ความรักเป็นเรื่องของทุกคน และในชีวิตมนุษย์คนหนึ่งต้องมีสักครั้งที่เจอปัญหาที่เกิดจากความรัก ไม่ว่าอกหัก แอบรัก เป็นกิ๊ก กินน้ำใต้ศอก หรือรักเราไม่เท่ากัน ฯลฯ

ดูเผินๆ ปัญหาความรักดูเหมือนจะเป็นเรื่องของหัวใจ แต่ รศ. ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ชอบตอบปัญหาความรักแก่นักศึกษาและบุคคลทั่วไปพอๆ กับสนใจเรื่องการเมือง กลับมองว่า

“ความรักนี่โคตรมหาการเมืองเลย เพราะเต็มไปด้วยกติกาว่าคุณทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง”

ในวันที่หัวใจวูบไหว เปราะบาง และสับสนในเส้นทางของหัวใจ การนั่งลงสนทนากับนักวิชาการที่มอง ‘ความรัก’ อย่างเข้าใจ เพียงถ้อยคำหนึ่งที่ให้ ก็อาจเปิดไฟในห้วงรักอันมืดหม่น ให้ใครสักคนได้เห็นทาง และลุกขึ้นเดินต่อไป…

ในฐานะนักวิชาการ อาจารย์มอง ‘ความรัก’ อย่างไร?

ดิฉันเรียนหนังสือ สอนหนังสือ จบรัฐศาสตร์ สนใจเรื่องการเมือง แล้วอะไรคือการเมือง…

การเมืองคือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดกติกา อย่างถ้ามีคน 3 คนนั่งอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน ถ้าทั้ง 3 คนทำตามใจตัวเอง คุณตบกันแน่ ในที่สุดก็จะเกิดการกำหนดกติกาว่า คุณ 3 คนจะทำงานด้วยกันอย่างไร นั่นล่ะการเมือง

เพราะฉะนั้นการเมืองไม่ใช่เรื่องของสภา แต่อยู่ในทุกอณูของชีวิตคุณ

ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าความรักก็เป็นเรื่องการเมือง?

ความรักนี่โคตรมหาการเมืองเลย เพราะเต็มไปด้วยกติกาว่าคุณทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น สังคมไม่ได้ปล่อยให้คุณรักใครก็ได้ เช่น คุณมีเพศสภาพชาย ถ้าคุณรักคนที่มีเพศสภาพชายด้วยกัน ผิด เพราะสังคมไม่ยอม

เพราะฉะนั้นคนที่มีความรักส่วนหนึ่งที่อกไหม้ไส้ขมอยู่ตอนนี้ ก็เพราะคุณดันไปทำสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับกติกาของสังคม นั่นส่วนหนึ่ง

นอกจากนี้ก็ยังมีกติกาที่บอกว่า คุณต้องดำเนินความสัมพันธ์ยังไง ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นอย่างไร พอคุณกับคนที่คุณรัก 1:1 นะ มาดำเนินความสัมพันธ์ ทีนี้ยิ่งมัน เพราะต่างฝ่ายต่างมีความคาดหวัง แล้วคุณก็จะบีบบังคับอีกฝ่ายหนึ่งให้ทำตามใจคุณ โคตรมหาการเมืองเลย เพราะคุณต้องต่อรองและฟาดฟัน

ตอนที่คุณมีปัญหาความรักตัวคุณยังจัดการตัวเองไม่ได้
แล้วคุณจะเที่ยวไปบอกคนอื่นว่า ต้องทำอย่างนี้ๆ จะบ้าหรือ?

เห็นอาจารย์ตอบคำถามความรักที่มีคนเข้ามาถามในหน้าแฟนเพจบ่อยๆ หรือ ‘รักไม่ง่าย’ คอลัมน์ในเว็บ The Momentum ถ้าคนที่กำลังเศร้ามากๆ มาถาม กรณีนี้ถือเป็นความเสี่ยงในการจะตอบไหม และอาจารย์มีวิธีในการตอบคำถามแบบนี้ยังไง?

ข้อที่หนึ่งนะคะ ดิฉันไม่มีคำตอบให้ใครในโลกนี้

คุณลองคิดดูสิ ตอนที่คุณมีปัญหาความรักตัวคุณยังจัดการตัวเองไม่ได้ แล้วคุณจะเที่ยวไปบอกคนอื่นว่า ต้องทำอย่างนี้ๆ จะบ้าหรือ?

คุณต้องเข้าใจว่าความรักเป็นเรื่องในทางอารมณ์ คนกำลังทุกข์ กำลังไม่สบายใจ หน้าที่หลักของคุณคือ ช่วยให้เขาเห็นว่าทุกข์ของเขาคืออะไร

โทนในการตอบคำถามจะเป็นการคลี่ให้เห็นปัญหา ปลอบใจ และคลี่คลายอารมณ์ของคนคนนั้นไปด้วยพร้อมกัน คือนโยบายของดิฉัน เพราะเราไม่อยากให้คนต้องทุกข์ใจอยู่คนเดียว

คนเราพอมีความรัก ความสัมพันธ์ มีปัญหาหมด คุณทำยังไงกับมัน ดิฉันทำให้ประสบการณ์ของตัวเองกลายเป็นเรื่องวิชาการมาโดยตลอด แล้วดิฉันก็เชื่อว่าคนจำนวนมากเป็นเช่นนี้ คือคุณคลี่คลายผ่านตัวเอง

อาจารย์กำลังจะบอกว่า ถึงที่สุดปัญหาเรื่องความรัก คนคนนั้นก็ต้องแก้ไขมันด้วยตัวเองเท่านั้น?

ความรักมันไม่มีทางเป็นอย่างใจ คุณยังเลือกไม่ได้เลยว่าคุณจะรักใคร คุณไปนั่งสงบสติอารมณ์คืนนี้ก่อนนอน นึกใคร่ครวญให้ดีๆ คุณเลือกได้หรือคะว่าคุณจะรักคนนี้ แท้ที่จริงพวกคุณทั้งหลายรู้ตัวอีกทีคุณก็รักคนคนนั้นไปแล้ว แล้วบางทีคุณไม่รู้ว่าทำไม ถ้าคุณบอกได้ว่า ฉันจะรักคนนี้ จะรักคนนั้น ชีวิตก็ง่ายเลย

แต่ชีวิตคุณ คุณเลือกไม่ได้ใช่ไหมคะ? มันก็เลยยุ่ง เกิดปัญหาประเภทรักเขาข้างเดียวขึ้นมายังไงล่ะ

แต่เวลาที่เรารักใคร เราก็คิดเสมอว่าเราเลือกแล้วนะ

คุณลองนึกดีๆ นะคะ เวลาที่คุณปิ๊งหรือคุณเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมา คุณเลือกเขาหรือเปล่า?

มันไม่ได้อย่างใจ ไม่ได้เป็นเหมือนในนิทานหรือนิยาย ความรักมันมาเอง แล้วไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรบอกคุณนะว่าความรักจะมาแล้ว ความรักจะไปแล้ว โนว์…

หนังสือที่อาจารย์เขียนชื่อ ความรักถูกทุกข้อ อยากรู้ว่ามันมีตัวเลือกที่ถูกที่สุดไหม?

ไม่มีหรอกค่ะ คุณลองคิดดูนะคะ กติกาว่าอย่างไร คุณยอมทำไหม อารมณ์และความปรารถนาของมนุษย์มันพุ่งเข้าชนกำแพง มันไม่ปล่อยให้คุณทำตามใจ

ถามว่าแล้วจะอยู่กับมันยังไง คำตอบคือคุณอยู่กับมันยังไงก็ได้ถ้าคุณรู้ว่าจะอยู่กับมันยังไง เช่น ความสัมพันธ์ซ้อน ดิฉันก็จะบอกคนที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ว่า เวลาที่คุณเข้าไปซ้อนความสัมพันธ์คนอื่น ถามว่าคุณอยู่ได้ไหม คุณทำได้ไหม ได้นะ แต่ว่าคุณต้องรู้ว่าคุณต้องเจอกับอะไร

สมมติคุณเป็นคนเข้าไปซ้อนความสัมพันธ์ของคนสองคนที่เป็นแฟนกัน แล้วคุณไปเรียกร้องว่า ไม่ได้ ต้องมาใช้เวลากับฉัน …บ้าหรือ? ถ้าเรียกร้องอย่างนี้มีแฟนของตัวเองไม่ดีกว่าหรือ หรือขนาดมีแฟนของตัวเองบางทียังเรียกร้องไม่ได้เลย

ขณะเดียวกันคุณก็ต้องเจอกับความรู้สึกผิด เพราะกติกาที่คุณเรียนมาตั้งแต่เด็กบอกว่า มนุษย์ต้องรักเดียวใจเดียว ไม่ควรนอกใจคู่รัก พอคุณไปซ้อนความสัมพันธ์ของคนอื่น หรือคุณนอกใจแฟน คุณจะมีความรู้สึกผิดที่คุณแบกอยู่มากมายมหาศาล และคุณก็จะถูกสังคมประณาม เพราะคุณทำผิดกติกาสังคม

ถามว่าถ้าคุณสู้ไหว ก็เอาเลย

แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกทำตามกติกาหรือไม่ทำตาม อย่างไรก็เป็นทุกข์ แต่คุณต้องเลือกเองว่าจะอยู่กับทุกข์แบบไหน ดิฉันคิดว่าการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยควรจะสร้างศักยภาพให้คนเลือกทุกข์ตัวเองได้ คือคิดใคร่ครวญดูแล้วว่าฉันจะเลือกทุกข์อันนี้ ไม่ใช่งงไปงงมา สรุปว่าที่ตัวเองทุกข์อยู่นี่เป็นเพราะอะไร

อาจารย์คิดยังไงกับแนวคิด ‘ผัวเดียวเมียเดียว’?

คือมนุษย์มีความสามารถที่จะรักคนได้โดยไม่จำกัด แล้วอย่าลืม อย่างที่ดิฉันพูดตั้งแต่ตอนแรก คุณไม่ได้เลือกคนที่คุณรักนะคะ อยู่ดีๆ เจอคนคนหนึ่งคุณรู้สึกอย่างหนึ่ง คราวนี้กติกา Monogamy (ผัวเดียวเมียเดียว) บอกว่า ไม่ใช่ผัวเดียวเมียเดียวด้วยนะ แต่คุณต้อง ‘รักเดียวใจเดียว’ ด้วย ทีนี้ซวยแล้ว เพราะมีผัวคนเดียวไม่พอ คุณต้องรักผัวคนนี้เท่านั้นด้วย รักคนอื่นไม่ได้นะจ๊ะ

รักเดียวใจเดียว ฟังคำนี้ทีไรนี่ขนลุก คนพูดรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังเรียกร้องตัวเองมากขนาดไหน

ทีนี้ความสามารถของคนสามารถรักคนได้มากกว่าหนึ่งคนในช่วงชีวิตของคุณ หรือแม้กระทั่งในเวลาเดียวกัน คุณก็สามารถรักคนได้มากกว่าหนึ่งคน พอกติกาบอกว่าต้องเป็น 1:1 ก็จะนำไปสู่ความอึดอัดคับข้องใจของมนุษย์ สมมติว่าคุณแต่งงานแล้ว หรือมีแฟนแล้ว แล้วไปรักคนอื่น  คุณก็จะรู้สึกอึดอัด ผิดบาป อาจมีหลายคนขอสู้กับกติกา แต่สักพักหนึ่ง เอ้า ยอมแพ้ก็ได้ เพราะมันเหนื่อยเหลือเกิน

ความรักนี่โคตรปัญหาเยอะเลย มันทำให้คุณทุกข์
แค่คุณปรารถนาก็ทุกข์แล้ว หรือคุณเริ่มหลงรักใครสักคน ก็เริ่มกลุ้มแล้ว

เมื่อความรักเป็นเรื่องไม่แน่นอน และเต็มไปด้วยปัญหา อย่างนี้ทางที่ดีเราก็ไม่ควรที่จะมีความรัก?

นี่คุณคะ คุณคิดให้เป็นพุทธให้มากๆ คุณเกิดมาเพื่อทุกข์นะจ๊ะ ถ้าคุณจะเสวยสุขแล้วไปนิพพาน ขณะที่คุณยังวนเวียนอยู่อย่างนี้ คือคุณอยู่กับทุกข์ ทีนี้สิ่งที่ดิฉันพยายามทำคือให้คุณเห็นว่าความรักมันมีทุกข์ แล้วคุณจะอยู่กับมันอย่างไร โดยที่คุณเป็นคนเลือก

และคุณเข้าใจถูกแล้วแหละ ความรักนี่โคตรปัญหาเยอะเลย มันทำให้คุณทุกข์ แค่คุณปรารถนาก็ทุกข์แล้ว หรือคุณเริ่มหลงรักใครสักคน อยากจะได้คนนี้ปานจะกลืน ก็เริ่มกลุ้มแล้ว แล้วพอได้เขามาแล้วคุณก็อยากให้มันคงอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ แต่จริงๆ มันไม่มีอะไรคงอยู่ วันหนึ่งมันก็จะแปรเปลี่ยน หรือไม่คนที่คุณรักอาจจะตาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ สำคัญคือคุณอยู่กับความไม่คงที่นี้อย่างไร

แล้วเวลาที่พูด “ความรักนี่มันทุกข์เหลือเกิน ไม่ขอมีคู่ดีกว่า” พอคุณตกหลุมรักคนสักคนหนึ่ง คุณก็ลืมประโยคนี้แล้ว

อะไรก็เกิดขึ้นได้ สำคัญคือคุณอยู่กับความไม่คงที่นี้อย่างไร

ในความรักนอกจากมีเรื่องปัญหา ยังมีเรื่องตัณหา อาจารย์คิดว่ารักกับเซ็กซ์ต้องไปด้วยกันไหม?

คุณ! ความรักกับเซ็กซ์ ถามจริงๆ มันมาด้วยกันจริงหรือ?

มันเป็นอารมณ์คนละชุด เป็นคนละองค์ประกอบของความเป็นคน แล้วความรักกับเซ็กซ์ก็ถูกจับขยำให้เป็นเรื่องเดียวกัน ควรจะมาด้วยกันถึงจะงดงาม เพราะฉะนั้นพวกคุณทั้งหลายเวลา ‘เอา’ กับใครประเภท one-night stand เวลาหื่นขึ้นมา คุณก็เอา มันเป็นคนละเรื่อง แต่คุณไปให้คุณค่าว่ามันจะต้องมาด้วยกัน

ถ้าคิดแบบพุทธ ก็มีการควบคุมเรื่องเซ็กซ์โดยอยู่ในกรอบของศีลห้า?

ดิฉันว่าพุทธศาสนามองเรื่องเซ็กซ์ เรื่องอะไรเหล่านี้น่าสนใจนะ เพราะว่าพุทธศาสนามีเส้นทางบอกคุณหลายเส้น ถ้าคุณบอกว่าคุณเป็นพุทธ แล้วคุณจะไปนิพพาน ณ บัดนาว คุณก็ต้องตัดสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะว่ามันเลวหรืออะไร แต่เพราะมันจะเหนี่ยวรั้ง เซ็กซ์ทำให้คุณติดเพศรส ความรักทำให้คุณยึดเหนี่ยว มันดึงคุณไว้ ไม่ให้คุณไปถึงนิพพาน ถ้าคุณจะเดินเส้นตรงไปสู่นิพพาน คุณก็ต้องตัดเรื่องนี้

อย่าลืมว่าพุทธศาสนาแบ่งคนเป็นหลายประเภท คนที่มีชีวิตอยู่ในเพศฆราวาสอย่างพวกเรา ไม่ได้เป็นบรรพชิต เซ็กซ์ก็มีที่ทางอยู่ในชีวิตคุณ อย่างน้อยๆ ก็เป็นไปเพื่อการเกิด ทีนี้ศีลข้อที่สาม ‘กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี’ ตามตัวอักษรแปลว่า ห้ามประพฤติผิดเรื่องเพศ พูดแค่นี้นะ ซึ่งแปลว่าโคตรมหายืดหยุ่นเลย พอคุณเอาศีลข้อสามไปตั้งในสังคมไหน สังคมนั้นมีข้อห้ามเรื่องเพศอย่างไร คุณก็อย่าทำ ที่ว่าห้ามผิดลูกผิดเมียคนอื่นนั้นโคตรวิกทอเรียน คุณรับเรื่องเพศจากวิกทอเรียน แล้วคุณเอาศีลข้อสามของพระพุทธองค์ไปสนับสนุนเรื่องเพศแบบวิกทอเรียน แล้วดันประกาศตนว่าเป็นพุทธ ดิฉันว่ามันแปลกๆ คือของแบบนี้ต้องเถียงกัน

คุณรับเอาวิธีคิดแบบฝรั่งมา
เช่น ต้องแต่งกายมิดชิด ผัวเดียวเมียเดียว
เซ็กซ์ต้องอยู่ในการแต่งงานเท่านั้น โคตรฝรั่งเลย
แต่ดันบอกนี่คือความเป็นไทยอันดีงาม

ถ้าให้มอง ตอนนี้กติกาเรื่องเพศในสังคมไทยเป็นแบบไหน?

กติกานำเข้าค่ะ คุณรับเอาวิธีคิดแบบฝรั่งมา เช่น ต้องแต่งกายมิดชิด ผัวเดียวเมียเดียว เซ็กซ์ต้องอยู่ในการแต่งงานเท่านั้น โคตรฝรั่งเลย แต่ดันบอกนี่คือความเป็นไทยอันดีงาม คือดิฉันไม่ได้ว่าอะไรนะ ถ้าคุณบอกว่าวิกทอเรียนดี ก็เถียงกัน แต่คุณอย่ามาบอกเพราะความเป็นไทยอันดีงาม แล้วห้ามคนอื่นเถียง

มีคำแนะนำสำหรับคนที่กำลังมีความรักไหมครับ?

เมื่อความรักเป็นเรื่องควบคุมไม่ได้ คุณอย่ากำ แต่พอคุณพยายามจะเอาแน่เอานอนกับความรัก คุณเลยพยายามกำให้มันนิ่ง แนะนำให้ปล่อยดีกว่า อย่ากำแล้วพยายามจัดการสภาพที่เข้ามา คนสองคนที่เดินบนเส้นทางเดียวกัน ยังไงก็มีการเรียนรู้แล้วปรับไปด้วยกัน ซึ่งเป็นไปตลอดเวลา

คุณจะไปเรียกร้องความเที่ยงแท้กับอะไรที่อายุสั้น
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุดของมนุษย์นะ

ส่วนตัวอาจารย์เชื่อในโชคชะตาหรือพรหมลิขิตหรือเปล่า

อะไรคือโชคชะตาหรือพรหมลิขิตคะ

การที่คนสองคนมาเจอแล้วรักกัน

ก็เป็นส่วนหนึ่งใช่ไหม แต่ว่าดิฉันก็เป็นพุทธมากจนเชื่อว่าคนที่เป็นพุทธแบบไทยน่ะพูดผิด ที่ว่าชีวิตเราถูกกำหนดโดยกรรม ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ก็อยู่แค่นี้ แต่แท้ที่จริงชีวิตของคุณส่วนหนึ่งอาจถูกกำหนดโดยกรรม ส่วนที่เหลือคือกรรมปัจจุบัน คือ your decision ณ ปัจจุบันว่าคุณจะทำอย่างไร

ดิฉันตอบคุณแล้วล่ะเรื่องพรหมลิขิต

แล้วคนสองคนที่อยู่ด้วยกันจนแก่ล่ะครับ อาจารย์อธิบายเรื่องนี้อย่างไร

ความรักอายุสั้น เพราะเวลาที่คุณรู้สึกรัก ความรักมันวูบวาบขึ้นมาจากความตื่นเต้น ความสดใหม่ อะไรที่คุณไม่รู้จัก มันอายุสั้น เพราะมันไม่มีอะไรที่คุณไม่รู้จักถาวร สักวันหนึ่งเมื่อคุณเริ่มคบกับคนหนึ่ง ความใหม่ก็จะค่อยๆ ลดลง คุณจะไปเรียกร้องความเที่ยงแท้กับอะไรที่อายุสั้น เป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุดของมนุษย์นะ

สุดท้ายดิฉันบอกได้แค่ว่า ถ้าคุณจะเดินบนเส้นทางเดียวกับคนคนหนึ่ง ยังไงคุณก็ต้องเรียนรู้แล้วปรับเข้าหากัน เพราะคุณจะอยู่กับเขาไม่ใช่หรือ แล้วก็ต้องปรับรับกันอย่างนี้ไปตราบเท่าที่จะเดินด้วยกัน

 

*เรียบเรียงใหม่จากบทสัมภาษณ์ที่ตีพิมพ์ใน BLOC magazine ฉบับที่ 5, 2557

Tags: ,