงเห็นข่าวลือมากมายเกี่ยวกับสี จิ้นผิง แม้มีความพยายามจากผู้อาวุโสในพรรคที่ออกมาเปิดหน้าโจมตีอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจ เพราะพวกเขาไม่ต้องการเห็นเรื่องราวสมัยเหมา เจ๋อตง ครองเมืองปกครองประเทศ แล้วใช้ลัทธิบูชาผู้นำ จนเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมและสร้างความปั่นป่วนให้กับจีนกลับมาอีก

ที่สำคัญ สี จิ้นผิง และครอบครัวก็ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติวัฒนธรรมด้วย เดิมทีคนที่ศึกษาชีวิตของสี คิดว่าความโหดร้ายในช่วงนั้นมีผลหล่อหลอมสี จิ้นผิง อย่างมาก 

จากลูกของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน สู่ผู้ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติวัฒนธรรม สู่ชายผู้ทำงานการเมืองเงียบๆ ไม่โดดเด่น จนวันนี้เขากลายเป็นผู้นำแผ่นดินมังกรทรงพลัง ทุกอย่างหาใช้วาสนาไม่ที่นำพาชายคนนี้ไปไหนต่อไหน 

แต่คืออำนาจต่างหาก!

2

สี จิ้นผิง เป็นลูกชนชั้นนำอย่างแท้จริง พ่อเขาดำรงตำแหน่งใหญ่ในพรรคคอมมิวนิสต์ ครอบครัวจึงมีชีวิตสุขสบาย ในช่วงที่คนจีนนับล้านมีฐานะยากจน สีได้กินอาหารครบทุกมื้อ ได้เรียนในโรงเรียนที่ลูกหลานชนชั้นนำในพรรคศึกษา เรียกได้ว่ามีความเป็นอยู่ราวกับคุณหนู

คนจีนจะแอบเรียกลูกหลานพวกนี้ว่า ‘องค์ชาย’ แม้ในช่วงเวลานั้น ระบอบฮ่องเต้อันยืนยงของจีนจะล่มสลายลงนานแล้ว แต่ชนชั้นนำไม่เคยจางจาก มันแค่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน องค์ชายในนามลูกหลานผู้บริหารพรรคถูกแทนที่ ชีวิตหรูหราแบบนี้เองคือสิ่งที่องค์ชายสีถูกเพาะเลี้ยงบ่มมาตั้งแต่วัยเยาว์

พ่อของสีทำงานใกล้ชิดกับเหมา เจ๋อตง มาก แต่ด้วยการมัวเมาอำนาจของเหมาจนบริหารประเทศผิดพลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คนจีนเดือดร้อนอดอยาก มีความพยายามจะกดดันให้เหมาวางมือจากการบริหารแผ่นดินมังกร ซึ่งนั่นกลับทำให้เหมา เจ๋อตง เปิดฉากการปฏิวัติวัฒนธรรมสุดโหดร้าย ที่ให้คนหนุ่มสาวออกไปทำลายล้างศักดินา ชนชั้นนายทุนที่ยังหลงเหลืออยู่ในจีน

เหมาเอาตัวเองไปให้คนหนุ่มสาวบูชา จนเกิดการไล่ล่าศัตรูทางการเมืองของตัวเอง เพียงเพราะพวกเขาเหล่านั้นเป็นคอมมิวนิสต์ไม่พอ และไม่ภักดีต่อเหมา ทุกคนต้องเคารพรักประธานเหมา ห้ามเถียงห้ามตั้งข้อสงสัย ผลก็คือมีคนถูกฆ่า ถูกทรมาน ถูกจับ ชนชั้นนำในพรรคคอมมิวนิสต์จีนแตกเป็นเสี่ยงๆ

พ่อของสีหลุดจากทุกตำแหน่งในพรรค ถูกทรมานติดคุก สีถูกส่งไปทำงานบ้านนอก ตามแนวคิดของเหมาที่ต้องการให้คนหนุ่มสาวออกสำรวจชนบท เขาเห็นลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงยอมฆ่าตัวตายเพื่อเลี่ยงการถูกจับกุมด้วย

สีในวัยรุ่นถูกส่งไปทำงานเป็นกรรมกร ชีวิตองค์ชายจบสิ้น มีคนยืนยันว่าเขาไม่ได้อยากทำงานแบบนี้เลย นั่นก็เพราะเขาถูกเลี้ยงดูอย่างสุขสบาย วันหนึ่งชีวิตหรูหราก็เป็นเพียงอดีตเสียแล้ว แต่ในที่สุด สี จิ้นผิงก็รู้ดีว่า โลกแบบเดิมไม่หวนกลับมาอีกต่อไป เขาจึงเริ่มทำงานและยอมเป็นกรรมกร ก้มหัวเป็นงัวงานในที่สุด  

เขาเฝ้ามองคุกที่พวกเรดการ์ดสร้างไว้และจับคนไปทรมานเพียงเพราะไม่รักเหมามากพอ นั่นทำให้สี จิ้นผิง รู้เลยว่าจะต้องไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก แต่แทนที่เขามุ่งมั่นจะทำให้จีนหัวเสรีกว่าเดิม เขากลับตกผลึกว่าการปล่อยอำนาจให้แก่ปัจเจกบุคคลเป็นเรื่องอันตราย มวลชนที่รวมตัวจะสร้างความโกลาหลให้กับจีนอย่างมาก

ดังนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จะต้องเข้มแข็งและคุมเข้มกว่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องการปฏิวัติวัฒนธรรมได้อีก ท้ายที่สุด สี จิ้นผิง ก็เข้าใจแล้วในกลเกมแห่งการขึ้นสู่อำนาจในพรรค เขาจะต้องศรัทธาในพรรคคอมมิวนิสต์จีนยิ่งกว่าใคร 

พูดง่ายๆ ว่า ‘เขาจะต้องแดงยิ่งกว่าแดง’

3

เมื่อความโหดร้ายของการปฏิวัติวัฒนธรรมอวสาน เพราะเหมา เจ๋อตง ต้องเจอข้อบังคับของศักยภาพมนุษย์ ซึ่งก็คือความตาย นั่นทำให้เติ้ง เสี่ยวผิง ที่ก็ตกทุกข์ได้ยากในช่วงนั้น กลับมาครองอำนาจอีกครั้ง เติ้งสั่งกวาดล้างพวกเรดการ์ด และผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมอันเป็นที่รู้จักกันว่า ‘แก๊ง 4 คน’ ออกไป

จากนั้นเติ้งเปิดประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจให้รุดหน้าอย่างมาก ทำให้พ่อของสีได้กลับมามีบทบาทอีกครั้ง เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ตัวสีจึงได้กลับมาสบายอีกครั้ง แต่ด้วยความคิดใหม่ เขาไม่ใช่ลูกคุณหนูอีกแล้ว แต่คือชายที่พยายามไล่ล่าอำนาจนี้

เอกสารการทูตอเมริกาที่วิกีลีกส์ปล่อยหลุดชี้ชัดว่า สี จิ้นผิงมองว่าเขาเป็นลูกหลานของคนในพรรค เป็นลูกชนชั้นนำ ดังนั้น เขาจึงมีสิทธิที่จะปกครองประเทศนี้ ในช่วงที่สีมีอำนาจ เขาดึงพวกลูกหลาน ซึ่งหลายคนก็เป็นองค์ชายแบบสี มาบริหารประเทศเยอะกว่าเดิมมาก

เพราะพวกเขาเชื่อว่าตัวเองคู่ควรกับการปกครองจีน

และสี จิ้นผิง เชื่อว่าตัวเองคือผู้กอบกู้คืนความยิ่งใหญ่ให้พรรค

หลังกลับจากชนบท ทำงานในพรรค ส่งไปดูงานที่รัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สีได้กินป็อปคอร์น แม้สีจิ้นผิงจะได้เข้าสู่เส้นทางอำนาจ แต่เขาไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก ช่วงแรกๆ เขาไม่ได้ทำงานในเมืองอย่างเซี่ยงไฮ้ ซึ่งรุ่มรวยจากการทดลองเปิดระบอบเศรษฐกิจ จนเจ้าหน้าที่พรรคในเมืองต่างมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักอย่างมาก

แต่สีเองกลับได้ไปอยู่ในเมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของประเทศอย่างฝูเจี้ยน ถึง 17 ปีด้วยกัน ก่อนจะได้มาเป็นผู้ว่ามณฑลอย่างเจียงซี เขาไม่ได้ทำตัวน่ารังเกียจ หรือน่าด่า แต่ก็ไม่โดดเด่น ไม่ค่อยมีผลงานอะไรมาก

ช่วงเวลานั้นคนจีนดูจะรู้จักภรรยาคนที่ 2 ของเขามากกว่า ซึ่งเป็นนักร้องชื่อว่า เผิง ลี่หยวน โดยเธอถูกพาตัวมาร้องเพลงขับกล่อมทหารหลังสาดกระสุนล้อมปราบนักศึกษาในเหตุการณ์นองเลือดที่เทียนอันเหมินในปี 1989

ช่วงเวลานั้น สีจึงเป็นเพียงสามีของเผิงเท่านั้น

แม้เมื่อก้าวเข้าสู่ตำแหน่งใหญ่โตในพรรค ตัวสีก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะห่วยแตก เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะมีคนคอยดูดาวรุ่งคนทำงานที่มีแวว เพื่อจะได้ปั้นดูแล สั่งสอนอบรมก่อนจะก้าวเติบใหญ่ไปสู่ตำแหน่งระดับสูงในอนาคต ซึ่งสี จิ้นผิงก็อยู่ในลิสต์รายชื่อด้วย

ดังนั้น ตอนที่เขาเข้ามามีอำนาจ หลายคนคิดว่าจากภูมิหลังที่เผชิญความวายป่วงช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม และท่าทางที่ดูจะหัวก้าวหน้า บางทีเขาอาจพาจีนไปสู่ระบอบที่ดีกว่านี้

ลูกสาวของอดีตผู้บริหารพรรคบอกว่า ตอนพ่อเธอรู้ว่า สี จิ้นผิงได้รับการคัดเลือกเป็นประธานาธิบดีนั้น พ่อถึงกับพูดว่า “ดีเลย พวกเราจะได้มีความหวังกับการเมืองใหม่ๆ เสียที”

แต่แล้วทุกคนก็คาดการณ์ผิดกันหมด

4

อย่างที่กล่าว สี จิ้นผิงเล็งเห็นว่าหากพรรคอ่อนแอ ความโกลาหลจะต้องเกิดขึ้นกับจีนอีกครั้ง ดังนั้น สิ่งแรกที่เขาทำคือสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรค จึงนำไปสู่การกวาดล้างศัตรูทางการเมืองอย่างราบคาบ ใครที่ดูมีแววเป็นคู่แข่งกับเขา ก็โดนกำจัดด้วยข้อหาง่ายๆ อย่างการคอร์รัปชัน ซึ่งในระบอบการเมืองที่ปิดและมีพรรคเดียวปกครองประเทศนั้น เป็นเรื่องยากที่จะแฉว่าใครทุจริตฉ้อฉลกันบ้าง

ให้แฉว่าใครไม่ทุจริตน่าจะหาง่ายกว่า

ดังนั้น ไม่ว่าจะจับกวาดล้างใครก็เจอความผิดเรื่องนี้อยู่ดี จะมากน้อยแค่ไหน แต่สีได้ใช้ข้ออ้างการปราบทุจริตนี้ในการขุดรากถอนโคนศัตรู พร้อมกระชับอำนาจด้วยคนสนิทของเขา ที่ถูกผลักดันให้เข้ามาคุมอำนาจในตำแหน่งต่างๆ ของพรรค

แม้ไม่ใช่ทุกคนที่ สี จิ้นผิง จะปราบได้หมด แต่ก็ทำให้คนที่อาจไม่เห็นด้วยกับสี โตมาจากคนละขั้วอำนาจ ก็ต้องหุบปากนิ่งเงียบ

เมื่อพรรคเข้มแข็ง เขาก็ผลักดันระบบเศรษฐกิจจีนอย่างเต็มที่ แม้เจ้าตัวจะหนุนหลังระบอบทุนนิยมแบบชี้นำ แต่สีก็ไม่ต้องการให้พวกนายทุนเหล่านี้มีอำนาจเหิมเกริมเกินไป เขายังต้องการให้พรรค (ที่เขาสร้างมาอย่างเข้มแข็งแล้ว) เข้าไปมีบทบาทในบริษัทเศรษฐีจีนอยู่ และหากใครดื้อแข็งข้อ ก็จะต้องโดนกฎหมายเล่นงาน

ดังนั้นอย่าซ่ากับสี และอย่าท้าทายพรรคโดยเด็ดขาด

สี จิ้นผิง ไม่เคยให้สัมภาษณ์สื่อตะวันตก ไม่เคยจ้อไมโครโฟนแบบเดียวกับที่มหามิตรอย่าง วลาดีมีร์ ปูติน ของรัสเซียชอบทำ คำพูดของเขาจะต้องถูกกลั่นกรองตรวจสอบก่อนจะปล่อยออกมา

ในจีน การควบคุมประชาชนเข้มงวดยิ่งกว่าเดิม สี จิ้นผิง มีค่ายกักกันคนอุยกูร์ เปลี่ยนกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่มีใครอยากทำงานและโดนดูถูก กลายเป็นกระทรวงที่คึกคัก มีการทูตแบบก้าวร้าว สวนกลับท้าชนได้ทุกที่ในโลก โชว์ให้เห็นระบอบอำนาจนิยมในการคุมฮ่องกงและข่มขู่ไต้หวัน พร้อมเปิดศึกรบชิงเกาะและขู่ฟ่อไม่กลัวอเมริกาด้วย

ทุกสิ่งที่ สี จิ้นผิง ทำ ยิ่งปูทางให้เขาพร้อมจะปกครองประเทศไปอีกวาระ หรือจนกว่าชีวิตจะหาไม่ได้เลย แม้จะมีผู้อาวุโสที่เคยทำงานให้พรรค แต่เกษียณไปแล้ว ได้เรียกร้องให้สีลงจากอำนาจ เพราะเป็นการฝ่าฝืนมรดกของเติ้ง

แต่มันก็ยากที่จะท้าทายชายคนนี้ได้ แม้นโยบายคุมเข้มโควิดเป็นศูนย์ของสี จะถูกวิจารณ์หนักมาก และหากเขาทำให้เศรษฐกิจจีนหยุดชะงักเมื่อไร ก็จะโดนประชาชนถล่มเละแน่

แต่เพราะระบอบสีที่เขาเพียรพยายามสร้างมาถึง 10 ปี จนหล่อหลอมประเทศจีนเป็นแบบนี้ ใครก็ยากจะท้าทายได้ บารมีกำลังเบ่งบาน จนไม่น่าเชื่อว่าองค์ชายสี ลูกคุณหนูที่ไม่อยากทำงานโรงงานตอนช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

จะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลของโลกแบบนี้

นักวิเคราะห์เชื่อว่าลึกๆ แล้ว ทุกความพยายามของสี คือการทำเพื่อตัวเอง เขาต้องการสร้างประวัติศาสตร์ให้คนจดจำ ในการทำให้จีนยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ เป็นตำนานเฉกเช่นเดียวกับ เหมา เจ๋อตุง และเติ้ง เสี่ยวผิง

ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตของสีจะเป็นอย่างไรต่อไป อำนาจจะนำพาเขาไปไกลกว่านี้ หรือจะเป็นแบบไหน ก็ยากจะเดาทางได้ แต่แน่นอนสิ่งที่ชายคนนี้ทำมาตลอดในหนทางแห่งชีวิต ก็คงจะสรุปได้ว่า

“สี จิ้นผิง ต้องการให้ประเทศจีนคำนึงถึงความสำคัญ และตระหนักว่าจะขาดเขาไปไม่ได้เด็ดขาด”

เขาจะทำสำเร็จได้หรือไม่ วันที่ 16 ตุลาคมนี้ พรรคและประเทศจีนจะให้คำตอบกับเขาเอง

ข้อมูลอ้างอิง

  1. https://asia.nikkei.com/Editor-s-Picks/China-up-close/Analysis-105-year-old-party-elder-sends-blunt-message-to-Xi?utm_campaign=GL_china_up_close&utm_medium=email&utm_source=NA_newsletter&utm_content=article_link

  2. https://www.economist.com/briefing/2022/09/28/an-investigation-into-what-has-shaped-xi-jinpings-thinking?fsrc=core-app-economist

  3. https://www.economist.com/leaders/2022/09/29/how-to-make-sense-of-xi-jinping-chinas-enigmatic-ruler

  4. https://www.economist.com/theprincepod

Tags: , , ,