ความเคลื่อนไหวที่นับเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติเหตุการณ์ ‘พฤษภาทมิฬ’ เกิดขึ้นในค่ำคืนวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ องค์มนตรี นำ พลเอก สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และพลตรีจำลอง ศรีเมือง แกนนำผู้ชุมนุมเรียกร้องให้พลเอกสุจินดาลาออกจากตำแหน่ง เข้าเฝ้าฯ โดยพระราชทานพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า

“ถ้าหากว่าเผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่จะล่มจมลงไป แล้วทำให้ประเทศไทยที่เราสร้างเสริมขึ้นมาอย่างดีเป็นเวลานาน จะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมายหรือมีความหมายในทางลบเป็นอย่างมาก” ส่งผลให้วันรุ่งขึ้นมีการประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว และพลเอกสุจินดาลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ในวันที่ 24 พฤษภาคม 

สำหรับชนวนของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เริ่มต้นขึ้นในปี 2534 หลังจากคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) โดยพลเอก สุนทร คงสมพงษ์ ทำการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยอ้างว่า มีการทุจริตและประพฤติมิชอบในรัฐบาล ซึ่งในขณะนั้นพลเอกสุจินดา ผู้บัญชาการทหารบกและเป็นหนึ่งในแกนนำคณะ รสช.ประกาศว่า จะไม่ดำรงตำแหน่งนายกฯ

ทว่าหลังจากดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วเสร็จ พร้อมมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป ปรากฏว่า พรรคสามัคคีธรรมซึ่งก่อตั้งโดยคณะ รสช.ได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง และวางตัว ณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมเป็นนายกฯ คนใหม่ อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลทางการเมืองบางประการ ณรงค์ไม่สามารถรับตำแหน่งได้ เสียงของ สส.พรรคพลังธรรมรวมกับเสียงของ สส.จากพรรคการเมืองอื่นในสภาฯ จึงมีมติให้พลเอกสุจินดาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ แม้ไม่ได้เป็น สส.ก็ตาม

การรับตำแหน่งนายกฯ ของหนึ่งในคณะ รสช.เป็นชนวนเหตุให้สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยและประชาชนออกมาชุมนุมในกรุงเทพฯ กดดันให้พลเอกสุจินดาลาออกจากตำแหน่ง และเน้นย้ำว่า นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง โดยมีพลตรีจำลองเป็นหนึ่งในแกนนำการชุมนุม พร้อมทั้งมีการกล่าวถึงคำพูดของพลเอกสุจินดาที่เคยกล่าวไว้หลังรัฐประหารว่า จะไม่รับตำแหน่งนายกฯ แม้มีการย้อนถามถึงคำปฏิญาณตนของทหารที่ว่า ‘เสียชีพอย่าเสียสัตย์’ แต่พลเอกสุจินดาอ้างกลับว่า นี่เป็นการ ‘เสียสัตย์เพื่อชาติ’

สถานการณ์การชุมนุมเริ่มตึงเครียดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา กระทั่งในวันที่ 17 พฤษภาคม พลตรีจำลองเคลื่อนผู้ชุมนุมจากท้องสนามหลวงมุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาล แต่เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เจ้าหน้าที่ใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำและใช้กระบองทุบตีผู้ชุมนุม และเหตุการณ์เริ่มชุลมุนหนักขึ้นในช่วงกลางดึกหลังจากเกิดการบุกเผาสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง โดยชายหัวเกรียน สวมเสื้อเกราะ ที่มีการระบุว่า เป็น ‘มือที่สาม’

รัฐบาลของพลเอกสุจินดาจึงนำกำลังทหารหลายพันนาย พร้อมรถถังและรถหุ้มเกราะเข้าสลายการชุมนุม เกิดการจลาจลทั่วถนนราชดำเนิน มีการใช้กระสุนเอ็ม 16 ยิงใส่ผู้ชุมนุม แม้ในวันที่ 18 พฤษภาคม พลตรีจำลอง แกนนำการชุมนุมถูกจับกุมตัวได้ แต่การใช้อาวุธหนักเพื่อสลายการชุมนุมยังคงดำเนินต่อเนื่องไปอีก 3 วัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 44 ราย บาดเจ็บ 1,728 ราย และสูญหายอีก 48 ราย ตามตัวเลขรายงานของกระทรวงมหาดไทย 

ทั้งนี้หลังจากพลเอกสุจินดาและพลตรีจำลองเข้าเฝ้าฯ​ ในหลวงรัชกาลที่ 9 สถานการณ์รุนแรงจึงเริ่มยุติ มีการประกาศเลิกเคอร์ฟิว ขณะที่พลเอกสุจินดาได้ประกาศ ‘นิรโทษกรรม’ ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมระหว่างวันที่ 17-21 พฤษภาคม 2535 โดยให้การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทั้งในฐานะของการเป็นตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้หรือผู้ถูกใช้ หากกระทำการผิดกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง ก่อนจะลาออกจากตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2535 และให้ มีชัย ฤชุพันธ์ุ รักษาการแทนจนกว่าจะมีนายกฯ คนใหม่ ส่งผลให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหายของประชาชน พ้นจากความผิดและยังไม่มีใครได้รับโทษมาจนถึงวันนี้

Tags: ,