ใครจะบอกว่า Opera House คือสิ่งที่น่าประทับใจที่สุดของซิดนีย์ก็คงไม่ผิด แต่สำหรับเราแล้ว สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดในซิดนีย์ คือบรรยากาศของมหาสมุทรที่โอบล้อมเมืองไว้อย่างสดชื่นเสียมากกว่า เป็นความสดชื่นชนิดที่ว่าเราไม่จำเป็นต้องแต่งรูปหรือใส่ฟิลเตอร์ใดๆ ให้มากความ สามารถให้ภาพเล่าเรื่องระยะเวลาสั้นๆ ที่นั่นได้เป็นอย่างดี

เราไปถึงซิดนีย์พร้อมกับ Samsung Note 9 ซึ่งดีไซเนอร์เล่าว่ารูปลักษณ์ของมันได้รับแรงบันดาลใจจากฉากของการท่องเที่ยวไปในแต่ละพื้นที่บนโลก และสำหรับสีน้ำเงินหรือ Oceanic Blue แน่นอนว่ามีที่มาจากความลึกล้ำของน้ำทะเล ส่วนปากกา S Pen สีเหลืองสดใส นอกจากเป็นสีที่โดดเด่นที่สุดแล้วเมื่ออยู่กับสีน้ำเงิน ก็ยังเป็นสีที่แสดงถึงความเยาว์วัยที่แฝงอยู่ในตัวผู้คน —ฟังแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงคอนเซปต์นี้ กับซิดนีย์ที่ได้สัมผัส เมืองที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลอันลึกล้ำ ขณะที่ในตัวเมืองก็ยังซุกซ่อนความสนุกและบรรยากาศสดใส ผู้คนที่นี่ก็ดูจะเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเช่นกัน

อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของซิดนีย์เห็นจะเป็นสะพาน Harbour ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Opera House และมักจะมีกันและกันอยู่ในซีนเสมอ โดยสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1932 เป็นสะพานเหล็กโค้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มักจะท้าทายผู้คนให้มาปีนป่ายและถ่ายภาพเสมอ

Circular Quay คือท่าเรือสำคัญของซิดนีย์ที่ยังคงคึกคักไปด้วยเรือสินค้า เรือสำราญ และที่สำคัญ นักท่องเที่ยวจำนวนมาก

 

ออกจาก Circular Quay เราไปชมซิดนีย์จากมุมสูงกันบ้าง ที่ Headland Park ในย่านเดียวกับหาด Manly ที่นี่เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าซิดนีย์ผูกพันกับทะเลอย่างไรบ้าง (ต้องบอกว่าที่นี่คือย่านบ้านพักตากอากาศที่แท้จริง บ้านเรือนระหว่างทางขึ้นมาด้านบนเต็มไปด้วยบ้านสวยๆ ที่ปลูกต้นไม้งามๆ และให้บรรยากาศคล้ายแคลิฟอร์เนีย)

 

ชมวิวกันแล้วก็มาต่อที่ หาด Manly ชายหาดที่โด่งดังรองจากหาด Bondi แม้จะเป็นวันธรรมดาแต่ชาวซิดนีย์และนักท่องเที่ยวก็พากันมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่นี่ ปกติแล้วหาดนี้จะเป็นที่รู้จักเรื่องการเล่นเซิร์ฟบอร์ด แต่ด้วยอากาศที่ค่อนข้างเย็น หลายคนเลยเลือกที่จะเอื่อยเฉื่อยชิลล์กันบนบกมากกว่า

ยามเย็นที่ท่าเรือ Darling Harbour เรายังคงอยู่ในโซนพลุกพล่านของซิดนีย์ ปกติแล้วชาวซิดนีย์กลับบ้านเร็ว สัก 6 โมงเย็นร้านรวงก็จะปิดหมดแล้ว เนื่องด้วยเวลาเลิกงานของพนักงานที่เลิกเร็วเช่นกัน ดังนั้นซิดนีย์จะเงียบลงตั้งแต่ช่วงอาทิตย์ตก ยกเว้นแต่วันพฤหัสบดีที่เป็นวันเงินออก (เข้าใจว่าโดยทั่วไปเงินเดือนจะแบ่งจ่ายเป็นงวดทุกวันพฤหัสฯ) ทุกคนออกมาเริงร่ารับประทานอาหารเย็น และเสพบรรยากาศ —พอดีว่าวันที่เราไปที่ Darling Harbour ก็เป็นวันพฤหัสบดี

พระอาทิตย์ตกยามเย็นกับกระจกสีชาของร้าน The Meat & Wine Co. ทำให้ได้สีที่ดรามาติกขนาดนี้

ยามค่ำคืน ก็คงไม่มีที่ไหนฮ็อตไปกว่าไทยทาวน์ ที่เราจะเห็นชาวเอเชียนเดินกันขวักไขว่ บรรยากาศในไชน่าทาวน์ (ที่อยู่ในไทยทาวน์อีกทีหนึ่ง) ขณะนั้น ดูเหมือนจะมีโปรเจกต์งานอาร์ตจัดขึ้น

วัฒนธรรม theater ของที่นี่แข็งแรงมาก ไม่ใช่แค่ Opera House เท่านั้น แต่ในตัวเมืองซิดนีย์ยังโรงละครและพื้นที่สำหรับงาน perform อยู่เต็มไปหมด น่าจะมากกว่าโรงหนังด้วยซ้ำ

ในอีกค่ำคืนหนึ่งที่หาด Bondi เราเปลี่ยนโหมดจากการเดินชมเมือง มาที่เซสชั่นฝึกถ่ายรูปแบบรวบรัด โดยทาง Samsung ได้ชวนสองช่างภาพชื่อดังอย่าง Luke Tscharke และ Rob Mullaby มาสอนพวกเราถ่ายภาพในโหมด Pro ซึ่งผลออกมาสนุกและต่างจากการควักออกมาถ่ายไวๆ มากๆ และนี่คือภาพที่ได้จากการลองปรับรูรับแสงและความไวชัตเตอร์ รวมถึงค่า ISO ซึ่งหากมีขาตั้งกล้องจะช่วยได้มาก

ขณะที่ภาพนี้ไม่ได้ปรับโหมด Pro ใช้โหมด auto เร็วๆ ง่ายๆ

 

ภาพสุดท้ายนี้ขอทิ้งท้ายด้วยความประทับใจส่วนตัว เกิดจากการลองตั้งค่า ISO ต่ำ และความไวชัตเตอร์ต่ำ วิธีการคือช่างภาพลองใช้หลอดไฟกระพริบ ที่ถูกตั้งโปรแกรมมาให้ฉายภาพในรูปแบบโค้ดตามวินาที เมื่อเขาวิ่งไปข้างหน้า ขณะที่กล้องบันทึกภาพด้วยความไวชัดเตอร์ที่ต่ำ แสงจะปรากฏเป็นรูปต่างๆ อย่างน่าอัศจรรย์ (ถ้าใช้ขาตั้งกล้องจะได้ภาพที่ปะติดปะต่อกว่านี้ แต่เนื่องจากผู้เขียนเองติดเล่นเลยไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้องจริงๆ จังๆ โมลาลิซ่าจึงออกมาบิดๆ เบี้ยวๆ และได้แสงประหลาดแถมมาตรงกลางด้วย)

แม้เราจะได้แวะที่ซิดนีย์เป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ไม่ว่าอย่างไร เราจะยังคิดถึงท้องทะเลของที่นั่นเสมอและจะกลับไปอีกแน่ๆ

Tags: , , , ,