โรงคั่วกาแฟ คาเฟ่โมเดิร์นโดดเด่นด้วยโครงเหล็กกับโทนสีเข้ม และ Coffee Space สำหรับทุกคน คือนิยามของร้านกาแฟเท่ๆ ในย่านลาดพร้าว ที่พร้อมรอต้อนรับผู้มาเยือนทุกคนแบบไม่มีวันหยุดพักตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าไปจนถึงสองทุ่ม เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้แก่คนที่ชื่นชอบเรื่องราวของกาแฟกับเครื่องดื่มนานาชาติ
ใครที่ตั้งใจแวะเวียนมายัง Hacking Coffee Flagship ก็คงไม่ยากที่จะเห็นอาคารทรงโมเดิร์นสีดำสนิทบริเวณหัวมุมของซอยวังหิน 63 ที่โดดเด่นด้วยกำแพงไม้สีดำสนิทที่เผาด้วยเทคนิคการเผาไม้แบบญี่ปุ่นโบราณที่ทำกันยาวนานกว่าร้อยปี ประทับด้วยโลโก้กับชื่อร้านสีขาวที่ยืนยันว่าเรามาถึงจุดหมายแล้ว
หากมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว บริเวณด้านหลังของร้านจะมีที่จอดขนาดใหญ่พร้อมให้บริการ ก่อนจะเห็นว่าอีกหนึ่งสิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดนอกจากความดุดันของตัวอาคาร คงหนีไม่พ้นแผงวงจรขนาดใหญ่ แผ่นสังกะสีที่ดีไซน์ให้เหมือนท่อส่งควันของโรงงานอุตสาหกรรม กลายเป็นมุมไฮไลท์ที่หลายคนอดใจไม่ไหวต้องแวะถ่ายภาพสักสองสามช็อต
บรรยากาศภายในให้อารมณ์หลากหลาย บางคนอาจรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกของไซเบอร์พังก์ (Cyberpunk) มีกลิ่นอายของเทคโนโลยี ความไฮเทค หรือบรรยากาศของภาพยนตร์แนว Sci-fi ด้วยผนังดีไซน์แบบปูนเปลือย แต่ก็ซ่อนรายละเอียดที่มาจากตัวตนของ ต้น-สุริยะ ดีอุ่น ผู้เป็นเจ้าของร้าน และนท-กมลภัทรา กะสีชล ภายในกำแพงเปลือยหรือเสาหลากต้นในร้านเผยให้เห็นแผงวงจรคอมพิวเตอร์ที่สีเขียวคุ้นตา เนื่องจากอาชีพเก่าของต้นคือการเป็นโปรแกรมเมอร์ ส่วนนทก็เคยเป็นเอเจนซีด้านโซเชียลมีเดียและเทคโนโลยี ก่อนจะค้นพบว่าชีวิตของพวกเขาไม่สามารถขาดกาแฟได้อีกต่อไป
อีกหนึ่งคอนเซ็ปต์ของร้านคือการเล่นกับความหมายของคำว่า แฮกเกอร์ (Hacker) ที่หมายถึงการเข้าถึงหรือฉกชิงข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นอาชีพเก่าของเจ้าของร้าน และใช้เป็นคำนิยามถึงการดั้นด้นตามหาเมล็ดกาแฟชั้นเยี่ยมทั้งจากไทยและเทศ เพื่อนำเมล็ดกาแฟที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาสร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มเจ๋งๆ ที่บางแก้วสามารถดื่มได้แค่ Hacking Coffee Flagship ที่เดียวเท่านั้น
1
ตามความเข้าใจของเรา พื้นที่ในร้านจะถูกแบ่งออกเป็น 5 มุมน่าสนใจ มุมแรกคือบริเวณรอบเคานท์เตอร์หินขนาดใหญ่ใช้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ได้หลายมุม ทั้งมุมตู้โชว์ขนมหน้าตาน่ารับประทานและจุดสั่งเมนูเครื่องดื่ม หรือการเป็นบาร์ใกล้แท็ปกาแฟไนโตร โคลด์ บรูว์ (Nitro Cold Brew) คล้ายกับว่ากำลังอยู่ในบาร์ต่างประเทศ และอีกมุมหนึ่งของบาร์ที่เผยให้เห็นขั้นตอนการทำกาแฟแบบ Slow Bar อย่างใกล้ชิด ปล่อยใจไปกับการดริปกาแฟหรือการรังสรรค์เมนูสุดพิเศษของเหล่าบาริสต้าได้จนลืมเวลา
มุมถัดมาคือพื้นที่ที่เหมาะสำหรับคนที่เบื่อการทำงานที่บ้านหรือที่ออฟฟิศ อยากเปลี่ยนบรรยากาศพร้อมกับขนมและกาแฟดีๆ สักแก้ว โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ พื้นที่โปร่งโล่งไฟส่องสว่างไม่ไกลจากบาร์กาแฟ พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนทุกคน ส่วนอีกมุมหนึ่งจะให้ความรู้สึกส่วนตัวมากขึ้น มุมที่ว่าถูกยกพื้นขึ้นเล็กน้อยและใกล้กับบูธดนตรีที่ให้บรรยากาศเหมือนนั่งอยู่ในคลับยามค่ำคืน แสงนีออนสีม่วง ฟ้า แดง จากหลอดไฟ LED เคล้าดนตรีสากลจังหวะสนุกๆ หลากหลายสไตล์ทั้งฮิปฮอป ป๊อป อีดีเอ็ม อาร์แอนด์บี หรือ เท็กเฮาส์ ในพื้นที่ที่มืดกว่าบริเวณที่เปิดให้ได้นั่งทำงาน ก็จะให้อารมณ์ที่แตกต่างออกไปแม้ทุกคนจะอยู่ในพื้นที่เดียวกันก็ตาม
อีกพื้นที่น่าสนใจคือห้องที่มีประตูกระจกกั้นอยู่เผยให้เห็นเครื่องคั่วเมล็ดกาแฟขนาดใหญ่สองเครื่อง จุดกำเนิดเมล็ดกาแฟในเมนูกาแฟทุกแก้วของ Hacking Coffee Flagship รวมถึงเมล็ดกาแฟคั่วแบบบรรจุถุงที่ขายทั้งในร้านและแพลตฟอร์มซื้อ-ขาย ออนไลน์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับหน้าประตูทางเข้าด้านหน้า ส่งให้รู้สึกถึงบรรยากาศของโรงงานกาแฟ เหมือนเข้ามาในโลกของอุตสาหกรรมที่หลายคนไม่ได้พบเจอกับกลิ่นอายแบบนี้ได้บ่อยๆ
พื้นที่สุดท้ายที่ต้นแนะนำกับ The Momentum คือห้องที่ซ่อนอยู่ในสุดของร้าน ประตูสีดำบานใหญ่หน้าตาคล้ายกับประตูเรือดำน้ำ เมื่อเปิดเข้าไปจะพบกับโต๊ะดีไซน์แปลกตาที่มีไว้สำหรับ ‘Hacking Omakase’ กิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อคนรักกาแฟโดยเฉพาะ เนื่องจากต้นจะเฟ้นหาเมล็ดกาแฟที่ไม่สามารถหาชิมได้บ่อยๆ เมล็ดกาแฟที่มีราคาสูง หรือเมล็ดที่เหมาะกับการเรียนรู้มาจัดเป็นคอร์สแบบโอมากาเสะเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสได้ลิ้มลองกับเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ต่างๆ และหากใครสนใจว่าแต่ละเดือนต้นจะเฟ้นหาเมล็ดกาแฟแบบไหนมาให้ลอง ก็สามารถติดตามกิจกรรมนี้ได้ที่เพจ Hacking Coffee Flagship
2
ยอดขายเมนูอันดับหนึ่งของ Hacking Coffee Flagship คือ ‘อเมริกาโน่’ หรือกาแฟผสมน้ำ และอีกหนึ่งเมนูคือ ‘เมล็ดกาแฟ’ ความนิยมที่เกิดขึ้นนี้บอกอะไรได้หลายอย่าง
ต้นอธิบายอย่างมั่นใจว่าเมนูซิกเนเจอร์คือเมล็ดกาแฟที่ทางร้านคั่วเอง เพราะเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการเลือกสรรเมล็ดกาแฟทั้งแบบ Single Origin และ Special Blends เพื่อนำมาคั่วให้ได้ทั้งกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ถ้าเมล็ดกาแฟที่ใช้ทำกาแฟดำมีคุณภาพที่ไม่ดีพอ คั่ว ดริป หรือชงออกมาได้ไม่ดีพอ กาแฟผสมน้ำเปล่าหรือช็อตกาแฟเพียวๆ ก็จะไม่สามารถส่งรสชาติที่ดีที่สุดออกมาได้ และเมื่อใช้เมล็ดที่ดีประกอบกับการคั่วที่ยอดเยี่ยม ผู้มาเยือนส่วนใหญ่ที่เคยลิ้มรสกาแฟของร้านอยู่แล้วจึงมักเลือกทั้งกาแฟที่ให้รสชาติเปรี้ยวสดชื่นของผลไม้ตระกูลเบอร์รี ส้ม ไปจนถึงกาแฟโทนเข้มที่มีทั้งกลิ่นคาราเมล ถั่ว หรือช็อกโกแลต เพื่อให้ลิ้นได้รับรสสัมผัสของเมล็ดกาแฟนั้นๆ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยไม่ต้องใส่ไซรัปเพิ่มความหวานใดๆ
เมื่อ Hacking Coffee Flagship ขึ้นชื่อเรื่องกาแฟ ก็คงมิวายจะต้องสั่งกาแฟมาดื่ม และแก้วที่เลือกคือ Americano Mozart (160 บาท) กาแฟดำแบบร้อนที่จะทำให้สัมผัสกับรสชาติของเมล็ดกาแฟได้ชัดเจน รับประทานคู่กับ Choc & Cheese Cake (120 บาท) ความหวานมันกำลังดีของเค้ก เคล้ากับกลิ่นหอมและรสขมของกาแฟ ถือเป็นตัวเลือกเปิดมื้อแรกของวันได้อย่างน่าประทับใจ
3
เมื่อลองลิ้มรสกาแฟโดยไม่ใช้วัตถุดิบอื่นนอกจากน้ำเปล่ามาร่วมด้วยไปแล้ว กาแฟนมและชาดีๆ สักแก้วคือตัวเลือกถัดไปของเรา
เมล็ดกาแฟที่เลือกได้ นมสดหอมมัน และช็อกโกแลตชั้นดี ถูกเสิร์ฟมาในเมนู Mocha (85 บาท) แม้แก้วนี้จะมีส่วนผสมหลายอย่างมากกว่ากาแฟดำทั่วไป แต่เมล็ดกาแฟที่ยอดเยี่ยมก็ทำให้สัมผัสได้ถึงความหอมและสดชื่น ความสนุกอีกหนึ่งอย่างของ Hacking Coffee Flagship คือเมนูกาแฟทุกแก้วสามารถเลือกเมล็ดที่ต้องการได้ ซึ่งมอคค่าแก้วนี้ใช้เมล็ดกาแฟที่โดดเด่นเรื่องรสสัมผัสของถั่วและช็อกโกแลต ที่เมื่อผสมกับช็อกโกแลตจริงๆ รสชาติหวานมันกับกลิ่นหอมก็ยิ่งชัดขึ้นไปอีกขั้น
Fully Strawberry (180 บาท) ครัวซองต์ชิ้นใหญ่ด้านในสอดไส้ครีมนุ่มด้านบนตกแต่งด้วยผลสตรอว์เบอร์รีก่อนโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง คือเมนูที่บาริสต้าแนะนำให้รับประทานคู่กับมอคค่า ความหวานกรอบของครัวซองต์ ความเปรี้ยวของผลเบอร์รีลูกโตกับเครื่องดื่มที่มีรสสัมผัสนุ่มนวล ทั้งสองอย่างต่างส่งเสริมกันและกันให้ได้ดีมากกว่าที่คิด
Welcome to the dark Side (200 บาท) กาแฟค็อกเทลแก้วพิเศษที่เกิดขึ้นจากไอเดียสุดสร้างสรรค์ของบาริสต้า Hacking Coffee Flagship
เดิมทีทางร้านก็ขายเมนูกาแฟทั่วไปที่พบเจอได้ในทุกร้านกาแฟและคาเฟ่ ทว่าต้นและนทเกิดความรู้สึกว่าบาริสต้าทุกคนย่อมอยากมีลายเซ็นของตัวเองซ่อนอยู่ในเครื่องดื่ม ซึ่งเมนูทั่วไปอย่างมอคค่า ลาเต้ คาราเมลมัคคิอาโต ฯลฯ อาจไม่สามารถผลักดันความคิดสร้างสรรค์และโชว์ฝีมือของนักชงกาแฟได้เท่าที่ควร จึงเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ลองคิดค้นเมนูเฉพาะตัว ส่วนทางร้านก็จะไปตามหาวัตถุดิบที่บาริสต้าต้องการ เพื่อทำให้เมนูในใจกลายเป็นเมนูที่ทางร้านสามารถใช้เป็นค็อกเทลกาแฟได้จริง
หนึ่งในเมนูพิเศษที่ว่าคือ Welcome to the dark Side กับไซรัปสีชมพูสดใส ดาร์กช็อกโกแลต นมสด น้ำแข็งที่ทางร้านใช้เครื่องผลิตเอง และช็อตกาแฟจากเมล็ด Laos bright ที่จะราดด้านบนสุดเป็นตัวปิดท้าย ส่งให้เครื่องดื่มแก้วนี้มีทั้งความหอมของไซรัป นม ช็อกโกแลต และกลิ่นของเมล็ดกาแฟ รวมถึงรสชาติหวานมันที่เป็นเอกลักษณ์
4
เราไม่รู้มาก่อนว่า Hacking Coffee Flagship ต้อนรับสัตว์เลี้ยง จนกระทั่งเห็นหมาพุดเดิ้ลสองตัววิ่งผ่านหน้าเข้าร้านไปกับตา
ก่อนจะมาเปิดบาร์กาแฟจนมีโรงคั่วขนาดย่อมเป็นของตัวเอง เจ้าของร้านทั้งสองคนต่างเลี้ยงสุนัขและเป็นทาสน้องอย่างเปิดเผย พวกเขาเล่าย้อนไปว่าสมัยยังทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์และเอเจนซี่ดิจิทัล พวกเขาทุ่มเวลาเกือบทั้งหมดไปกับการทำงาน จนแทบจะไม่มีเวลาอยู่บ้านกับสัตว์เลี้ยงที่ตัวเองรัก แล้วเมื่อก่อนก็แทบจะหาสถานที่หรือคาเฟ่ที่ต้อนรับสัตว์เลี้ยงได้น้อยมาก ด้วยความเข้าใจนี้ พอมีร้านเป็นของตัวเองพวกเขาก็อยากให้คนอื่นๆ ได้ใช้เวลากับสมาชิกในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นหมา แมว กระต่าย กระรอก หรือแม้กระทั่งเต่า
“เคยเจอลูกค้าพาเต่าญี่ปุ่นมาเที่ยวด้วย เขาพาน้องไปตากแดดอยู่ตรงสวน น่ารักมากๆ”
นทเล่าด้วยรอยยิ้มที่เห็นลูกค้าพาสมาชิกในครอบครัวมาเยือนที่ร้าน เธอเชื่อมั่นว่าลูกค้าส่วนใหญ่มองสัตว์เลี้ยงตัวเองเป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัวที่ไม่ควรละเลย เพราะเธอมักเห็นลูกค้าที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยงครบครัน ทั้งรถเข็น สายจูง แพมเพิร์ส หรือแม้กระทั่งชามข้าวชามน้ำส่วนตัว หลายครั้งลูกค้าจะทักเข้ามาทางเพจร้านเพื่อถามความแน่ใจว่าจะพาหมาแมวของตัวเองเข้าร้านได้จริงๆ ใช่ไหม ก่อนทางร้านจะตอบไปอย่างมั่นใจว่าได้แน่นอน ก่อนจะแนะนำเล็กน้อยว่าถ้าเป็นสุนัขใหญ่อาจต้องใช้สายจูง และดูแลการขับถ่ายของพวกเขาทุกประเภทให้ดี เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
นอกจากจะทำให้ร้านกลายเป็น Pet friendly ความมุ่งมั่นตั้งใจอื่นๆ ของพวกเขาคือการทำให้ Hacking Coffee Flagship เป็นพื้นที่สำหรับทุกคน ทั้งพื้นที่ของคนที่มีความชอบในการดม ชิม ลิ้มรสกาแฟ หรือพื้นที่สำหรับคนที่ต้องการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง และพื้นที่สำหรับผู้คนที่กำลังมองหามุมทำงานโปรด แม้ตอนนี้ร้านจะยังคงเปิดให้บริการแค่ชั้นหนึ่ง แต่ต้นเล่าว่าในอนาคตอันใกล้ชั้นสองก็จะพร้อมเปิดทำการเป็น Co-working Space มีโต๊ะเกาอี้ตอบโจทย์เหล่าคนทำงาน มีบริเวณที่แสงพอเหมาะพอเจาะ มีอินเทอร์เน็ต มีปลั๊กไฟ และมีคูปองเพื่อแลกขนมและเครื่องดื่ม เพื่อทำให้พื้นที่ขนาดกำลังดีเป็นพื้นที่ที่ใครๆ ก็สามารถมาใช้บริการได้
Tags: coffee, Hacking Coffee Flagship, คาเฟ่, กาแฟ, Out and About, โรงคั่วกาแฟ, ลาดพร้าววังหิน, คาเฟ่ลาดพร้าว, รีวิวคาเฟ่, cafe, Coffee Space