ในสนามการเลือกตั้ง คนหนึ่งเป็นผู้ชาย ไม่เคยมีประสบการณ์การเมือง เป็นมหาเศรษฐีที่น่าเย้ยหยันรังเกียจ มีเส้นผมเหมือนซังข้าวโพดแห้งๆ มีภรรยาคนล่าสุดเป็นนางแบบผมบลอนด์ (ลองนึกภาพผู้หญิงปัญญาชนแบบ มิเชล โอบามา เป็นจุดอ้างอิง) เป็นคนหยาบคาย คลั่งเชื้อชาติ เหยียดคนต่างศาสนา เหยียดเพศ กร่าง ห่าม ปากไว พูดไม่คิด

ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิง เป็นแม่ เป็นยาย ผ่านมรสุมชีวิตครอบครัวมาด้วยความสุขุม อดทน สง่างาม ผ่านประสบการณ์การเมืองมาโดยไม่มีอะไรด่างพร้อย พูดจาดี หลักการดี มารยาทดี ถูกต้องทุกสิ่งทุกอย่าง หรือหากจะไม่มีอะไรถูกต้องบ้าง เมื่อเทียบกับไอ้บ้าคนนั้น – เราก็ต้องเลือกผู้หญิงคนที่ไม่มีอะไรด่างพร้อยคนนี้ใช่ไหม  แถมแคมเปญเต้นแพนต์สูทที่ออกมาสนับสนุนเธอก็ออกจะดูดี ดูหลากหลายทางเพศ หลากหลายเชื้อชาติ ดูเป็นเพื่อนหญิงพลังหญิง ไม่นับว่าหากเราได้ดูโฆษณาของเธอ ที่ทำออกมาซึ้งๆ ว่า เราจะปล่อยให้เด็กๆ ผู้ผุดผ่องของเราฟังผรุสวาจา โทสะวาจา จากไอ้บ้าคนนั้นทุกเมื่อเชื่อวัน – เราแน่ใจแล้วหรือ?

โอ๊ย เอาเด็ก เอาลูก เอาเต้าเรามาเรียกค่าไถ่ความดีและอนาคตกันขนาดนี้ ใครไปโหวตให้ไอ้บ้าคนนั้น ก็บ้าเสียยิ่งกว่าบ้า

แต่แล้ว… ไอ้บ้าคนนั้นดันชนะการเลือกตั้ง!!

เราอาจจะบอกว่า ฮิลลารีได้ป๊อปปูลาร์โหวตนะ ไอ้บ้าทรัมป์มันชนะเพราะระบบการเลือกตั้งที่บิดเบือนเสียงข้างมาก – แต่เดี๋ยวนะ นี่ครั้งที่ 6 แล้วมั้งในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่คนชนะในระบบ electoral แพ้คะแนนป๊อปปูลาร์โหวต

ประเด็นคือถ้าคนดีแพ้คนที่ดีกว่า – มันโอเคไง แต่คนดีกลับต้องมาแพ้คนบ้า – มันเป็นเรื่องที่ ‘คนดี’ ต้องใคร่ครวญหนักมาก

ปัจจัยความพ่ายแพ้หนึ่งของฮิลลารีที่น่าพูดถึงคือ ถ้าทรัมป์จะเหยียดเพศหญิงขนาดนั้น บรรดาผู้หญิงและเฟมินิสต์ต้องหันมาเลือกฮิลลารี แต่ในความเป็นจริงคือไม่

เพียงแต่ผู้หญิงทั่วไปที่ไม่ได้เห็นว่าประเด็นสิทธิสตรีนั้นสำคัญ แม้แต่เฟมินิสต์หัวก้าวหน้าจำนวนหนึ่งก็ออกมาประกาศว่า ไม่สนับสนุนฮิลลารี

เพราะอะไร?

ซูซาน ซาแรนดอน ดาราฮอลลีวูดระดับตำนาน และไม่ใช่ตำนานแบบไก่กา เพราะเป็นดาราที่ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองมาโดยตลอด ออกมาประกาศว่า จะไม่สนับสนุน ฮิลลารี คลินตัน และประโยคที่เจ็บแสบที่สุดของเธอคือ

“ฉันไม่ได้ใช้มดลูกโหวตนะ”1 – ซึ่งแปลว่า เธอคงไม่ได้โหวตให้ใครเพียงเพราะคนคนนั้นเป็นผู้หญิงเหมือนกัน

แอโนอา แชงก้า (Anoa Changa) เฟมินิสต์ผู้ตั้งกลุ่ม Women for Bernie Sanders บอกกับ เดอะ การ์เดียน ว่า

“เวลาที่ฉันบอกว่าจะไม่โหวตให้ ฮิลลารี คลินตัน ฉันจะถูกพวกเฟมินิสต์ด้วยกันมองแรง ราวกับกำลังทรยศต่อกลุ่มลับอะไรสักอย่าง แต่ฉันไม่เอาด้วยกับแนวคิดเฟมินิสต์แบบนี้นะ ฉันไม่ได้โหวตให้ใครเพียงเพราะเหตุผลด้านเพศสภาพหรอกนะ”

ในบทความเดียวกันนี้ ผู้หญิงอีกหลายคนให้ความเห็นว่า ฮิลลารี คลินตัน เป็นเฟมินิสต์คลื่นลูกที่สอง ที่โฟกัสแค่สัดส่วนของนักการเมืองหญิงกับชายที่ต้องสมดุลกัน หรือคิดว่าการมีประธานาธิบดีผู้หญิงคือการยกระดับสถานภาพของผู้หญิง แต่เฟมินิสต์รุ่นใหม่ๆ เห็นว่า ขบวนการผู้หญิงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีผู้นำประเทศเป็นผู้หญิง แต่สนใจเรื่องการมีส่วนร่วมในทุกระดับ โดยเฉพาะจากระดับรากหญ้า เรื่องเฟมินิสต์เป็นเรื่องของผู้หญิงทุกคนทุกเชื้อชาติทุกสถานะทางสังคม และพวกเขามองไม่เห็นฮิลลารีจะเข้าใจเรื่องนี้ และไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ในนโยบายของเธอ

หลายคนบอกว่า ตัวตนของฮิลลารีเป็นสิ่งที่พวกเธอจับต้องไม่ได้ เข้าไม่ถึง เวลาเธอทวิตภาพที่ถ่ายกับหลานมีบิลยืนอยู่ข้างหลัง “มันดู fake เหลือกำลัง เพราะฉันอดไม่ได้ที่จะพูดกับตัวเองว่า อี๋… เธอก็เกลียดบิลจะตาย ยังจะมา…”

แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับความคิดของผู้หญิงเหล่านี้ แต่อย่างน้อยมันทำให้เราเห็นว่า ความเป็นผู้หญิงไม่ได้แปลว่ามันจะทำให้ได้คะแนนเสียงจาก ‘ผู้หญิง’

ในขณะฝ่ายเดโมแครตและฮิลลารีพยายามชูประเด็นความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ สีผิว อันเป็นคุณค่าที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ทรัมป์พูด และเป็นการปราศรัยที่บรุกลินในเดือนมิถุนายนของฮิลลารี ที่เฝ้าตอกย้ำกับอเมริกันชนว่า – ดูสิ ภูมิใจไหม นี่เป็นครั้งแรกนะที่ผู้หญิงได้เป็นตัวแทนในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี จากนั้นก็พูดถึงแม่ของเธอซึ่งเกิดวันที่ 4 มิถุนายน 1919  อันเป็นปีที่ผู้หญิงมีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง ทว่าฮิลลารีไม่ได้พูดสักคำว่า กว่าผู้หญิงผิวสีจะมีสิทธิเหมือนผู้หญิงผิวขาวนั้นก็ปาเข้าไปในปี 1965

การเพิกเฉยต่อประเด็นนี้ ทำให้เฟมินิสต์อีกจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่า การให้คุณค่าต่อเรื่องผู้หญิง เรื่องความหลากหลายทางเพศของเธอนั้นเป็นแค่การสร้าง ‘จุดขาย’ มากกว่าจะ ‘อิน’ กับมันจริงๆ

ฟาราห์ ข่าน ชาวอเมริกันเชื้อสายปากีสถาน ให้ความเห็นกับ The Atlantic ว่า

“ปูมหลังทางการต่อสู้ของฮิลลารีกับพวกเราค่อนข้างแตกต่างกัน และโดยทั่วไปแล้ว เราไม่ได้สู้ด้วยประเด็นความเป็นหญิงเท่ากับประเด็นของการเป็นคนชายขอบในมิติต่างๆ เช่น เชื้อชาติ สีผิว ”

ในบทความจาก The Atlantic อมารยา อาร์มสตรอง นักศึกษาปริญญาเอก ที่ มหาวิทยาลัยแนชวิลล์ บอกว่า

“ฮิลลารี คลินตัน คือหนึ่งในคนหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของอเมริกาที่รายได้ต่อปีสูงที่สุด เธอมาจากครอบครัวชนชั้นนำที่มั่งคั่ง เธอไม่เคยต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจใดๆ แบบที่พวกเราเจอ เพราะฉะนั้นฉันนึกไม่ออกว่าเธอจะเป็นตัวแทนของพวกเราได้อย่างไร”

แต่การที่มีผู้หญิงจำนวนมากไม่สามารถนิยามตัวตนของพวกเธอเข้ากับฮิลลารี ได้ ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่ากับที่ผู้หญิงเหล่านี้ไม่ได้ยินว่ามีนโยบายอะไรของฮิลลารีที่จะอยู่เคียงข้างพวกเขาอย่างแท้จริง หลายคนยังแค้นฝังหุ่นเรื่องที่ฮิลลารีต่อต้านการแต่งงานของเกย์ในปี 2013

นั่นแปลว่า คนที่ต่อต้านการแต่งงานของเกย์อย่างสม่ำเสมอยังไม่น่ากลัวเท่ากับคนที่มีจุดยืนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะเราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนนี้เชื่อในอะไรกันแน่

มีผู้หญิงจำนวนมากยืนยันว่า “พวกเราอยากได้ยินอะไรที่มากไปกว่า นี่คือผู้หญิงคนแรกที่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี”

ผู้หญิงหลายคนบอกว่า การมีประธานาธิบดีผู้หญิงไม่ได้ช่วยให้การเหยียดหยามผู้หญิงหายไปหรอกนะ

การยกระดับสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้หญิงไปนั่งเป็นบอสอยู่ในทำเนียบขาว

และการเลือกใช้เซเลบริตี้แบบ เลดี้ กาก้า หรือ บียอนเซ่ ออกมาคร่ำครวญว่า เลือกผู้หญิงกันเถอะ เพื่อลูกสาวของเรา เพื่ออนาคตของพวกเรา ก็ยิ่งทำให้เฟมินิสต์หัวก้าวหน้าจำนวนมากกังขาว่า – นี่เรากำลังเลือกประธานาธิบดีนะ ไม่ใช่เลือกหัวหน้าแก๊งเชียร์ลีดเดอร์สมัยเรียนมัธยมปลาย

การที่เฟมินิสต์ไม่เลือกฮิลลารี คงไม่ใช่สาเหตุเดียวหรือสาเหตุหลักที่ทำให้ฮิลลารีแพ้ แต่การเดินเกมหาเสียงที่ ‘ตื้นเขิน’ ในประเด็นเรื่องเพศสภาพ ทำให้เราไม่อาจไว้ใจนโยบายเรื่องอื่นๆ ของเธอเลยว่า จะมีความสวยงามที่ฉาบทาอยู่แค่ภายนอก แต่ซ่อนความกลวงเปล่าไว้ภายในหรือไม่

Photo: Aaron Bernstein, Reuters/profile

อ้างอิง:
– http://www.theatlantic.com/politics/archive/2016/10/women-trump-clinton/504053
– http://verysmartbrothas.com/once-again-black-women-did-the-work-white-women-refused-to
– http://time.com/4566748/hillary-clinton-firewall-women

 

FACT BOX:

ข้อมูลจาก Exit Poll บอกว่า ผู้หญิงผิวขาว โหวตให้ทรัมป์ 62% ให้ฮิลลารี 43% ส่วนผู้หญิงผิวสีที่จบมหาวิทยาลัย โหวตให้ฮิลลารี 91% ไม่จบมหาวิทยาลัย โหวตให้ฮิลลารี 95% ผู้หญิงอายุน้อย โหวตให้ฮิลลารี 55% เทียบกับโอบามาที่เคยได้คะแนนจากคนกลุ่มนี้ถึง 60%

ตัวเลขนี้แสดงว่า หากฮิลลารีจะได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้หญิง เป็นการตัดสินใจบนฐานของเชื้อชาติ สีผิว มากกว่าเรื่องเพศสภาพ