หนองเขียว ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวสายสวยหล่อคงรู้สึกว่า เมืองอะไรชื่อไม่น่าเที่ยวเอาเสียเลย และไม่เคยติดลิสต์เมืองในฝันของสำนักไหนๆ แต่ถ้าเป็นสายชิลที่ชอบชีวิตเนิบช้า นักเดินป่าปีนเขา รวมทั้งบรรดาสายแบ็คแพ็คตัวพ่อตัวแม่ ชื่อนี้ถ้าบอกว่า ฉันไปมาแล้ว อาจมีหลายคนตาร้อนได้ง่ายๆ โดยเฉพาะจุดสูงสุดของเมืองหรือที่เรียกกันว่า จุดชมวิวหนองเขียว เสน่ห์ของเมืองที่มากกว่าแค่สายน้ำและสายหมอกที่ยามเช้ามักมาเคลียคลออ้อล้อกันอยู่เป็นประจำ และกลายเป็นเอกลักษณ์ของเมืองแห่งลำน้ำอู
เราออกเดินทางกันกันประมาณเก้าโมงเช้าจากหลวงพระบาง ไปถึงก็บ่ายกว่า เพราะนั่งรถมาหลายชั่วโมง แทนการใช้บริการรถตุ๊กตุ๊กขนาดใหญ่ที่มารอรับนักท่องเที่ยว ฉันเลือกเดินเท้าเข้าที่พักให้ร่างกายได้ขยับบ้าง ใช้เวลาเช็กอิน เก็บของ เปลี่ยนชุดไม่นาน เราก็พร้อมลุย โดยมีเป้าหมายวันนี้คือการเดินเท้าขึ้นสู่จุดชมวิวหนองเขียวที่เขาบอกกันว่า ใช้เวลาเดินแค่ชั่วโมงครึ่ง
ฉันคิดในใจว่า เดินป่าเป็นวันๆ ก็เดินมาแล้ว แค่นี้เองสบายมาก
ในรีวิวหลายแห่งทั้งไทยและเทศบอกว่า ไม่จำเป็นต้องจองที่พัก เพราะเป็นเมืองที่ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นแต่อย่างใด แต่ฉันตัดสินใจจองที่พักล่วงหน้าชื่อว่า Nam Ou River Lodge เป็นที่พักวิวสวยริมลำน้ำอู ราคาดีสมเหตุสมผล ห้องพักแม้จะไม่ใหญ่โตนักแต่สะอาดสะอ้าน และกินขาดเรื่องอากาศดีๆ
ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ เล็กจริงๆ ไม่ต้องอาศัยรถประจำทางหรือเช่ารถอะไรทั้งนั้น อาจจะมีรถตุ๊กตุ๊กมาเสนอตัวพาขับเที่ยวชมเมือง แนะนำให้ปฏิเสธ ใช้สองเท้าของเราก้าวเดินนี่แหละดีที่สุด ได้ออกกำลังกาย ได้สำรวจบ้านเรือน ได้ถ่ายรูป เราแวะกินข้าวกลางวันกันที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ติดกับสะพานของเมือง อาหารไม่ถูกปากเท่าไรทั้งๆ ที่หิว แต่บรรยากาศถูกใจอย่างที่สุด ยังไม่ทันดื่มด่ำกับสภาพรอบตัว พลันฝนตกลงมาอย่างที่คนโบราณเรียกว่าห่าใหญ่มาก เรารอจนฝนหยุดตกก็ออกเดินเท้ากันโดยไม่ย่อท้อต่ออะไรทั้งสิ้น
ทางขึ้นจุดชมวิวหนองเขียวเป็นทางเล็กๆ มีด่านเก็บค่าผ่านทางด้วย โดยมีลุงหน้าตาใจดีคอยเปิดปิดประตูเข้า-ออก ฉันจ่ายเงินไป 10,000 กีบได้ไม้เท้าคู่ใจมาหนึ่งด้าม เส้นทางเดินป่าค่อนข้างครึ้ม เพราะมีต้นไม้ปกคลุมแทบตลอดเส้นทาง เทรลเดินป่าค่อนข้างชัดจึงไม่ต้องกลัวหลง แต่ฝนตกหนักขนาดนั้นไม่ต้องแปลกใจที่เส้นทางจะทั้งเละและลื่น แถมแดดยามบ่ายก็อ่อนระโหยยิ่งกว่าเรี่ยวแรงของฉันเสียอีก มีจุดกลางแจ้งให้เราได้โผล่ศีรษะออกมารับลมและรับแสงแดดอ่อนๆ และดูวิวบ้างเป็นระยะๆ ระหว่างทางไม่มีวี่แววนักท่องเที่ยวเลยสักคนเดียว
ทักษะการเดินป่าของฉันไม่ช่วยอะไร เพราะเมื่อลื่นก็เลยล้ม พอล้มก็เลอะเละเทะ แต่แทนที่จะหัวเสีย สามสาวพี่น้องก็หัวเราะกันขำไป เพราะชีวิตมันเป็นแบบนั้น มัวแต่ร้องไห้ เราก็คงไปไม่ถึงไหนกันพอดี เวลาผ่านไปเกินชั่วโมงครึ่งเริ่มมีเสียงโอดครวญว่าเมื่อไหร่จะถึงเสียที ทันใดนั้นเอง แสงสว่างเริ่มปรากฏ พ้นยอดไม้ออกไปคือจุดชมวิว 360 องศาที่เราเฝ้ารอ มีศาลานั่งพัก มีเปลขาดๆ ให้นอนแกว่งไกว มีโขดหินใหญ่ให้ยืนท้าทายความเสียว เหมาะสำหรับคนที่ไม่เกรงกลัวความสูงและต้องการซึมซับความสวยงามแบบไม่เหมือนใคร
ภาพรอบตัว 360 องศา คือวิวภูเขาและเมืองเล็กๆ ที่มีสายน้ำคดเคี้ยวโอบกอด ลมพัดเบาๆ แกว่งไกวสายหมอกที่ลอยอยู่ใต้ก้อนเมฆ วินาทีนั้น ทุกคนลืมความเหนื่อย ลืมความหิว พยายามซึมซับความรู้สึกของครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตหนองเขียว อาจฟังดูไม่เท่เท่าพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ แต่เชื่อเถอะว่า อะดรีนาลีนหลั่งออกมาไม่แพ้กัน
เมื่อเดินกลับลงมา ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มแล้ว แต่ยิ่งใกล้มืดกลับยิ่งสวยแปลกตา ผับบาร์เล็กๆ เริ่มเปิดไฟ มีนักท่องเที่ยวออกมาเดินเล่นชมเมือง กลางคืนก็เลยไม่เงียบเหงาเท่าที่เราคิด ส่วนมื้อเย็นของพวกเราไม่ใช่ร้านอาหารหรู แต่แสนเรียบง่าย เป็นข้าวผัดกะเพราหมูสับ ไส้อั่ว และหมูทอดกินแกล้มเบียร์ลาวในห้องนอน อากาศเย็นลงสมใจอยาก อาบน้ำเสร็จพวกเราก็พร้อมหลับ ไม่ต้องสงสัยว่าเพราะอะไร ก็จุดชมวิวหนองเขียวที่ทุกคนบอกว่า เดินสบายๆ ง่ายๆ นั่นแหละเป็นสาเหตุแห่งการหลับสบายในค่ำคืนนี้
ยามเช้า บรรยากาศดีกว่าที่คิด โผล่พ้นหน้าออกจากซอยที่พัก ถนนคึกคักไปด้วยแผงร้านค้าของตลาดเช้า เรียงรายทอดยาวเต็มถนนหลัก มีผักแปลกๆ ขนมหน้าตาประหลาด อาหารดูไม่คุ้นตา ฉันและน้องสาวดูแปลกแยกขึ้นมาทันที ก็สาวลาวเขานุ่งซิ่น แต่เรานุ่งกางเกงขาสั้น การเดินตลาดเช้านั้นสนุกมาก ฉันซื้อนู่นนิด ชิมนู่นหน่อย จัดข้าวเปียกเส้นเป็นอาหารหลัก บอกได้เลยว่าอาหารเช้าอร่อยกว่าอาหารเย็นมากมายนัก
หลังจากกินอิ่ม ก็ไม่มีอะไรให้ทำนัก ยังมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงก่อนเที่ยงซึ่งเป็นรอบรถกลับที่เราตั้งใจไว้ ฉันเลยเดินย้อนกลับไปยังสะพานหนองเขียวเพื่อเก็บเกี่ยวรูปและมองเมืองแห่งนี้ให้เต็มตาอีกครั้ง แปลกดีที่ใช้เวลายังไม่ถึง 24 ชั่วโมงแต่รู้สึกหวงแหนเมืองนี้ขึ้นมาเสียดื้อๆ รู้สึกลังเลที่จะแนะนำเมืองนี้ให้หลายคนรู้จัก เพราะมันไร้การปรุงแต่ง เหมือนเราได้รับพลังธรรมชาติเข้าสู่หัวใจได้อย่างง่ายดาย
หลายคนคงนิยามเมืองแห่งนี้ว่าบริสุทธิ์ เรียบง่าย ใช่ มันเป็นแบบนั้น เพราะที่นี่มีธรรมชาติเป็นสมบัติล้ำค่า และโชคดีที่ยังไม่มีใครรุกล้ำความเป็นหนองเขียว เมือง ผู้คน ธรรมชาติ อิงแอบกันอย่างเงียบๆ และอย่างที่รู้กันว่าหนองเขียวอาจไม่ใช่เมืองในฝัน แต่เมื่อได้ใช้เวลาที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ โมงยามนั้นกลับงดงามเหมือนฝันเลย
Fact Box
- หนองเขียวอยู่เหนือขึ้นไปจากหลวงพระบางประมาณ 4 ชั่วโมงรถตู้ ขึ้นได้ที่สถานีขนส่งสายเหนือ ราคาตั๋วอยู่ที่ประมาณคนละ 37,000 กีบ
- ที่พักส่วนใหญ่อยู่ริมแม่น้ำอู บรรยากาศดีมาก ข้อเสียคือไม่มีอาหารหรือเครื่องดื่มบริการ
- ร้านอาหารมีไม่กี่แห่ง เปิดปิดไม่เป็นเวลา ต้องทำตัวอยู่ง่ายกินง่ายเข้าไว้
- ตรวจสอบตารางเดินรถให้ดี ขากลับควรซื้อตั๋วล่วงหน้าอย่างน้อย 2 ชั่วโมง