ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วนะครับที่คนไทยได้ตื่นเต้นไปกับข่าวการคว้าเข็มขัดแชมป์โลกสุดยิ่งใหญ่ของ ‘ศรีสะเกษ ศ.รุ่งวิสัย’ หรือ ‘ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น’
ภาพการยืนปักหลักแลกหมัดกับ ‘ช็อกโกลาติโต’ โรมัน กอนซาเลซ (Roman Gonzalez) นักชกผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของยุค และได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดในโลกเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ (เป็นสถานะเดียวกับที่ แมนนี ปาเกียว เคยได้รับ) โดยที่ต่างฝ่ายต่างสู้ไม่ถอย เป็นภาพที่สร้างความประทับใจให้กับคอมวยอย่างยิ่ง
เราต่างโหยหา ‘ไฟต์’ ดีๆ แบบนี้กันมานานแล้ว
เช่นกันกับที่คนไทยโหยหา ‘แชมป์โลก’ แบบนี้มานานแล้ว
แชมป์โลกที่อยู่ในใจคน
แชมป์มหาชน
เชอร์รีมีพิษ
บิดเข็มนาฬิกากลับไปสักหน่อยครับ เอาเป็นในช่วง 1-2 เดือนก่อนขึ้นชกที่เมดิสันสแควร์การ์เดนเวลานั้น เซียนมวยไม่มีใครเชื่อว่า ศรีสะเกษจะสามารถเอาชนะ ‘โคตรมวย’ อย่าง โรมัน กอนซาเลซ ได้
เหตุผลที่บรรดาเซียนต่าง ‘คิดดัง’ กันแบบนั้น เพราะ ‘ช็อกโกลาติโต’ ชาวนิการากัว นั้นเป็นเจ้าของสถิติไร้พ่าย ชก 46 ไฟต์ ชนะรวด น็อกเอาต์ถึง 38 หน
และที่เขาเลือกศรีสะเกษเป็นคู่ชกเมื่อช่วงเดือนมกราคม เนื่องจากเพิ่งผ่านศึกหนักจากการชกกับ คาร์ลอส คูเอดราส (Carlos Cuadras) คว้าเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต (115 ปอนด์) ซึ่งเป็นแชมป์โลกรุ่นที่ 4 ของตัวเอง เมื่อเดือนกันยายน
ความบอบช้ำจากการชกในไฟต์ที่สูสี ทำให้กอนซาเลซที่เพิ่งขยับน้ำหนักขึ้นมาจากรุ่น 112 ปอนด์ ต้องการคู่ชกที่ ‘เบามือ’ หน่อย มากกว่าจะรีแมตช์กับคูเอดราส หรือ นาโอยะ อิโนะอุเอะ
ศรีสะเกษถูกมองว่าเป็นคู่ชกที่ไม่น่ามีปัญหาสำหรับกอนซาเลซ
ภาษาเซียนมวยเขาเรียกการเลือกคู่ชกแบบนี้ว่า Cherry Picking (ผมก็เพิ่งทราบสำนวนนี้จากน้องชายคนหนึ่งเหมือนกัน)
อย่างไรก็ดี ศรีสะเกษไม่ได้เป็นผลเชอร์รีที่เด็ดแล้วกลืนกินด้วยความสดชื่นสำหรับนักชกนิการากัว
ในทางตรงกันข้าม ‘เจ้าแหลม’ คือเชอร์รีมีพิษที่กินแล้วกระอักกระอ่วน
สภาพร่างกายที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี สามารถขึ้นชก 12 ยกเต็มแรงไม่มีตกวูบ พลังหมัดที่หนักหน่วงซัดเอากอนซาเลซลงไปนอนสัมผัสพื้นเวทีได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี รวมถึงลูกล่อลูกชนที่ทำเอาแชมป์โลกตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบด้วยบาดแผลที่ดวงตาและศีรษะ
และสำคัญที่สุดคือ ศรีสะเกษ ‘สู้ไม่ถอย’
นี่คือความต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างทั้งสองคน
คนหนึ่งคิดว่านี่คืองานง่าย
อีกคนคิดว่านี่คือโอกาสที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต
บทสรุปสุดท้ายคือเสียงประกาศจากผู้ตัดสินที่ให้ ‘Rungvisai’ เป็นผู้ชนะแบบไม่เป็นเอกฉันท์ และน้ำตาลูกผู้ชายที่หลั่งไหลออกมาด้วยความภูมิใจ
บนสังเวียนที่ถือเป็น ‘เมกะมวยโลก’ เมดิสันสแควร์การ์เดน (Madison Square Garden)
จากเซ็นทรัล บางนา สู่เมดิสันสแควร์การ์เดน
ถ้ามีการเปรียบสนามเวมบลีย์ (Wembley) เป็น ‘เมกะวงการลูกหนัง’ และ ครูซิเบิลเธียเตอร์ (Crucible Theatre) คือ ‘เมกะวงการสนุกเกอร์’
สังเวียนเมดิสันสแควร์การ์เดน ก็คือ ‘เมกะ’ ของวงการมวยเช่นกันครับ
การจะได้ขึ้นชกที่สังเวียนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ครับ ไม่ใช่ใครจะขึ้นชกก็ได้ ต้องเป็นระดับสุดยอดเท่านั้น และบางทีมีแค่ฝีมือไม่พอ ต้องมีวาสนาด้วย
เจ้าแหลมคือนักมวยไทยคนแรกคว้าชัยได้ที่ “เมกกะมวยโลก”!
เจ้าแหลมคือนักมวยไทยคนแรกที่ได้โชว์พลังหมัดที่เมกะมวยโลก และคว้าชัยชนะมาครองได้ด้วย!
แต่กว่าจะถึงเมดิสันสแควร์การ์เดนได้นั้น เขาต้องผ่านการเดินทางที่แสนยาวไกล และเป็นการเดินทางที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
ศรีสะเกษเริ่มหัดชกมวยก็ตอนอายุ 13-14 ปีแล้ว ซึ่งสำหรับนักมวยคนหนึ่งที่คิดจะขึ้นชกอย่างเป็นจริงเป็นจังถือว่าช้ามาก เพราะหากคิดจะยึดเป็นอาชีพก็ต้องเริ่มหัดกันตั้งแต่เล็กๆ 4-5 ขวบ
ในวัยนั้นแม่ก็ไม่สนับสนุน เพราะกลัวจะโดนต่อยจนเบลอ เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง แต่ศรีสะเกษก็ยืนยันที่จะขอชกมวยต่อไป ถึงขั้นแอบแม่ไปชกในไฟต์แรก ซึ่งไม่รู้ว่าด้วยโชคหรือฝีมือทำให้เขาชนะน็อกได้โดยปราศจากบาดแผล แม่ก็เลิกห่วงไปเอง
หลังจากนั้นก็ตระเวนเดินสายต่อยมวยตามงานวัด งานบุญ ก่อนจะตัดสินใจพาแฟนสาวในวัย 14-15 ปี มาสร้างครอบครัว และค้นหาความฝันที่กรุงเทพฯ
ด้วยเงินติดตัวแค่ 400 บาท
เงินแค่นี้ในเมืองหลวงจะทำอะไรได้? ใครก็ปรามาสเขาแบบนั้นครับ แต่ศรีสะเกษก็ตัดสินใจเดินทางมาเมืองฟ้าอมร และไม่คิดหันหลังกลับไปอีก แม้ว่าจะต้องลำบากขนาดไหนก็ตาม
ลำบากขนาดไหนที่ว่า ก็ขนาดไม่มีเงินกินข้าว ต้องคุ้ยเศษอาหารเอามาต้มกินกับแฟนสาว หรือมีเงินซื้อมาม่าซองหนึ่งก็ให้แฟนกินเส้น ตัวเองกินน้ำคลุกข้าว
ทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เซ็นทรัล บางนา มีเวลาก็ไปตามหาความฝันด้วยการตระเวนชกมวยไทยต่อ เงินที่ได้ให้แฟนสาวเป็นคนดูแล และส่งแฟนสาวเรียนจนจบระดับ ปวส. ได้สำเร็จ
ส่วนตัวเองก็ก้าวต่อไปเรื่อยๆ จากมวยไทย มาชกมวยสากล จนเข้าตา เสี่ยฮุย-สุรชาติ พิสิฐวุฒินันท์ ที่ดึงเข้าสังกัดหลังได้เห็นเจ้าแหลม ชกเสมอกับ นวพล นครหลวงโปรโมชั่น ที่ขอนแก่น
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางนักชกผู้ยิ่งใหญ่อีกคนของวงการมวยเมืองไทย
และเป็นนักชกที่น่าจะปลุกกระแสให้วงการกำปั้นใส่นวมบ้านเรากลับมาคึกคักอีกครั้ง
ปลุกชีพมวยสากลไทย
ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เรามีแชมป์โลกขวัญใจมหาชนคือเมื่อไร?
ที่ชัดในความทรงจำวัยเด็กคือ หากเขาทราย แกแล็กซี ขึ้นชกวันไหน วันนั้นตอนเย็นถนนจะโล่งเป็นพิเศษ เพราะทุกคนจะรีบกลับบ้านไปเปิดหน้าจอทีวีเพื่อรอชมลีลาของ ‘ซ้ายทะลวงไส้’
อีกครั้งที่พอจะนึกออกคือ ไฟต์ระหว่าง สมาน ส.จาตุรงค์ ที่สู้ยิบตากับโคตรมวยยุคนั้นอย่าง ฮุมแบร์โต “ชิกิตา” กอนซาเลซ ก่อนจะชนะน็อกได้ในยกที่ 7 แบบหักปากกาเซียนทั้งโลก และส่งกอนซาเลซลาวงการทันที ตามที่ลั่นวาจาไว้ก่อนขึ้นสังเวียนว่าถ้าแพ้จะแขวนนวม
แต่เรื่องราวเหล่านั้นมันผ่านมานานแล้วครับ ไฟต์ของสมานก็เกิดขึ้นเมื่อ 16 ก.ค. 2538 หรือเกือบ 22 ปีแล้ว
ความจริงเมืองไทยยังมีแชมป์โลกอีกหลายคนนะครับ นับจาก โผน กิ่งเพชร แชมป์โลกคนแรกที่ได้แชมป์เมื่อปี พ.ศ. 2503 มาถึงปัจจุบันประเทศไทยมาแชมป์โลกสถาบันหลัก (WBA, WBC, IBF, WBO) มาแล้วทั้งสิ้น 48 คน
ปัจจุบันนอกจาก ศรีสะเกษ เรายังมีแชมป์โลกคนอื่นๆอย่าง วันเฮง ไก่ย่างห้าดาวยิม (WBC, สตรอว์เวท) และ น็อคเอาต์ ซีพี เฟรชมาร์ท (WBA, มินิมัมเวท) ซึ่ง boxrec.com เว็บคัมภีร์มวยโลกจัดให้เป็นนักชกในระดับ 5 ดาว
ไม่นับแชมป์สถาบันรองที่มีอีกไม่น้อย
แต่ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าวงการมวยสากลบ้านเราซบเซาลงไปจากอดีตมาก ไม่คึกคักเหมือนเก่า สวนทางกับมวยไทยและศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) ที่โตวันโตคืนด้วยแนวทางคิดใหม่ทำใหม่ ทำให้ดูสนุกและเร้าใจคนดู
นึกภาพการเปิดตัวของนักมวยใน ‘ไทยไฟต์’ กับภาพของการกล่าวพิธีเปิดก่อนการขึ้นชกของแชมป์โลกมวยสากลที่ต้องยืนรอรับแจกทองจนเหนื่อย ก็น่าจะเห็นความแตกต่างอยู่บ้างครับ
อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าแชมป์มวยโลกนั้นเป็นสิ่งที่คนไทยต้องมี ประเทศไทยขาด ‘ฮีโร่’ บนสังเวียนผืนผ้าใบไม่ได้หรอกครับ
ของมันอยู่คู่กันมาแบบนี้
แชมป์โลกมหาชนนั้นคือความภูมิใจของชาติ คือคนที่แบกรับความหวังของคนทั้งประเทศ คือคนที่จะพิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่าคนไทยไม่แพ้ใคร
ความจริงศักดิ์และสิทธิ์ของ เจ้าแหลม ศรีสะเกษ ไม่ได้ต่างอะไรจากแชมป์โลกคนอื่นๆ ครับ เพียงแต่ด้วยไฟต์ของเขาเป็นการชกกับโคตรมวย และเป็นการชนะแบบบันลือโลกด้วย ยิ่งทำให้คนไทยตื่นเต้นกับชัยชนะครั้งนี้มากเป็นพิเศษ
ยิ่งอ่านเรื่องราวสู้ชีวิตของเขาแล้ว ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะได้แรงบันดาลใจและแง่คิดอะไรกลับไปบ้างไม่น้อย
อย่างน้อยในความเอาจริงเอาจัง ไม่ลดละเลิกที่จะทำตามความฝัน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเป็นสุภาพบุรุษ ความรักที่บริสุทธิ์จริงใจ มันน่าเอาเยี่ยงอย่างทั้งนั้นครับ
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น คนนี้จะไปได้ไกลถึงไหน จะรักษาเข็มขัดแชมป์โลกได้นานสักเท่าไร
แต่ก็หวังว่าเขาจะอยู่เป็น ‘ฮีโร่’ ของคนไทยไปนานๆ
ในวันฟ้าสีเทาแบบนี้ นี่คือยาชูใจที่ดีที่สุดแล้วครับ
DID YOU KNOW?
Tags: Sport, ThaiBoxing
- ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น มีชื่อจริงว่า วิจิตรศิลป์ วังเอก ส่วนชื่อเล่น ‘ตั้ม’ แต่เพื่อนๆ ชอบเรียกกันว่า ‘แหลม’ ส่วนศรีสะเกษ มาจากภูมิลำเนาของเขาที่จังหวัดศรีสะเกษ
- แหลม หรือตั้ม เกิดในครอบครัว ‘นักมวย’ ปู่ พ่อ และอาของเขาเป็นนักมวยทั้งสิ้น
- ชื่อในวงการของเขาชื่อแรกคือ ‘ซูเปอร์เล็ก’ ชกได้ค่าตัวครั้งแรก 1,000 บาท
- ศรีสะเกษได้เป็นแชมป์โลกครั้งแรกหลังเข้าสังกัดนครหลวงโปรโมชั่น โดยเอาชนะ โยตะ ซาโตะ นักมวยชาวญี่ปุ่น ทวงเข็มขัดแชมป์โลกซูเปอร์ฟลายเวต WBC หลังรุ่นพี่ สุริยัน ศ.รุ่งวิสัย แพ้ซาโตะในไฟต์ก่อนหน้า
- นอกจากจะเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ไปชกที่เมดิสันสแควร์การ์เดนแล้ว ศรีสะเกษยังเป็นคนไทยคนแรกในรอบ 40 ปีที่ไปชกที่เม็กซิโกด้วย เพียงแต่เขาแพ้คะแนน คาร์ลอส คูเอดราส มวยดาวรุ่งจังโก้ เสียเข็มขัดแชมป์โลกที่เพิ่งได้มาไป