มองในมุมการเมือง ระบบรวมศูนย์อำนาจ เน้นการควบคุมและสั่งการจากบนลงล่าง ภายใต้การนำของรัฐบาลพรรคเดียวของจีน คือ สาเหตุรากเหง้าอย่างหนึ่งที่ทำให้โคโรนาไวรัสแพร่ระบาด
โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่เริ่มอุบัติเมื่อราวต้นเดือนธันวาคม 2019 รัฐบาลปักกิ่งสั่งปิดเมืองอู่ฮั่นในวันที่ 23 มกราคม 2020 ทำไมจีนจึงดูจะสนองตอบต่อการระบาดอย่างล่าช้า นักสังเกตการณ์บอกว่า ในช่วงเวลาหลายสัปดาห์ระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่จีนมัวแต่เกรงประชาชนแตกตื่น
ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ต้องรายงานตามลำดับชั้น กว่าผู้มีอำนาจในเมืองหลวงจะตระหนักถึงความร้ายแรง โคโรนาไวรัสก็แพร่กระจายจนยากควบคุมแล้ว
เล่นงานคนปล่อย ‘ข่าวลือ’
นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า คนแรกๆ ที่พยายามเตือนถึงพิษภัยของไวรัส คือ จักษุแพทย์คนหนึ่ง ชื่อ หลี่เหวินเหลียง เมื่อมีคนไข้ 7 คนล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่ภายในโรงพยาบาล ในวันที่ 30 ธันวาคม คุณหมอหลี่แชทในกลุ่มออนไลน์ แนะนำให้กักกันโรคในแผนกฉุกเฉิน คำเตือนนี้ถูกแชร์ออกไปนอกกลุ่ม
กลางดึกคืนนั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเมืองอู่ฮั่นเรียกคุณหมอไปพบ ต่อว่าต่อขานว่าพูดแบบนั้นทำไม สามวันต่อมา ตำรวจบังคับให้คุณหมอลงนามยอมรับว่า ทำผิดกฎหมาย พร้อมกันนั้น ตำรวจยังสอบสวนประชาชนอีก 8 คนในข้อหาโหมกระพือข่าวลือเกี่ยวกับโรคระบาด
วันเดียวกัน คณะกรรมการสาธารณสุขของอู่ฮั่นประกาศว่า มีประชาชนป่วยด้วยโรคปอดบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก เชื้อโรคชนิดนี้ป้องกันได้ ควบคุมได้
พอถึงวันที่ 10 มกราคม นายแพทย์หลี่ให้การรักษาผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นต้อหิน ตอนนั้นคุณหมอไม่รู้ว่าหญิงคนนั้นติดเชื้อโคโรนาไวรัสมาแล้ว ซึ่งอาจมาจากลูกสาวของเธอ ต่อมา หญิงทั้งสองล้มป่วย ตัวคุณหมอเองก็ติดเชื้อไปด้วย
ปิดตลาดเพื่อ ‘ปรับปรุง’
ในวันที่ 1 มกราคม ตำรวจกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไปที่ตลาดขายส่งอาหารทะเลฮัวหนาน หลังรับทราบจากโรงพยาบาลต่างๆ ว่า คนไข้หลายรายที่มีอาการปอดบวมไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาที่เคยใช้ คนเหล่านี้ทำงานในตลาดฮัวหนาน
เมื่อไปถึง พวกเจ้าหน้าที่สั่งปิดตลาด โดยบอกว่าเป็นการปิดเพื่อปรับปรุง พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ในชุดป้องกันเชื้อโรคเข้าไปล้างทำความสะอาดแผงค้า และพ่นยาฆ่าเชื้อโรค
ถึงแม้ทางการจีนได้แจ้งเหตุระบาดให้สำนักงานองค์การอนามัยโลกในกรุงปักกิ่งรับทราบในวันที่ 31 ธันวาคม แต่ประกาศของทางการเมืองอู่ฮั่นยังคงบอกกับชาวเมือง 11 ล้านคนว่า ได้หยุดยั้งเชื้อโรคถึงแหล่งกำเนิดแล้ว คนป่วยมีไม่มาก ไม่มีหลักฐานว่าเชื้อนี้แพร่จากคนสู่คนได้
หลังจากปิดตลาดได้ 9 วัน จีนมีคนป่วยเสียชีวิตด้วยเชื้อตัวนี้เป็นรายแรก เป็นชายวัย 61 ที่มักไปซื้อของที่ตลาดดังกล่าวเป็นประจำ ทางการเปิดเผยข่าวการเสียชีวิตครั้งนี้ในอีก 2 วันต่อมา แล้วอีก 5 วันให้หลัง ภรรยาของชายคนนี้ก็มีอาการอีกคน เธอไม่เคยไปที่ตลาดฮัวหนาน
คนนับหมื่นร่วมงานเลี้ยง
ในเดือนมกราคม ขณะที่ไวรัสเริ่มระบาด พอดีเป็นช่วงเวลาที่มีการประชุมประจำปีของสภาประชาชนของเมือง นายกเทศมนตรีนครอู่ฮั่น โจวเซียนหวัง นำเสนอแผนงานของเมืองมากมาย แต่เขาหรือผู้บริหารคนอื่นๆ ไม่ได้เอ่ยถึงการระบาดของไวรัสเลย
ระหว่างการประชุมสภาดำเนินไป หน่วยงานสาธารณสุขของเมืองย้ำในประกาศรายวันครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่พบหลักฐานการแพร่เชื้อจากคนสู่คน ไม่มีบุคลากรด้านสาธารณสุขติดเชื้อ
มิหนำซ้ำ ภายหลังการประชุมไม่กี่วัน นครอู่ฮั่นยังเดินหน้าจัดงานเลี้ยงที่มีผู้คนจาก 40,000 ครอบครัวเข้าร่วม
ทั้งหมดนี้ถูกวิจารณ์ว่า ทางการเมืองอู่ฮั่นประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดต่ำเกินจริง
ข้างบนสั่ง ข้างล่างค่อยขยับ
จนกระทั่งพบผู้ติดเชื้อรายแรกนอกประเทศจีนในเมืองไทยเมื่อ 13 มกราคมหลังจากมีผู้เสียชีวิตรายแรกในจีนแล้วนั่นแหละ รัฐบาลปักกิ่งจึงหันมาสนใจ โดยส่งนักระบาดวิทยา จงหนานชาน ซึ่งเคยต่อสู้กับโรคซาร์สเมื่อปี 2002 ไปยังเมืองอู่ฮั่น
คุณหมอให้ข่าวกับโทรทัศน์ของรัฐบาลจีนในวันที่ 20 มกราคม ว่า ไวรัสชนิดใหม่นี้แพร่จากคนสู่คนได้ คนไข้รายหนึ่งได้แพร่เชื้อให้บุคลาการทางการแพทย์อย่างน้อย 14 คน
เมื่อประธานาธิบดีสีจิ้นผิงกลับจากเยือนเมียนมา ผู้นำจีนสั่งการให้เจ้าหน้าที่รับมือกับการระบาด ถึงตอนนี้ ระบบราชการของจีนจึงขยับ ตอนนั้นเพิ่งมีคนตาย 3 ราย นครอู่ฮั่นขานรับด้วยการสั่งห้ามรับกรุ๊ปทัวร์เข้าเมือง ผู้คนเริ่มซื้อหาหน้ากากอนามัย ต่อมาไม่กี่วัน จึงมีคำสั่งปิดเมือง ซึ่งต้องผ่านความเห็นชอบจากปักกิ่ง
นายกเทศมนตรีโจวประกาศแสดงความรับผิดชอบที่รายงานสถานการณ์ล่าช้า แต่เขาออกตัวว่า เป็นเพราะกฎหมายควบคุมโรคระบาดของประเทศกำหนดให้รัฐบาลท้องถิ่นต้องรอการอนุมัติจากรัฐบาลกลางเสียก่อน จึงจะประกาศข่าวการระบาดได้
คุณหมอหลี่ จักษุแพทย์ผู้เตือนภัยไวรัสเป็นคนแรก กำลังใกล้หายป่วยแล้ว คุณหมอบอกว่า ถ้าตอนนั้นประชาชนเชื่อ ‘ข่าวลือ’ แล้วพากันสวมหน้ากากอนามัย ระมัดระวังการติดเชื้อ และถ้าเจ้าหน้าที่เปิดเผยข้อมูลอย่างรวดเร็ว สถานการณ์คงดีกว่านี้
ระบอบรวมศูนย์อำนาจ
สุยเชิงจ้าว ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือจีน-สหรัฐฯ บัณฑิตวิทยาลัยนานาชาติศึกษา มหาวิทยาลัยเดนเวอร์ ให้ความเห็นกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า ถึงแม้เราจะชี้นิ้วโทษใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ แต่การแพร่ระบาดของไวรัสอย่างรวดเร็วนี้ เป็นผลจากความง่อยเปลี้ยทางการเมืองส่วนหนึ่ง บวกกับระบบที่มีการควบคุมข่าวสารข้อมูลอย่างเคร่งครัด
สกอต เคนเนดี ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจีน ศูนย์ยุทธศาสตร์และนานาชาติศึกษา ในกรุงวอชิงตัน บอกว่า สีจิ้นผิงได้กระชับอำนาจไว้ในมือนับแต่ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้นำจีน ระบบควบคุมได้รวมศูนย์อยู่ที่ตัวผู้นำมากขึ้นเป็นลำดับ ระบบการเมืองเน้นความสำคัญของเสถียรภาพ
ในวิกฤตครั้งนี้ ถ้าสถานการณ์ผ่านพ้นไปได้ เศรษฐกิจไม่เสียหายมากนัก ตัวแบบการปกครองของสีก็จะยิ่งมีความชอบธรรม แต่ถ้าการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม ไวรัสยิ่งระบาด เศรษฐกิจยิ่งทรุด เสียงวิจารณ์จะพุ่งไปยังตัวเขา
รัฐบาลกลางอาจโยนความผิดให้เป็นเรื่องระดับปฏิบัติ แต่ถึงอย่างไร โครงสร้างที่ครอบงำระบบการเมืองจีนย่อมมีปักกิ่งเป็นศูนย์กลาง.
อ้างอิง:
New York Times, 1 February 2020
ภาพปก: NICOLAS ASFOURI / AFP
Tags: จีน, ไวรัสโคโรนา, โคโรนาไวรัส, โควิด-19