วันนี้เราทำอะไรเพื่อตัวเองแล้วหรือยัง

จากคำถามดังกล่าว ถึงแม้ว่าคำตอบของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป บ้างก็เลือกการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ บ้างก็เลือกที่จะศึกษาค้นคว้าศาสตร์ใหม่ๆ พัฒนาตัวเองให้มีความรู้ความเข้าใจ หรือบ้างก็อาจะใช้เวลาอันมีค่าเพื่อหาคำตอบของชีวิต แนวทางคำตอบของคำถามที่ว่านั้น จึงมีหลากหลายเป็นร้อยเป็นล้านวิธี ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคน

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนเองก็เพิ่งค้นพบอีกวิธีของการรักตัวเอง โดย ‘คำตอบ’ ที่ว่านั้นเป็นเพียงคาเฟ่ร้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแสนวุ่นวาย ในย่านพร้อมพงษ์ ซอยสุขุมวิท 41 ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ราว 400 เมตร

มาถึงตอนนี้ หลายคนอาจงุนงงว่า ทำไมคาเฟ่ถึงเป็น ‘คำตอบ’ ของการรักตัวเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคาเฟ่นี้เป็นไม่ได้เป็นคาเฟ่ที่ขายกาแฟและมีที่นั่งพักผ่อนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมี ‘น้ำผักออร์แกนิกสกัดเย็น’ ที่เพิ่มพลังงานและมอบวิตามินกระตุ้นร่างกายตื่นตัวได้ไม่ต่างจากกาแฟ

คอลัมน์ Out and About สัปดาห์นี้ The Momentum ขอแนะนำร้าน VEGGIOLOGY คาเฟ่น้ำผักสกัดเย็น เพื่อเป็นทางเลือกให้ทุกคนให้ทดลองค้นหาคำตอบใหม่ๆ ของแนวทางการรักตัวเอง

สำหรับ VEGGIOLOGY ชื่อของคาเฟ่แห่งนี้มาจากการผนวกกันระหว่าง 2 คำ คือ Vegetable (N.) ที่มีความหมายว่า ‘ผัก’ และคำว่า Biology (N.) ที่แปลว่า ‘ชีววิทยา’ หรือศาสตร์ที่ว่าด้วยชีวิต จึงเกิดเป็นคำว่า VEGGIOLOGY ที่ความหมายเชื่อมกันได้อย่างลงตัว ไม่ยากแก่การตีความ

เมื่อเดินเข้าสู่บริเวณร้าน บรรยากาศแรกที่สัมผัสได้คือ ‘ความอบอุ่น’ (Coziness) ไม่ว่าจะด้วยการตกแต่งภายในด้วยสีแนวเอิร์ทโทน เพดานโปร่งสไตล์ลอฟต์ การจัดไฟที่เน้นแสงสบายตาเป็นธรรมชาติ ประกอบกับดนตรีที่เปิดคลอ ช่วยสร้างบรรยากาศให้สัมผัสถึงความสบายได้อย่างไม่ยาก

1

JUICE FLIGHT ดื่มด่ำกับรสชาติที่แตกต่าง

ความพิเศษของทางร้านคือเมนูที่ใช้ผักผลไม้ออร์แกนิกในการทำทั้งหมด โดยวันนี้ The Momentum เลือกเมนูมาทั้งหมด 5 เมนูด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เมนู Smoothie และเบเกอรี แต่อย่างไรก็ตามไม่ได้ทิ้งเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านแต่อย่างใด

เริ่มเมนูแรกด้วยซิกเนเจอร์อย่าง JUICE FLIGHT ที่เป็นเมนูน้ำผักผลไม้สกัดเย็น 10 อันดับขายดีของร้าน โดยเสิร์ฟเป็นแก้วชอตเล็กๆ 10 แก้ว ความสนุกของเมนูนี้คือ จะต้องดื่มโดยไล่ระดับ ‘ความข้น’ ของน้ำผักผลไม้จากระดับที่เนื้อสัมผัสเบาบางที่สุด ไปจนถึงเนื้อสัมผัสที่หนักที่สุด

แก้วที่ 1 มีชื่อว่า Gravity Green เป็นน้ำผักที่เป็นการผสมของน้ำสกัดเย็นจาก ผักปวยเล้ง, ผักกาดโรเมน, พาร์สลีย์, ขึ้นฉ่าย, แตงกวา, แอปเปิลเขียว, และเสาวรส ทำให้รสชาติของน้ำผักที่เข้มข้น แต่มีรสเปรี้ยวจากมาตัดจึงทำให้ดื่มง่าย ความรู้สึกจะคล้ายกับ ‘มะขามดิบ’ ที่มีรสเปรี้ยว

แก้วที่ 2 มีชื่อว่า Greengalaxy เป็นน้ำผักเช่นเดียวกัน ที่มีส่วนผสมของน้ำสกัดเย็นจาก ผักเคล, ผักปวยเล้ง, ผักกาดโรเมน, ผักชี, แตงกวา, มะนาว, ขิง และสับปะรด มีรสชาติออกเปรี้ยวๆ และมีกลิ่นขิงบางๆ เพิ่มความหอม โดยรวมเป็นน้ำผักที่กินง่าย

แก้วที่ 3 มีชื่อว่า Be Kind เป็นน้ำผักแก้วสุดท้ายของเซตนี้ มีส่วนผสมจากน้ำสกัดเย็นจาก ผักปวยเล้ง, ผักสลัดน้ำ, สับปะรด และแอปเปิล โดยแก้วนี้จะเป็นน้ำผักที่มีเนื้อสัมผัสที่หนักที่สุด รสชาติออกเปรี้ยวหวาน ส่วนเสน่ห์ที่ทำให้แก้วนี้ต่างจากน้ำผักแก้วอื่น คือ มี ‘ความสาก’ ที่ปลายลิ้นจากเนื้อของแอปเปิลอย่างชัดเจน

แก้วที่ 4 มีชื่อว่า Neon Neuron เป็นน้ำผลไม้แก้วแรกของเซตที่ผสมด้วยน้ำสกัดเย็นจาก เมล็ดเจีย, แตงกวาญี่ปุ่น, สับปะรด, มะพร้าว และมะนาว สัมผัสแรกที่ได้รับคือกลิ่นของแตงกวาที่ชัดเจน มีความหวานเปรี้ยวจากสับปะรดและมะนาว และด้วยส่วนผสมของน้ำมะพร้าว ทำให้เมนูนี้มีความกลมกล่อมมากขึ้น

แก้วที่ 5 มีชื่อว่า Level Up! เป็นน้ำผลไม้แก้วที่สอง ผสมจากน้ำสกัดเย็นจาก สับปะรด, ฝรั่ง, ใบสาระแน และมะนาว เป็นน้ำผลไม้ที่โดดเด่นมาก มีความสดชื่น รสเปรี้ยวจากมะนาว และเพิ่มความซู่ซ่าจากส่วนผสมของใบสะระแหน่ ทำให้ตื่นตัว โดยรวมแล้วเป็นแก้วที่ผู้เขียนชื่นชอบมากที่สุด

แก้วที่ 6 จะมีชื่อว่า Happy Cells เป็นน้ำผลไม้เช่นเดียวกัน โดยผสมจาก แครอต, เมล็ดเจีย, สาลี่น้ำผึ้ง, เสาวรส และแอปเปิล เป็นน้ำผลไม้ที่มีรสชาติของแครอตโดดเด่นออกมา ใครที่ชื่นชอบจะรักเมนูอย่างง่ายดาย โดยส่วนตัวแล้วนั้น ผู้เขียนไม่ค่อยลงรอยกับแครอตเสียเท่าไรนัก

แก้วที่ 7 มีชื่อว่า Skin Dive เป็นน้ำผลไม้แก้วสุดท้ายที่มีส่วนผสมจากน้ำสกัดจาก มะเขือเทศ, แอปเปิลเขียว, เลม่อน และน้ำมันจากแฟล็กซ์ ซีด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความโดดเด่นของแก้วนี้มาจากมะเขือเทศเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีรสเปรี้ยวที่ลงตัว

แก้วที่ 8 มีชื่อว่า The 3 Milkyteers เป็นน้ำสกัดที่มีส่วนผสมจากธัญพืชอย่าง อัลมอนด์, ถั่วบราซิล, มะม่วงหิมพานต์, ฝักวานิลลา, น้ำมะพร้าว และเกลือชมพูหิมาลัย โดยรวมแล้วเนื้อสัมผัสจะมีความมันคล้าย ‘กะทิ’

แก้วที่ 9 มีชื่อว่า Unicorn Milk มีความแตกต่างจากแก้วอื่นในเซต ด้วยความที่มีสีชมพูชวนน่าลิ้มลอง โดยแก้วนี้เป็นน้ำสกัดที่มีส่วนผสมของ นมอัลมอนด์, นมเม็ดมะม่วงหิมพานต์, บีทรูท, มะพร้าว และเกสรดอกมะพร้าว โดยรวมรสชาติมีความคล้ายคลึงกับ ‘ข้าว’ ด้วยความที่มีธัญพืชอยู่ในส่วนผสม เนื้อสัมผัสมีความเบาบางและกลิ่นหอมอ่อนๆ

และแก้วสุดท้ายของเซ็ตจะมีชื่อว่า Symphony มีส่วนผสมของน้ำสกัดจากส้มนาเวล, บีตรูต, มะนาว, สาลี่น้ำผึ้ง และแครอต เนื้อสัมผัสจะมีความเบาบาง รสชาติจะออกเปรี้ยวหวานเล็กน้อย ที่โดดเด่นเป็นบีตรูต สามารถตัดความข้นของ 2 แก้วก่อนหน้าได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ Symphony เป็นตัวปิดเซตได้อย่างลงตัว

2

อากาศร้อนๆ ต้องดับด้วย Smoothie

ด้วยสภาพอากาศในกรุงเทพฯ ที่สูงกว่า 35 องศาเซลเซียส เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่สั่งสมูทตี้เย็นๆ มาดับร้อน 3 เมนูต่อไปนี้คือเมนูที่เลือกมานำเสนอ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพทั้งสิ้น Chronic Joy คือชื่อของ Smoothie Bowl ที่สั่งมา ด้วยส่วนผสมของบีตรูต, สับปะรด, เมล็ดเจียขาว, กล้วย, เนื้อมะพร้าว และนมอัลมอนด์โฮมเมด จึงทำให้สมูทตี้ถ้วยนี้มีสีชมพู อีกทั้งการตกแต่งด้านบนด้วยผลไม้สดและธัญพืช จึงทำให้เมนูนี้น่าลิ้มลองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในด้านของรสชาตินั้น มีความหวานมัน และด้วยส่วนผสมของกล้วย ยิ่งทำให้เนื้อสัมผัสมีความนวลเข้ากันอย่างลงตัว เมื่อกินประกอบกับผลไม้ที่ให้มาอย่าง มะม่วงสุกและสตรอว์เบอรีนั้น ยิ่งเพิ่มรสชาติและความสดชื่นได้อย่างง่าย 

ขณะที่ Earth เป็นชื่อเมนูของสมูทตี้เนื้อหนัก (Think Smoothie) ที่มีส่วนผสมของโกโก้, ผักสลัดน้ำ, บลูเบอรี, อินทผาลัม, กล้วย, แฟล็กซ์ ซีดสีทอง และนมอัลมอนด์ ทำให้เนื้อสัมผัสมีความหนัก ด้านรสชาติจะมีความกลมกล่อมกินง่าย และยิ่งโรยธัญพืชที่ให้มานั้นจะยิ่งทำให้เมนูนี้มีความกรุบกรอบ เสริมความอร่อยได้เป็นอย่างดี

ปิดท้ายด้วยเมนูดับร้อนอย่าง Pure Kangaroo Orange Slushie เป็นเมนูสลัชชี่ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ด้วยความที่มีส่วนผสมของ ‘น้ำส้ม’ เป็นหลัก อย่างส้มแมนแมนดารินออสเตรเลียและส้มนาเวล จึงทำให้เมนูนี้มีความเปรี้ยวหวาน สดชื่นเป็นอย่างมาก

ส่วนด้านบนก็มีการปักผลส้มเชื่อมน้ำผึ้ง รสชาติออกหวานเปรี้ยว คล้ายลูกอมมาให้ ทำให้การกินสลัชชี่นี้มีความหลากหลายในคำเดียว

3

Chocolate Cake ของหวานที่ขาดไปไม่ได้

เมนูสุดท้ายที่ได้สั่งมาชิมในวันนี้คือ เมนูสุดคลาสสิกอย่าง Choccolate Cake with Strawberry Chia Jam หรือเรียกอย่างง่ายว่า เค้กช็อกโกแลตสอดไส้แยมสตรอว์เบอรี ซึ่งเนื้อสัมผัสตัวเค้กมีความนุ่ม หวานกำลังดี ตัดเลี่ยนด้วยรสชาติเปรี้ยวของแยมสตรอว์เบอรี ขณะที่ด้านบนบีบวิปช็อกโกแลตรสชาติเข้มข้น เหมาะกับการกินคู่กับเครื่องดื่มหวานเย็นในยามบ่ายๆ ได้เป็นอย่างดี

เมนูที่หยิบยกมาในวันนี้เป็นเพียงส่วนน้อยของร้าน VEGGIOLOGY เท่านั้น เพราะยังมีอาหารคาว สลัด และเมนูน้ำผักผลไม้สกัดเย็นอื่นๆ ที่รอให้ผู้อ่านได้เดินทางเข้าไปลิ้มลองด้วยตัวเอง

4

ไม่ใช่แค่ ‘คาเฟ่’ แต่เป็นมากกว่านั้น

ทั้งนี้ หากใครที่คิดว่า VEGGIOLOGY เป็นเพียงคาเฟ่อย่างเดียวนั้น ก็คงจะคิดผิดไป เพราะในร้านก็ยังมีการเปิดพื้นที่เพื่อขายสินค้ารีฟิล (Refill) และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภคอีกมากมาย ตั้งแต่เมล็ดธัญพืชไปจนถึงผลิตภัณฑ์ล้างมือ ในชื่อโซนที่น่ารักล้อกับร้านขายของชำ ในชื่อ ‘ชำฮะหะ’

ไม่เพียงเท่านั้น VEGGIOLOGY ยังมีการเปิดเวิร์กช็อปสำหรับคลาสเรียนวิธีการทำน้ำสกัดเย็น สำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้หรือนำไปประกอบกิจการของตัวเองในอนาคต โดยจะมีการเรียนการสอนทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติ 

แต่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ทาง The Momentum ไม่ได้มีโอกาสเวิร์กช็อปในคลาสนี้ จนไม่สามารถที่จะมาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ แก่กันได้

มาจนถึงตอนนี้คำถามที่ว่า “วันนี้เราทำไรอะไรเพื่อตัวเองแล้วหรือยัง?” การเดินทางมายังคาเฟ่สุขภาพแห่งนี้อาจเป็นหนึ่งในคำตอบที่ดีของชีวิตก็เป็นได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะอายุมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ‘สุขภาพ’ ก็ยังเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ

Fact Box

VEGGIOLOGY ตั้งอยู่ที่ ซอยสุขุมวิท 41 ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ราว 400 เมตร https://maps.app.goo.gl/4TM4YX11Ktak3nBG8

Tags: , , , , , , , ,