ไม่แปลกที่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาจนบัดนี้ คุณคงจะเห็นหน้าตาและเรื่องราวของผู้ชายคนนี้อยู่บ่อยครั้งตามสื่อต่างๆ ก็เพราะ ‘Samui Song’ ไม่มีสมุยสำหรับเธอ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาจะเข้าฉายช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

นี่เป็นหนังลำดับที่ 11 ตลอดระยะเวลา 20 ปีในการหนังไทยของ เป็นเอก รัตนเรือง …มันช่างยาวนานเหลือเกิน…ผมคิดในใจ ไม่ใช่การรอคอยหนังเรื่องใหม่ของเขา แต่เป็นระยะเวลาที่เป็นเอกประกอบอาชีพผู้กำกับภาพยนตร์

ประมาณสิบปีก่อน ผมจำได้ว่าแวะเข้าร้านขายแผ่นหนังที่กำลังจัดโปรโมชันลดราคา ผมหยิบแผ่นหนึ่งขึ้นมา เรื่องตลก 69 หน้าปกเป็นหมิว – ลลิตา ถือปืนจ่อเข้าปากเหมือนจะฆ่าตัวตาย และที่ริมขวาล่างของปกระบุว่ากำกับฯ โดย เป็นเอก รัตนเรือง

ผมซื้อแผ่นนี้กลับไปดู แล้วก็พบว่ามันตลกสมชื่อหนัง มันเป็นตลกร้ายแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นในหนังไทยทั่วไป และหลังจากนั้นผมก็กึ่งๆ จะเป็นแฟนหนังของเขา เรียกว่าดูเกือบทุกเรื่องตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย

ผมมีนัดกับเขาในบ่ายวันเสาร์ของหน้าหนาวที่แสงแดดยังคงทำงานอย่างไม่รู้เหนื่อยที่ The Film Factory ในซอยสุขุมวิท 99 เป็นเอกนั่งรออยู่ก่อนในห้องที่ดูเหมือนบ้านญี่ปุ่นในชนบท มีชานระเบียงไม้ มองออกไปเป็นสวนสีเขียว และมีบ้านแบบเดียวกันอีกหลังอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่แปลกดีที่มีศาลพระภูมิตั้งอยู่ระหว่างกลาง

ผู้กำกับหนังที่ดูอ่อนกว่าวัย 55 ปีคนนี้ เป็นคนที่ใครได้คุยด้วยแล้วจะไม่มีคำว่า – ไม่สนุก ด้วยมุมคิดน่าสนใจ ในจังหวะพูดรัวเร็วแนมอารมณ์ขันเสียดสีแกล้มสบถ เรียกว่าบทสนทนาของเขา ‘ออกรส’ เสมอ

ก่อนจะพูดคุยกันพร้อมบันทึกภาพ เขาลังเลเล็กน้อยเรื่องแว่นตา ว่าจะใส่แว่นกันแดดหรือแว่นสายตาดี แต่จากภาพที่เห็นคงบอกคุณได้ว่า-เขาเลือกอะไร

Samui Song หนังเรื่องล่าสุด คุณหยิบแรงบันดาลใจ หรือประเด็นอะไรทางสังคมมาใส่ในหนังเรื่องนี้

มันเริ่มจากเราเห็นว่าในละแวกบ้านเรา แถวห้างเอ็มโพเรียม มีคู่รักที่ผู้หญิงเป็นคนไทยและสามีเป็นต่างชาติเยอะมาก เราก็คิดว่าชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างไร ก็เลยเกิดไอเดียว่าผู้หญิงในสังคมไทยกับชีวิตรักของเขามันต้องเล่นบทอะไรบ้าง อันนี้จึงเป็นที่มาว่าทำไมนางเอกในเรื่องถึงต้องเป็นดาราละคร เพราะเกิดจากการที่ผู้หญิงในสังคมไทยต้องเล่นบทบาทเยอะกว่าผู้ชาย

คือตอนนี้ผู้หญิงไทยต้องเป็นนักแสดง เก่งมากก็ไม่ได้ ฉลาดมากก็ไม่ได้ พึ่งตัวเองมากก็ไม่ได้ เพราะจะหาผัวไม่ได้ ผู้ชายแม่งไม่ชอบ ผู้ชายแม่งชอบแบบอ้อแอ้ๆ หน่อย ผู้หญิงไทยชอบพูดเสียงสูงเพราะจะได้เหมือนเด็ก แล้วมันไม่ใช่ความผิดของเขาด้วย แค่ว่าสังคมคาดหวังสิ่งเหล่านี้จากผู้หญิง ต้องขี้อาย ต้องสุภาพ ผู้ชายพูดหยาบได้ ไม่ค่อยน่าเกลียด แต่ผู้หญิงพูดหยาบนี่จะลำบากแล้ว ถ้าเกิดมาเป็นคนพูดหยาบอยู่แล้วก็ซวยไป ก็จะโดนมองอีกแบบหนึ่ง

หนังของผมเรื่องนี้จะเป็นเรื่องชีวิตของผู้หญิงในสังคมไทย เริ่มต้นมันเป็นเรื่องของความรัก การแต่งงาน และชีวิตคู่ของผู้หญิงคนนี้ เพียงแต่ว่าระหว่างทำไป มันก็มีประเด็นเรื่องศาสนาทางเลือกเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะจะมีข่าวว่าพระทำตัวไม่เหมาะสม โดนสึกออกไป เสร็จแล้วก็ไปตั้งลัทธิใหม่ แต่คนก็ยังตามไปกัน เราจะเห็นเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ

ทำไมถึงเลือก พลอย – เฌอมาลย์ มารับบทนำในเรื่อง

ที่เป็นพลอยเพราะว่า ‘วิยะดา’ ตัวนางเอกในเรื่องเป็นดาราละคร ซึ่งมีชีวิตที่ไม่แฮปปี้ เราก็คิดว่าจะมีใครเหมาะกว่าพลอยอีก อย่างแรกชีวิตจริงเธอก็เป็นดาราละคร อย่างที่สองคือเธอก็มีชีวิตที่ไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไร ง่ายๆ ตอนนี้สื่อก็เล่นเธอซะอ้วกใช่ไหม พลอยก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกที่เป็นทุกข์นี้ได้ดี เพราะเราไม่อยากได้คนที่ต้องมาทำการสร้าง พลอยมีความเข้าใจตัวละครนี้ มีประสบการณ์ในชีวิตจริงมาบ้าง ก็ไม่ต้องแสดงมาก และก็ให้เพิ่มเติมกับสิ่งที่ในบทของเราไม่มีอยู่

พลอยช่วยได้มาก มาถึงบอกเลยว่าต้องพูดประโยคประมาณนี้ (หัวเราะ) ซึ่งมันดี เพราะสิ่งเหลานี้ เราไม่ได้มีประสบการณ์จริง เราไม่รู้หรอก อีกอย่างคือกล้องชอบพลอย เวลาที่ยืนอยู่หน้ากล้อง พลอยดูดีมาก

คุณเคยบอกว่าเวลาทำหนังสักเรื่องจะให้ความสำคัญกับมิติของตัวละครมากกว่าบทหนัง

จริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวละครนะ เราให้ความสำคัญกับนักแสดงเลย เพราะว่านักแสดงที่น่าสนใจเท่านั้นที่จะทำให้หนังน่าสนใจ นักแสดงที่ท่องบทได้เป๊ะ มีระเบียบวินัย เล่นได้ทุกอย่าง แต่เขาอาจไม่มีความน่าสนใจ ความน่าสนใจไม่ได้แปลว่าสวยหรือหล่อ แต่ต้องเป็นคนที่เราอยากนั่งดูคนนี้ไปสองชั่วโมง ต้องมีคุณสมบัติอันนั้น เพราะว่าเขาเป็นร่างทรงของไอเดียเรา ทำให้การสื่อสารของเราไปถึงคนดู

ถ้าคนคนนั้นเป็นคนสวยเก่งทุกอย่าง แต่แบบ กูดูแล้ว กูเบื่อ ไม่มีมิติ เป็นคนแบนๆ มันก็ไม่ช่วยหนัง ทำให้นักแสดงเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเวลาที่เราเลือก เพราะฉะนั้นคนที่จะมาเป็นนักแสดงในหนังเรา ยังไม่ต้องพูดอะไร แค่นั่งกินกาแฟกันเฉยๆ เราเอากล้องไปถ่ายมันต้องน่าสนใจ ต้องมีอะไรน่าค้นหา

ความน่าสนใจของพลอยคืออยู่ตรงที่ว่า เวลาเราเห็นเขา จะรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สวย ช่างดูดี แต่ลึกๆ แล้ว เรารู้สึกว่าพลอยไม่ใช่คนที่มีความสุขกับชีวิตนัก เหมือนเขามีปัญหาอยู่ แต่นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงนะ เป็นมุมมองของเรา แต่ถ้าไปถามเขา ก็อาจจะบอกว่ามีความสุขดีอยู่ก็ได้

ตอนเราทำหนังเรื่อง ‘นางไม้’ เราเลือกกิ๊บซี่ (วนิดา เติมธนาภรณ์) ทั้งๆ ที่ไม่ตรงกับบทเลย แต่เราปรับบทให้เข้ากับเขาเลย เพราะว่ากิ๊บซี่เป็นคนที่มีหน้าตาเหมือนไปทำอะไรผิดมา มีความรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ แต่ไม่อยากบอกใคร ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำ แบบนี้แหละเราว่าทำให้เขามีความน่าสนใจ

วิธีการทำงานหนังเรื่องล่าสุดของคุณ เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาไหม

ทำเหมือนๆ ทุกเรื่อง คือเขียนบทขึ้นมาเพื่อเป็นไกด์ว่าเราจะเดินไปทางไหน แต่บทมันก็เป็นแค่แผนที่ พอเริ่มได้นักแสดงมา เริ่มหาโลเคชัน บทมันก็เปลี่ยน เพราะนักแสดงแต่ละคนก็มีไอเดียเพิ่มเติม

อย่างนักแสดงคนอื่นในเรื่อง เดวิด (เดวิด ชัชวาลย์ อัศวนนท์) พอเขาอ่านบทเสร็จ ก็เอาประสบการณ์ส่วนตัวมาบอกเราว่า ‘พี่ผมเคยไปเจอเหตุการณ์นี้มาว่ะพี่’ พอเล่าเสร็จผมก็เปลี่ยนบทเลย พี่ปู-วิทยา (วิทยา ปานศรีงาม) ที่ต้องเล่นเป็นผู้นำลัทธิประหลาดในเรื่อง พอแกอ่านบทเสร็จนี่ โอ้โห…พี่ว่าน่าจะแต่งตัวแบบนี้ พี่ว่ามันน่าจะมีผ้าพันคอ มีการเป่ากระหม่อมแบบนี้ คือเขาเคยมีประสบการณ์แบบนี้ ก็เอาสิ่งเหล่านี้เข้ามาในหนัง ทุกคนมีส่วนร่วมทีละนิดๆ บทมันจะเริ่มเปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง พอออกกองไปถ่ายกัน มันก็เปลี่ยนไปอีก นึกออกไหม แต่มันเป็นวิธีการทำงานของเรากับทุกๆ เรื่องนะ

เพียงแต่เรื่องนี้ ยากตรงที่ว่าเรื่องมันเดินเร็ว พล็อตมันทวิสต์เยอะมากกว่าหนังเราปกติ สมัยก่อนหนังเราจะน้อยๆ บางๆ เน้นบรรยากาศซะเยอะ เรื่องนี้ไปหนักที่พล็อต ตอนเขียนบทเลยเขียนให้เยอะไว้ก่อน พอเข้าสู่การตัดต่อก็ยากอีก ถ้าตัดไม่ดี ทุกอย่างชัดเจนไป ก็จะไม่น่าสนใจ หรือตัดไม่ดีในแบบที่เรื่องปะติดปะต่อไม่ได้ ก็จะงงกันฉิบหาย มันก็เลยเกิดการกำจัดบางอย่างออกไปแล้วเก็บบางอย่างไว้ สิ่งที่เราเลือกเอาไว้ก็ต้องเอามาผสมให้เกิดเป็นเหตุผลที่ถูกต้อง

นักแสดงที่ท่องบทได้เป๊ะ อาจไม่มีความน่าสนใจ ไม่ได้แปลว่าสวยหรือหล่อ แต่ต้องเป็นคนที่เราอยากนั่งดูคนนี้ไปสองชั่วโมง เพราะว่าเขาเป็นร่างทรงของไอเดียเรา ทำให้การสื่อสารของเราไปถึงคนดู

ลัทธิประหลาดที่ว่าในหนังเป็นอย่างไร

ในหนังชื่อลัทธิพุทธคยา ความหมายเราก็ไม่รู้หรอก ก็ตั้งมันอย่างนั้นแหละ เป็นลัทธิเหนือจริงที่มีพิธีกรรมประหลาดๆ ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องที่เราเคยได้ยิน เรื่องลัทธิ หรือความเชื่อบางอย่างในเกาหลี ญี่ปุ่น เราก็เอารายละเอียดตรงนี้มาผสมกัน จนเกิดเป็นลัทธินี้ขึ้นมา แล้วสร้างภาพให้ชัดว่ามันประหลาดอย่างไร

หน้าที่ของลัทธินี้ในหนัง คือสามีต่างชาติของวิยะดามีปัญหาเรื่องเซ็กซ์ ก็เลยต้องไปพึ่งลัทธินี้ เรื่องเซ็กซ์เลยเป็นแรงขับของหนังเช่นกัน แต่ไม่ใช่ซีนอีโรติก มันค่อนข้างจะแอนตี้-อีโรติก (Anti-Erotic) ด้วยซ้ำไป เวลาดูแล้วมันน่าสมเพชหน่อย ในซีนธรรมดาก็มี แต่แฝงเรื่องเพศ เช่น  สามีของวิยะดา จริงๆ แล้วเป็นมหาเศรษฐี มีงานอดิเรกคือการปั้น แต่ที่เขาปั้นจะเป็นอวัยวะเพศชาย เพศหญิง หน้าอกของผู้หญิง อะไรแบบนี้ แต่ว่าคนดูจะเข้าใจเหตุผลว่าทำไมเขาจึงหมกมุ่นเรื่องนี้ แล้วเป็นที่มาของการทะเลาะกันกับเมีย เป็นที่มาว่าทำไมถึงต้องไปเชื่อฟังผู้นำลัทธินี้ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปที่เมืองไทย พระที่เสียคนส่วนใหญ่มีแค่สองเรื่อง คือเรื่องเงินกับเรื่องเซ็กซ์

คุณอยากบอกคนว่า เราไม่ควรไปเชื่อลัทธิหรืออะไรที่งมงายแบบนี้หรือเปล่า

คือเราไม่ได้สั่งสอนคนหรอก เพราะไม่ได้ลงลึกว่าอย่าไปเชื่อสิ่งเหล่านี้ มันไม่ได้พูดขนาดนั้น แค่แสดงให้เห็นว่าเพราะอะไรคนถึงเชื่อ

เรามักจะได้ยินคนพูดว่า ‘เพื่อนกูแม่งก็เป็น’ ‘เพื่อนผมนะพี่ พ่อแม่บริจาคกันเยอะเลย’ เราก็สงสัยกันว่าเชื่อเข้าไปได้ยังไง ทั้งที่ทุกอย่างดูโคตรจะหลอกเลย แต่เราไปคิดอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ คนเชื่อทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง จะไปว่าเหตุผลของเขาไม่ดี หรือเป็นคนโง่ ไม่จริงนะ เราคิดอย่างนั้นไม่ได้

คือการที่คนหลงใหลลัทธิแบบนี้ เพราะชีวิตเขาอาจต้องการมันก็ได้ คนเรามีต้นทุนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะขาดบางอย่าง แล้วบังเอิญลัทธิแบบนี้นำเสนอสิ่งที่เขาต้องการได้ สมมติคุณเชื่อเรื่องสวรรค์-นรก ผมก็มีสิทธิ์ที่จะเชื่อลัทธิสำหรับคนที่ไม่ได้เชื่อในเรื่องสวรรค์-นรก

พระที่เสียคนส่วนใหญ่มีแค่สองเรื่อง คือเรื่องเงินกับเรื่องเซ็กซ์

ไม่ต้องอะไรมาก เราจะไปวัดทำบุญให้พ่อแม่ที่เสียใช่ไหม กว่าจะเดินถือถังสังฆทานจากที่จอดรถไปกุฏิเจ้าอาวาส มีของขายสารพัด พระเครื่อง ของขลัง ที่เสี่ยงดวงทำนาย ไม่รู้กี่เต็นท์ มีคนนั่งให้บริการอยู่ เราก็ไม่ต้องใช้บริการก็ได้ คนที่ต้องการเขาก็มีเหตุผลของเขา

เมื่อก่อนเราคิดแบบนี้ว่า ‘แม่งงมงายว่ะ เชื่อไปได้ไง’ อย่างคนที่จะซื้อรถ ก็ต้องไปหาหมอดูก่อนว่าสีอะไรดี เราว่าไอ้ห่าแม่งโคตรตลก แต่พอทำหนังเรื่องนี้ เปลี่ยนความคิดเหมือนกันว่าไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่มีคนที่เขาเห็นว่ามันสำคัญ และต้องการสิ่งนั้น

เรียกว่าเข้าใจคนเหล่านี้มากขึ้น

ใช่ คือทุกคนต้องการสิ่งนี้กันทั้งนั้น แต่บางคนมันก็เป็นเรื่อง ‘กูไม่มีอะไรจะพึ่ง แล้วกูกำลังแย่ กูก็เลยต้องพึ่งสิ่งนี้’ เขาก็ต้องมีสิ่งนี้ไว้

อย่างคุณอาจจะไม่ได้ต้องการสิ่งนี้เพราะชีวิตคุณไม่ได้แย่ แต่คุณพึ่งสิ่งอื่น เช่น เจลใส่ผมก่อนออกจากบ้าน ถ้าคุณไม่พึ่งเจลใส่ผม คุณก็จะไม่สบายใจ คือเจลใส่ผมก็อาจเป็นลัทธิหนึ่งเช่นกัน มันเป็นความสบายใจที่เราก็ต้องมี เพราะฉะนั้นตั้งแต่ทำหนังเรื่องนี้มา เราเข้าใจคนแบบนี้มากขึ้น ไม่ได้สนับสนุนนะ แต่มีความรู้สึกว่าไม่ควรตัดสินเขา

แล้วคุณเองมีที่พึ่งอะไรกับเขาด้วยหรือเปล่า

ถ้าจะขึ้นเครื่องบินก็ต้องห้อยพระ เอางี้ดีกว่า ปกติไม่ห้อย แต่ถ้าจะเดินทางก็ห้อยพระ งมงายไหม ก็งมงายนะ เราก็เป็น (หัวเราะ)

ออกกองถ่ายนี่ไม่ได้เลย สิ่งแรกที่ต้องทำคือไหว้เจ้าที่ก่อนเลย แต่ไม่ได้ขอให้ประสบความสำเร็จ ไหว้เพื่อขออนุญาตว่าเราจะมาทำความเสียหายบริเวณนี้ อย่าลืมว่ากองถ่ายหนึ่งกอง คนร้อยพ่อพันแม่ ชอบพูดจาลามกใส่กัน เช่น ช่างไฟบ้าจี้ คุณก็ชอบไปจี้มัน แล้วมันก็ร้อง หีๆๆ ควยๆๆ บางทีคุณก็ทำลายต้นไม้โดยไม่รู้ตัว กองถ่ายหนึ่งกองสร้างความเสียหายเยอะมาก เพื่อความสบายใจ เราขออนุญาตเจ้าที่ว่าวันนี้จะมีการลบหลู่เกิดขึ้น ขออภัยด้วย เหมือนเราไปบ้านคน ก็บอกเขาสักหน่อยว่าเรามาแล้ว

ลึกๆ เป็นคนเชื่ออะไรแบบนี้ไหม

ไม่เชื่อแต่ไม่กล้าลบหลู่ เพราะเคยมีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นมาแล้ว เราเชื่อว่าไอ้มิติที่เราอยู่กันมันไม่ได้เป็นมิติเดียวในโลก มีมิติอื่นที่เรามองไม่เห็น อย่างคนตายแล้ววิญญาณไปไหน มันต้องมีมิติอื่นที่เรามองไม่เห็นแน่ๆ

แต่ถ้าเป็นแบบไปบนกับสิ่งศักสิทธิ์แล้วเขาจะให้ผลลัพธ์ ประเภทว่าขอให้หนังได้ร้อยล้านแล้วจะวิ่งร้อยรอบ อะไรแบบนี้เราไม่เชื่อ แค่เชื่อเรื่องอีกมิติหนึ่ง ว่าเราจะไปสร้างความเสียหายหรือความพิโรธให้กับมิตินั้น มันอาจจะเป็นไปได้

ไม่เคยบนบานขอให้หนังตัวเองได้ร้อยล้าน?

ไม่ขอ ไม่กล้าขอ ขอแล้วอาย เหมือนเวลาแข่งบอลสองทีม ไอ้ทีมนี้ก็ขอให้ชนะ ไอ้ทีมนั้นก็ขอให้ชนะ แต่มันชนะได้ทีมเดียวแล้วไง คุณก็ขอจากคนคนเดียวกัน แล้วเขาไม่ลำบากใจแย่เหรอ ถ้ามีจริง ก็ต้องมีคนขอเขาเยอะมากๆ ในแต่ละวัน มีเป็นร้อยเรื่องได้ แล้วเราไม่สงสารเขาหรือไง

แต่ถ้าขออนุญาตว่าวันนี้จะขอถ่ายหนังตรงนี้หน่อยนะครับ เดี๋ยวจะสร้างความเสียหาย มีการพูดจากันไม่ดี อะไรอย่างนี้ เราว่าไม่ใช่เรื่องงมงาย เป็นความเคารพ เหมือนไปเจอผู้ใหญ่แล้วต้องไหว้ พ่อแม่แฟน พ่อแม่เพื่อน เราก็ไหว้ ซึ่งเราไม่เคยตั้งคำถามด้วยว่าทำไมต้องไหว้ มันเป็นเรื่องของกาลเทศะอะไรอย่างนี้

หนังเรื่องนี้ชื่อ ‘Samui Song’ แสดงว่าน่าจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเกาะสมุย

คือมีเพื่อนเราคนหนึ่งทำเสื้อยืดให้เพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่สมุย เพราะไปเปิดร้านกาแฟ เขาทำเสื้อยืดที่เขียนว่า ‘สมุย’ แต่ฝากแฟนเรามา ให้แฟนเราตัวหนึ่ง ให้เราตัวหนึ่ง แล้วขอร้องให้ใส่ถ่ายลงเฟซบุ๊กให้หน่อย เราไม่มีเฟซบุ๊ก ก็เลยถ่ายลงเฟซบุ๊กแฟน ยืนถ่ายรูปกัน แล้วก็โพสต์ไป ปรากฏว่ามีแฟนหนังเรามาเห็นก็บอกว่า ‘เฮ่ย พี่ต้อมทำหนังเรื่องใหม่ชื่อ สมุย เห็นใส่เสื้อยืด’ ซึ่งตอนนั้นเราไม่มีไอเดียจะทำหนังเลย

แล้วเราไปดูรูปที่ถ่าย ก็คิดว่าดูดีว่ะ แบบกูรู้แล้ว เดี๋ยวทำหนังเรื่องต่อไป ไม่ว่าเรื่องมันจะเกี่ยวกับอะไร ก็จะตั้งชื่อเรื่องว่า ‘สมุย’ เขียนร่างแรกก็เป็น ‘สมุย 1’ เขียนร่างสองก็เป็น ‘สมุย 2’ เขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ ‘Samui Song’ ก็เลยกลายเป็นชื่อนี้

ชื่อมันมาจากความไร้สาระตรงนั้นก่อน พอถ่ายหนังไปปรากฏว่ามันก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่ แต่ในหนังเป็นสมุยที่ไม่ใช่แบบทุกวันนี้ที่เจริญมากแล้ว สมุยในหนังเราจะเป็นแบบที่เวลาเราไปเที่ยวแต่ก่อน ที่ดูยังไม่ค่อยเจริญ

แล้วหนังยังไม่มีชื่อภาษาไทย เป็นชื่อภาษาอังกฤษมาตลอดการถ่ายทำ เราก็นึกได้ว่าเคยมีหนังเก่าตอนเด็กๆ ชื่อว่า ‘ไม่มีสวรรค์สำหรับคุณ’ แล้วเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า ‘ไม่มีสมุยสำหรับเธอ’ เราก็เอาเลย ชื่อภาษาไทยมีความหมายที่ดี สมุยในเรื่องเป็นเหมือนสวรรค์ของนางเอกที่ทำให้เธอมีความสุข

ที่ผ่านมาหนังตัวละครนำทุกเรื่องของคุณมักเป็นผู้หญิง คุณสนใจอะไรในเพศหญิง

ผู้หญิงมีอะไรให้ค้นหามากกว่าผู้ชาย อย่างชีวิตเรานี่นะ เรียนรู้เรื่องใหญ่ๆ สองสามเรื่องจากผู้หญิง พี่สาว แม่ แฟน เราไม่ค่อยเรียนรู้อะไรจากผู้ชาย มีเพื่อนผู้ชายไว้ให้เตะบอล แดกเหล้า ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร แต่เรื่องสำคัญในชีวิตมันเกิดจากผู้หญิงทั้งนั้น

ตั้งแต่ตอนเลือกวิชาเรียนในมหาวิทยาลัย เราก็เลือกตามผู้หญิงคนที่เรากำลังจีบอยู่ เพราะเราอยากจะไปนอนกับเขา พอทำงาน เราไปหาเพื่อนรุ่นพี่ที่อยู่บริษัทโฆษณาว่าจะไปกินข้าวที่ออฟฟิศเขา ก็เห็นผู้หญิงสวยเยอะดี ขนาดคนไม่สวยแม่งยังเท่ ก็เลยทำโฆษณา ทั้งที่ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ ไม่เคยชอบ และทำไม่เป็น

เราไม่ค่อยเรียนรู้อะไรจากผู้ชาย มีเพื่อนผู้ชายไว้ให้เตะบอล แดกเหล้า ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร แต่เรื่องสำคัญในชีวิตมันเกิดจากผู้หญิงทั้งนั้น

เหมือนผู้หญิงมีอิทธิพลกับชีวิตเราเยอะมาก เราชื่นชมเพศหญิงในแง่ว่ามีความยากมากกับการใช้ชีวิตอยู่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เพศหญิงใจกว้างกว่าเพศชาย คือถ้าไม่ใจกว้างก็ลำบาก ผู้หญิงรับอะไรได้มากกว่าผู้ชาย ยอมอ่อนข้อกับอะไรเยอะมาก ผู้ชายจะมีข้อแม้เยอะว่าทำแบบนี้ไม่ได้ เดี๋ยวเสียฟอร์ม

อีกอย่างผู้หญิงไม่ค่อยรังเกียจตุ๊ด แต่ตุ๊ดจะรังเกียจผู้หญิง แต่ผู้ชายมันจะมีความรังเกียจตุ๊ดมากกว่าผู้หญิง ประเทศไทยถือว่าเรื่องแบบนี้น้อยนะ ผู้ชายไทยก็พอจะสามารถรับตุ๊ดได้ สังคมตุ๊ดในประเทศไทยจึงเปิดกว้าง แต่อย่างญี่ปุ่นนี่แทบจะไม่มีใครทำท่าทางตุ๊ดเลย ทั้งๆ ที่เราเชื่อว่ามีตุ๊ดเต็มไปหมด

เพื่อนเราที่เป็นผู้ชายแมน ๆ ก็จะแบบ ‘เฮ่ย ระวังนะมึง มันเป็นตุ๊ด’ จะระวังอะไรวะ จะเป็นตุ๊ดก็เป็นไป เขาก็เหมือนผู้ชายนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าจะอมกระเจี๊ยวทุกคน มันแค่รสนิยมทางเพศที่เขาชอบเพศเดียวกัน

เรื่องผู้หญิงเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความสนใจมากพอที่จะทำให้มันเป็นบทหนัง บางทีตอนเริ่มอาจจะยังไม่ใช่ อาจจะเริ่มด้วยภาพสักภาพหนึ่ง พอทำๆ ไปมันก็บิดเข้าไปหาตัวละครผู้หญิงเอง

คุณเป็นผู้ชายที่เข้าใจผู้หญิงไหม

เข้าใจหรือเปล่าไม่รู้ อันนี้ไม่กล้าเคลม เรียกว่าสนใจดีกว่า มีเรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล ที่ตัวละครเป็นผู้ชาย แต่เราก็ถ่ายออกมาเหมือนผู้หญิง พระเอกญี่ปุ่น (ทาดาโนบุ อาซาโน่) คนที่เราเลือกมาก็ดู feminine มากๆ

ทราบมาว่าตั้งแต่หนังเรื่องแรก ฝัน บ้า คาราโอเกะ จนถึงเรื่องล่าสุด Samui Song คุณใช้ทีมงานเดิมมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนเลย เพราะอะไร  

เปลี่ยนแล้วทีมงานน้อยใจ ‘อ้าว! แล้วกูไม่ได้ทำเหรอเรื่องนี้’ คือเราเดินทางไปด้วยกันตั้งแต่เริ่มจากที่ไม่มีใครทำอะไรเป็นเลยสักคน เราโตมาด้วยกัน เวลารวมตัวกันทีมันสนุกดี เหมือนมารียูเนียนกัน ได้ทำกิจกรรมที่ทุกคนรัก นั่นคือการทำหนัง

ข้อดีคือรู้ใจกันไปหมด ไม่ต้องพูดมาก ตอนทำหนังเรื่องแรกๆ นะ เราต้องหา references นั่งดูหนังด้วยกัน หาภาพนิ่งจากนิตยสาร อยากให้แต่งตัวแบบนี้ อยากได้โลเคชันแบบนี้ สมัยก่อนจะทำทีต้องคุยกันเยอะมาก อ่านบทพร้อมกันทุกคนหนึ่งวัน นั่ง discuss กันว่าอะไรเป็นยังไง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องหาเรฟเฟอเรนซ์อะไรแล้ว ทุกคนรู้รสนิยมซึ่งกันและกัน รู้ว่าเราไม่ชอบอย่างนี้แน่ๆ เขาก็จะไม่ทำ คนคัดเลือกนักแสดงก็รู้แล้วว่าคนแบบไหนที่เราสนใจ ข้อดีมีเต็มไปหมดในการที่ไม่เปลี่ยนทีม

แต่ข้อไม่ดีก็มี ด้วยความรู้ใจ ก็จะทำให้ขี้เกียจ เราก็ต้องหาวิธีไม่ให้ทีมงานขี้เกียจ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าอู้งาน แต่คือลักษณะที่ว่าไม่คิดต่อแล้ว การปล่อยให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นคือมันจะไม่สร้างสรรค์ ฉะนั้นเราต้องมีมาตรการมารับมือ อย่างเช่นสร้างสถานการณ์ที่ทุกคนไม่คุ้นเคย เพื่อจะทำตัวเหมือนปกติไม่ได้ แทนที่จะทำอย่างที่เคยทำมา หลับตาก็เห็นภาพเลย เราก็บอกว่าไม่ทำแบบนี้แล้ว จะทำอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่เมกเซนส์ มันก็จะเกิดความปั่นป่วนที่ทุกคนต้องหาทางออกใหม่

สมัยก่อนเราต้องควบคุมทุกคนให้เป็นไปตามที่ต้องการ แบ็กกราวนด์ เสื้อผ้าต้องสีนี้ รถยี่ห้อนั้น ถ่ายภาพต้องประมาณนี้ เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว เราคอยสร้างสถานการณ์ที่ปั่นป่วน เพื่อให้ทุกคนมาบอกเราว่าต้องถ่ายแบบนี้ คอสตูมสีแบบนี้ กลายเป็นคนอื่นมาบอกเรา ซึ่งมันสนุกดี ทุกคนก็ผ่อนคลายไม่ได้แล้วทีนี้ เพราะเดี๋ยวพลาด เหมือนผู้กำกับฯ เดินไต่เชือกอยู่คนเดียวแล้วจะตก ทีมงานก็เป็นคนบอกเราว่าทำอย่างไรให้ไปต่อได้

ระยะหลังดูเหมือนคุณสนใจหนังสารคดีมากขึ้น

มันไม่ได้สนใจมากขึ้นหรอก สารคดีมันทำง่ายดี ไม่ต้องใช้เงินเยอะ เวลาทำหนังอย่าง Samui Song มันเป็นเงินที่เราไม่มี ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน เราก็ต้องไปหาเงิน แต่สารคดีเราแม่งสามารถออกเงินทำเองได้เลย กล้องก็มีอยู่แล้ว คอมพ์ก็ใช้ตัดต่อได้ แค่นึกประเด็นให้ได้ว่าสงสัยเรื่องอะไรดี ซึ่งมันสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายและเร็ว

แต่ยังไม่มีแผนที่จะทำสารคดีเรื่องใหม่ใช่ไหม

ก็มีนะ แต่ไม่ใช่ไอเดียของเรา เป็นของพี่เอก (ภาสกร ประมูลวงศ์) คนที่ทำเรื่อง ประชาธิป’ไทย กับเรา พอดีเขามีเรื่องเกี่ยวกับคนในหุบเขาที่เนปาลเราเห็นว่าน่าสนใจ เดี๋ยวจะไปสำรวจโลเคชัน ลองไปเจอคนที่เนปาลดู น่าจะ

ช่วงต้นปี รอให้ Samui Song เข้าโรงก่อน แล้วจะไปดูว่าเป็นยังไง รู้ว่ามันสวยมาก เคยเป็นที่ที่ถูกแผ่นดินไหว แล้วคนก็พากันกลับไปสร้างที่อยู่ใหม่

สารคดีมันทำง่ายดี ไม่ต้องใช้เงินเยอะ เวลาทำหนังอย่าง Samui Song มันเป็นเงินที่เราไม่มี ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน เราก็ต้องไปหาเงิน

แฟนหนังของคุณจะมีโอกาสได้ดูสารคดี ประชาธิป’ ไทย ภาคสองไหม

ตอนแรกว่าจะฉายภาคสอง แต่คิดว่าบ้านเมืองเป็นแบบนี้ ก็คงไม่ได้ฉาย คือหนังไม่ได้รุนแรง ไม่ได้ด่าใคร เราก็ทำเก็บไว้ เพราะความอยากรู้ส่วนตัวของเรา ชีวิตนี้ไม่ได้ฉายเลยก็ไม่เป็นไร เอาไว้เมื่อประเทศนี้พร้อมจะดูก็ค่อยมาดูกัน มันเป็นบันทึก ที่ไม่ได้ทำมาเพื่อท้าทายอำนาจใคร ไม่ใช่จุดประสงค์ของเรา เราไม่ได้เป็นนักเคลื่อนไหว เราไม่ได้เป็นพวกเสื้อแดง เสื้อเหลือง เราเป็นคนทำหนัง ชีวิตนี้สงสัยอะไรก็ทำหนัง เราทำเพราะอยากรู้ว่าทำไมประเทศเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง

แต่ว่าบ้านเมืองเรา คนมีอำนาจขี้กลัว ยิ่งอำนาจเยอะยิ่งกลัวว่าคนจะเอาอำนาจไป ก็เลยต้อง’นอยด์เอาไว้ก่อน ก็ต้องใช้อำนาจในการปกครอง คนจิตใจไม่มั่นคงกลัวว่าเราจะไปทำอะไรมันหรือเปล่า สิ่งแรกที่มันทำก็คือเอาไม้ฟาดเราก่อน แต่เราก็ไม่อยากโดนไม้ฟาด

คิดว่าหนังของคุณยังเข้ากับรสนิยมคนดูในปัจจุบันไหม

ไม่รู้ ผมว่าอันนี้ต้องรอดู หนังเรามันวัดยาก เพราะว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาคนดูน้อย เราไม่เคยทำการตลาดเพื่อให้คนไปดูเยอะๆ เท่านั้นเอง โอเค-มีสองเรื่องที่เราทำแล้วพบว่าดูยากจริง คือ คำพิพากษาของมหาสมุทร (Invisible Waves) กับ นางไม้ มันเป็นหนังที่เราทดลองอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเราว่าไม่ได้ดูยาก แต่หนังเราไม่ได้เอ็นเตอร์เทนคนดูแบบหนังเมนสตรีม

เราทำหนังคิดถึงคนดูนะ แต่ไม่ใช่คนดูหนังจำนวนแบบร้อยล้าน เราคิดถึงคนดูของเรา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ได้รับความพอใจ เรียกว่าใช้ได้

อย่างเทคโนโลยีที่เข้ามาในสื่อบันเทิง คิดว่ามันส่งเสริมหรือทำลายวงการหนังอย่างไร

ส่วนตัวไม่ค่อยมีปัญหากับเรื่องคนดูแผ่นผี คนมาขอดูหนังเก่าๆ เพราะหาแผ่นไม่ได้ เรายังบอกให้ไปโหลดดูเลย เราในฐานะผู้กำกับฯ ยิ่งมีคนดูหนังเราเยอะยิ่งดี ดูฟรีก็ดูไปเถอะ คือเราห้ามเทคโนโลยีไม่ได้ สู้มันไม่ได้หรอก ทุกวันนี้รัฐเขายังต้องมานั่งไล่ปิดเว็บฯ โหลดหนัง เว็บฯ โป๊ แต่ก็ยังมีอยู่ คุณหยุดเทคโนโลยีไม่ได้

ทัศนคติเราคือในเมื่อหยุดมันไม่ได้ แต่จะให้กระโดดไปทำร่วมวง ไปทำหนังจอเล็กดูในมือถือตอนละห้านาที เราก็ทำไม่เป็น หนังเราทำเพื่อดูในโรงมืดๆ ที่ต้องใช้สมาธิดู ขนาดเฟซบุ๊กเรายังไม่มี มือถือเพิ่งมีไม่นานมานี้ เราไม่ได้ต่อต้าน แต่ชีวิตเราไม่ต้องการ เราไม่สนใจ ถ้าเราขายของออนไลน์ หรืออยากโปรโมตตัวเอง เราจะมีเฟซบุ๊กทันที แล้วเราก็ไม่อยากรู้ว่าใครทำอะไรอยู่ และไม่อยากให้ใครรู้ด้วยว่าเราทำอะไร อยากอยู่เงียบๆ เดี๋ยวพอทำหนังเสร็จ คนก็รู้เองว่าเราทำอะไร

ตอนแรกว่าจะฉาย ประชาธิป’ ไทย ภาคสอง แต่คิดว่าบ้านเมืองเป็นแบบนี้ ก็คงไม่ได้ฉาย เราก็ทำเก็บไว้ เพราะความอยากรู้ส่วนตัวของเรา เอาไว้เมื่อประเทศนี้พร้อมจะดูก็ค่อยมาดูกัน

เคยดูหนังออนไลน์อย่าง Netflix อะไรแบบนี้หรือเปล่า

ไม่ดู ทีวียังไม่มีเลย เสียเวลา แต่ถ้า Netflix มาบอกว่า ‘เป็นเอกทำหนังให้หน่อย’ เราทำเลยนะ เพราะชอบทำหนัง คนชอบนึกว่าเราดูหนังเยอะ เมื่อก่อนใช่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยดูแล้ว เราชอบทำมากกว่า เอาโจทย์มา เดี๋ยวทำให้

เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะมีหนังของเป็นเอกที่ได้ร้อยล้านไหม

ไม่เคย (หัวเราะ) เพราะรู้ว่ารสนิยมเรากับรสนิยมแมสส์ต่างกันมาก เพลงที่เราชอบฟังไม่เห็นมีใครฟังเลย ไอ้เพลงที่คนชอบกัน เราโคตรเกลียดเลย เราขอแค่อย่าขาดทุน เพราะคนที่มาลงทุนกับหนังเรา เขาก็หวังแค่นั้นนะ แต่ถ้าได้กำไรก็ดี เพราะว่าคนที่มาลงทุนหนังกับเรา กำไรมันมาในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่เงิน เขารู้สึกว่ามีเกียรติ มีความภูมิใจว่าหนังที่ลงทุนไปได้ไปคานส์ อาจจะเอาชื่อเสียงตรงนี้ไปต่อยอดหรือมีส่วนผลักดันในธุรกิจของเขาก็ได้ มันอยู่ที่มุมมองว่าใครจะมองอย่างไร นี่เราไม่ได้แก้ตัวเพราะว่าหนังไม่ได้เงินเยอะนะ (หัวเราะ)

คุณอยู่ในวงการหนังไทยมา 20 ปี  ทำหนังมาแล้ว 10 เรื่อง ถ้ามองย้อนกลับไป คุณคิดว่าอะไรคือแก่นของหนังแบบเป็นเอก

การเรียนรู้เรื่องการทำหนังไม่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเรา ฝีมือการทำหนังดีขึ้นเมื่อประสบการณ์มากขึ้น แต่ไม่ได้อะไรมากไปกว่านั้น สิ่งที่เราเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองจากการทำหนัง 20 ปี คือเรียนรู้ข้อจำกัดตัวเอง เรียนรู้นิสัยตัวเอง เรียนรู้ว่าเราทำอะไรได้แค่ไหน

ยังไงเราก็เอาชนะธรรมชาติไม่ได้ ธรรมชาติให้อะไรมา เราก็ต้องทำตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติ โลเคชันที่เลือกไว้สวยมากเลย มีแสงแดดลงตรงนี้ แต่ความเป็นจริงในวันถ่ายหนังท้องฟ้าครึ้มทั้งวัน แถมมีเสียงฟ้าร้องอีก พอถึงจุดหนึ่งก็ต้องยอมถ่าย

ตอนหลังจะยึดมั่นถือมั่นในอะไรน้อยลงเรื่อยๆ ดูว่าชีวิตให้อะไรเรามาแล้วเราทำอะไรกับมันได้ ความคาดหวังอะไรก็จะน้อยลง กลายเป็นว่าพอเรียนรู้แบบนี้มากขึ้น งานเราก็ดีขึ้นด้วย เพราะเราไม่ไปยึดติดกับสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ความสัมพันธ์กับนักแสดงก็ดี ยืดหยุ่นขึ้น เราว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกับชีวิต ใจเย็นขึ้นนิดหนึ่ง (หัวเราะ) เริ่มเข้าใจว่าการทำหนังก็คือการรอ เร่งไม่ได้จริงๆ

สมัยก่อนใครที่จะทำงานกับเรา ได้ยินกิตติศัพท์มาก็จะมีแต่คนขยาด คนกลัว ว่าเราดุ ตอนนี้คนที่ร่วมงานด้วยก็ว่าเราน่ารักดี (หัวเราะ) เวลาหนังไปฉายต่างประเทศ มีท่านทูตมารอรับ พอไปกินข้าวด้วยกันเขาบอกว่า “คุณเป็นเอกก็ตลกดีเนาะ ก่อนผมจะเจอคุณเป็นเอก ผมเครียดมาสามวัน เพราะติดภาพว่าคุณเป็นคนซีเรียส”

แต่ยังไงอาชีพนี้ก็ยังต้องคิดถึงตัวเองนะ อีโก้มันต้องมี ไม่งั้นมันทำไม่ได้ แล้วถ้าจะทำให้อยู่ในเลเวลเรา อีโก้มันต้องสูงมาก

แต่ตอนนี้เราก็เริ่มที่จะควบคุมอีโก้นั้นไม่ให้เป็นนายเรา เราก็จะได้คิดถึงคนอื่นมากขึ้น

 

 

ถ่ายภาพประกอบบทสัมภาษณ์โดย ขจรศิริ อุ่ยมานะชัย

 

FACT BOX:

  • เป็นเอก รัตนเรือง จบการศึกษาจาก Pratt Institute สาขา Art History ที่นิวยอร์ก ทำงานเป็นนักวาดภาพประกอบและกราฟิกดีไซน์เนอร์ในอเมริการะยะหนึ่ง ก่อนจะกลับมาทำงานเป็นครีเอทีฟในเมืองไทยที่บริษัทโฆษณา ลีโอ เบอร์เน็ทท์ และผันตัวมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาของโปรดักชันเฮาส์ The Film Factory
  • หลังจากนั้น เป็นเอกเปิดตัวในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ไทยในปี 2540 กับภาพเรื่อง ฝัน บ้า คาราโอเกะ ซึ่งได้รับคัดเลือกให้ฉายรอบปฐมทัศน์โลกที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน ตามมาด้วยเรื่อง เรื่องตลก 69 (2542) มนต์รักทรานซิสเตอร์ (2544) เรื่องรักน้อยนิด มหาศาล (2546) คำพิพากษาของมหาสมุทร (2549) พลอย (2550) นางไม้ (2552) ฝนตกขึ้นฟ้า (24554)
  • ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง ประชาธิป’ไทย (2554) ที่กำกับฯ ร่วมกับ ภาสกร ประมูลวงศ์ และแรงดึงดูด (2557 ฉายเฉพาะทางทีวีช่อง True Thai Film ในวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ ปีนั้น)
  • Samui Song หรือ ไม่มีสมุย สำหรับเธอ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเป็นเอก เป็นภาพยนตร์แนวทริลเลอร์-ดราม่า บอกเล่าชีวิตของ ‘วิยะดา’ (พลอย-เฌอมาลย์) นักแสดงสาวซึ่งแต่งงานกับสามีชาวต่างชาติผู้คลั่งไคล้ผู้นำทางจิตวิญญาณของลัทธินอกกระแส ความสัมพันธ์อันง่อนแง่นเป็นสาเหตุนำมาซึ่งการฆาตกรรมด้วยการจ้างวาน กาย (เดวิด อัศวนนท์) ชายแปลกหน้าที่เธอเพิ่งรู้จักเป็นคนลงมือ แต่เมื่อแผนที่วางไว้กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด จาก ‘ผู้บงการ’ วิยะดาต้องกลายเป็น ‘เหยื่อ’ เสียเอง เธอต้องหลบหนีทั้งจาก ‘กาย’ และ ‘ท่าน’ ด้วยความหวังว่าอดีตจะไม่มีวันตามหาเธอเจอ
  • หนังเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ World Premiere เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2560 ในเทศกาลหนังนานาชาติกรุงเวนิส 2017 (74th Venice Film Festival) / ได้รับเลือกไปฉายที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองโตรอนโต และที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองปูซาน สำหรับเมืองไทย Samui Song หรือ ไม่มีสมุย สำหรับเธอ มีกำหนดลงโรงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561
  • อื่นๆ : นอกเหนือจากรางวัลต่างๆ ตั้งแต่ครั้งทำงานด้านโฆษณา และหนังไทยเป็นเอกได้รับรับรางวัลศิลปาธร สาขาภาพยนตร์ในปี 2547 และได้รับมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นอัศวิน ตระกูลศิลปศาสตร์ และอักษรศาสตร์จากรัฐบาลฝรั่งเศสในปี 2557
Tags: , ,