คงต้องออกตัวไว้ก่อนเลยว่า ผู้เขียนนั้นไม่ใช่นักสตรีนิยมหรือเฟมินิสต์ (มาแต่ไหนแต่ไร) แต่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความเชื่อในศักยภาพและความสามารถของปัจเจกบุคคล ไม่ว่าจะเพศไหน ชายหรือหญิง หรือจะเป็นเพศที่สาม (ชายอยากเป็นหญิง หรือหญิงอยากเป็นชาย)

เป็นเพียงผู้หญิงที่เชื่อว่า คนเราควรต้องได้รับ ‘โอกาส’ และ ‘ความเท่าเทียม’ ในสังคมไม่ว่าจะเป็นเพศใด และควรต้องได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานและโอกาสในการดำเนินชีวิตที่ดี (ในระดับหนึ่ง) ในขณะที่เขียนไปก็รู้ว่าการเปลี่ยนบรรทัดฐานและความคาดหวังของสังคมเกี่ยวกับหญิงและชาย รวมทั้งความมุ่งหวังในการปรับเปลี่ยนนโยบายของภาครัฐนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อยากยกตัวอย่างประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับสิทธิสตรีในยุโรป มาให้ลองคิดพิจารณากันดูว่าแนวทางไหนที่เหมาะกับสังคมไทย

ผู้หญิงกับการทำงาน ตำแหน่งระดับสูง และเสรีภาพทางการเงิน

ในยุโรป เรื่องความเท่าเทียม รวมทั้งความเท่าเทียมทางเพศ ถือเป็นค่านิยมพื้นฐานของสังคม ภาครัฐยุโรป โดยเฉพาะสหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มโอกาสให้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานะ ไม่ว่าจะจนหรือรวย หรือแม้แต่ผู้พิการก็มีการสร้างโอกาสและพื้นที่ในสังคม
หากจะพูดเรื่องการทำงานและการเข้าสู่ตลาดงาน สถิติของยุโรประบุว่า

  • ในภาพรวม การจ้างงานเพศหญิงในยุโรปอยู่ที่ประมาณ 40-75% แต่ที่น่าสนใจคือว่า ผู้หญิงในยุโรปทำงานพาร์ตไทม์มากกว่าผู้ชาย และที่สำคัญทำงานในสาขาและในตำแหน่งที่มีมูลค่าและความสำคัญน้อยกว่างานของผู้ชาย
  • หากดูจำนวนผู้เรียนจบมหาวิทยาลัยในยุโรปทั้งหมด มีผู้หญิงมากถึง 60% แต่พอดูจำนวนผู้หญิงที่ทำงานในสาขาวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ มีเพียงประมาณ 33% ขณะที่งานสาขาด้านสังคมและการศึกษา มีผู้หญิงที่ทำงานในสาขานี้มากถึง 60%
  • ที่สำคัญผู้หญิงในยุโรปได้รับเงินค่าจ้าง (ค่าจ้างต่อชั่วโมง) ต่ำกว่าเพศชายถึง 16%

ล่าสุดในระหว่างการประชุมสภายุโรป มีการโต้แย้งในประเด็นดังกล่าวที่ดุเดือดมาก ระหว่างนักการเมืองยุโรป ซึ่งเป็น ส.ส. เพศชายขวาจัดชาวโปแลนด์ กับ ส.ส.  หญิงชาวสเปนในสภายุโรป โดย ส.ส. ชายกล่าวว่า “ผู้หญิงควรจะได้รับค่าจ้างน้อยกว่าผู้ชาย เพราะพวกเธอตัวเล็ก ด้อยกว่า อ่อนแอกว่า และฉลาดน้อยกว่า –  (smaller, weaker, and less intelligence)”

ลองดูวิดีโอนี้ดู คุณคิดว่าอย่างไร

เรื่องนี้ทำให้ประเด็นเรื่องสิทธิสตรีและบทบาทของเพศหญิงได้รับความสนใจมากในยุโรป ในที่สุด ส.ส. ชายดังกล่าวต้องถูกลงโทษโดยการพักงานไปสักพัก เพราะการพูดจาดูหมิ่นในลักษณะดังกล่าว นี่คือคุณค่าทางสังคมที่ยุโรป

นอกจากนั้นยุโรปยังตั้งเป้าส่งเสริมให้มีการจ้างงานเพศหญิงในตำแหน่งระดับสูงของบริษัท (ยกเว้น SMEs) ให้ได้ถึง 40% และส่งเสริมให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการเมืองและการกำหนดนโยบายของประเทศมากขึ้น คือเล่นการเมืองมากขึ้น มาร่วมกันพัฒนาประเทศให้มากขึ้น และที่สำคัญหากมีอาชีพการงานที่ดีขึ้นแล้ว พวกเธอก็จะมีเสรีภาพทางการเงินมากขึ้น (ไม่ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายชายเสียอย่างเดียว)

ในประเทศไทยก็น่าจะมีการรวบรวมและวิเคราะห์สถิติเรื่องสัดส่วนของหญิงและชายแบบนี้ไว้ด้วย หรือหากมีแล้วก็อย่าเก็บไว้เฉยๆ ควรนำมากำหนดเป็นนโยบายและตั้งเป้าหมายเรื่องสิทธิสตรีและส่งเสริมการจ้างงานเพศหญิง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม จริงๆ สำหรับประเทศไทย อยากเห็นนักการเมืองหญิงมากขึ้น นักธุรกิจหญิง ซีอีโอหญิงมากขึ้น และบทบาทของเพศหญิงในการร่วมกันพัฒนาประเทศและสังคมไทยให้มากขึ้น และต้องได้ค่าจ้างและค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกับผู้ชาย

ผู้หญิงที่เป็นแม่กับบทบาทของพ่อ – ลาคลอดได้ 3 เดือนน้อยไปไหม

ข้อมูลที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อผู้หญิงคลอดบุตรแล้ว บรรทัดฐานและความคาดหวังของสังคมคืออะไร แม่ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก ให้นมลูก แล้วคนเป็นพ่อล่ะ?

ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานระบุว่า “ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาคลอดก่อนและหลังคลอดครรภ์หนึ่งไม่เกิน 90 วัน โดยให้นับรวมวันหยุดที่มีระหว่างวันลาด้วย และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้าง ซึ่งลาคลอดเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 45 วัน”

สรุปกฎหมายไทยกำหนดให้ผู้หญิงสามารถลาคลอดได้ 3 เดือน แต่ชาย (เฉพาะที่เป็นข้าราชการและลูกจ้างราชการ) สามารถลาไปดูแลภรรยาได้ 15 วัน และได้รับเงินเดือน (ในภาคเอกชนหรือองค์กรอื่นๆ มีแตกต่างกันออกไป) จึงขอสนับสนุนให้ผู้ชายที่มีสิทธิดังกล่าวรีบใช้สิทธินี้และลาไปดูแลภรรยา เพราะช่วงแรกของการคลอดและดูแลทารกนั้นสำคัญที่สุด เนื่องจากผู้หญิงต้องการความช่วยเหลือ การสนับสนุน และกำลังใจจากสามีเป็นอย่างมาก (กรุณาอย่าได้หนีไปทำงานกันเลย)

การให้โอกาสการลาคลอดที่นานกว่านี้น่าจะรับไว้พิจารณา และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพ่อถือเป็นการส่งเสริมสถาบันครอบครัวและสร้างการมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูทารกด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างทารกและพ่อแม่ยิ่งใหญ่ ลึกซึ้ง และเหนียวแน่นมาก งานวิจัยบางชิ้นบอกว่าช่วงเวลาที่เด็กเกิดจนถึง 3 ปีแรก เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดในชีวิต จึงเห็นว่าเราควรมาลองพิจารณากฎหมายไทยดูใหม่ว่าจริงๆ สิทธิลาคลอดได้ 3 เดือนนั้นสั้นไปหรือไม่ แล้วเราจะให้สิทธิลูกจ้างผู้ชายในการใช้สิทธิลาคลอดด้วยดีไหม

[สิทธิ์ลาคลอด คุณพ่อข้าราชการ]

ควรให้สิทธิลาเลี้ยงดูบุตรดีไหม

สำหรับกรณีที่เป็นข้าราชการ เข้าใจว่าแม่ (แม่เท่านั้น ไม่รวมพ่อ) สามารถลาเลี้ยงดูบุตรได้อีก 150 วัน แต่ไม่ได้รับเงินเดือน

ประเด็นนี้อยากให้ลองพิจารณาการปรับเปลี่ยนกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานเรื่องการเลี้ยงดูบุตร โดยขอเสนอให้รวมสิทธิของพ่อ (ไม่ใช่เฉพาะแม่เท่านั้นที่ทำได้) เข้าไปด้วยในการลาเลี้ยงดูบุตร และควรเป็นสิทธิการเลี้ยงดูบุตรแบบได้รับเงินเดือนด้วย สรุปว่าสิทธิการลาเลี้ยงดูบุตรแบบได้รับเงินเดือนควรใช้ได้ทั้งพ่อและแม่ ควรถูกกำหนดให้บังคับใช้เป็นกฎหมายระดับชาติของไทยกับทุกหน่วยงานและทุกองค์กร

ลองมาดูนานาประเทศกันว่า เขาให้สิทธิการลาเลี้ยงดูบุตรแบบได้รับเงินเดือนกันนานแค่ไหน ยกตัวอย่าง ประเทศเอสโตเนีย เป็นประเทศที่ให้สิทธิการลาเลี้ยงดูบุตรแบบได้รับเงินเดือนนานที่สุดในโลกถึง 87 สัปดาห์ หรือ 609 วัน มากกว่าหนึ่งปี และให้เงินเดือนแบบครึ่งหนึ่งของเงินเดือนปกติ

ที่สำคัญ สิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนควบคู่ไปด้วยน่าจะเป็นการปรับทัศนคติของคนไทยว่า ไม่ใช่ผู้หญิงเท่านั้นที่มีหน้าที่เลี้ยงลูกและดูแลบ้าน เพราะในยุโรปพ่อบ้านหรือผู้ชายทำหน้าที่หลักในการเลี้ยงดูบุตร ขณะที่ภรรยากลับไปทำงานก็มีตัวอย่างให้เห็นไม่น้อย ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นทางเลือกของครอบครัวเองว่า ใครจะเป็นคนหารายได้เข้าบ้าน และใครจะทำหน้าที่ดูแลบ้าน เพราะทุกวันนี้บทบาทในการทำงานของผู้หญิงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในบ้านอีกต่อไปแล้ว

ผู้หญิงควรจะมีโอกาสในอาชีพการงานที่ยืดหยุ่นเวลาได้

ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลังคงหมดยุคไปแล้ว ปัจจุบันศักยภาพของสตรีมีเทียบเท่าผู้ชาย อยู่ที่ว่าจะได้รับการยอมรับจากสังคมแค่ไหน โอกาสด้านการศึกษา โอกาสได้เรียนสูงๆ (เท่าที่เธอต้องการจะเรียน) โอกาสได้เข้าร่วมในการบริหารประเทศ โอกาสในการเป็นผู้บริหารบริษัทและธุรกิจใหญ่ หากผู้หญิงเลือกที่จะกลับไปทำงานหลังมีบุตร โดยพ่ออาจเป็นตัวแทนของครอบครัวในการดูแลและเลี้ยงดูบุตร พวกเธอควรได้รับโอกาสที่เท่าเทียม

ที่สำคัญ สังคมควรให้โอกาสผู้หญิงในการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน หากไม่สามารถทำเต็มเวลา ก็น่าจะมีทางเลือกให้ทำงานแบบพาร์ตไทม์ให้มากขึ้น สิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนน่าจะเป็นทัศนคติในเรื่องการทำงานแบบครึ่งเวลาหรือเวลายืดหยุ่น ที่นายจ้างในองค์กรหรือหน่วยงานของไทยควรเปิดโอกาส ไม่ว่าพนักงานคนนั้นจะมีตำแหน่งเล็กหรือใหญ่ในองค์กรก็ตาม

ถึงที่สุดแล้ว คนไทยในวัยแรงงานน่าจะมีทางเลือกได้มากกว่าเพียงแค่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งว่าจะเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนหรือแม่บ้าน เพราะแท้จริงแล้วตัวเลือกในชีวิตสามารถออกแบบและผสมผสานกันได้มากกว่าตัวเลือกแค่ ก. กับ ข.

ดังนั้นการทบทวนและเพิ่มทางเลือกอื่นๆ ที่สอดรับกับบทบาทของผู้หญิงในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป น่าจะเป็นทางเลือกที่ลงตัวและเหมาะสมมากกว่า

ภาพประกอบ: Karin Foxx

Tags: