1

Men without Women หรือ ชายที่คนรักจากไป คือผลงานเรื่องสั้น 7 เรื่อง ของ ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่น ที่บอกเล่าการสูญเสียในเชิงความสัมพันธ์ของชายทั้ง 7 ในแต่ละเรื่อง แน่นอนว่ามวลอารมณ์ที่เกิดขึ้นผ่านเรื่องราว คือสภาวะหม่นหมอง ความอาลัยตายอยาก ชีวิตที่ขาดสะบั้น อนาคตไร้ซึ่งหนทางต่อ อันแตกต่างกันไปแล้วแต่กรณีและเหตุการณ์ที่ตัวละครพบเจอ 

ทั้งหมดนี้ถูกเล่าผ่านลายเซ็นของมูราคามิ ได้อย่างชัดแจ้ง การวางโครงเรื่องที่ไม่ซับซ้อนมากมาย เดินเป็นเส้นตรง เห็นว่าใครกำลังทำอะไรกันอยู่บ้าง แต่ที่น่าสนใจคือ เราแทบจะไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าตัวละครทั้งหลายนั้น คิดอะไรกันอยู่บ้าง 

ด้วยเรื่องราวที่เบาบาง และการจบแบบปลายเปิด มูราคามิให้ทางเลือกกับตัวละครมากมาย เปิดโอกาสให้เขาได้คิด ได้ฝัน ได้ตัดสินใจ ในแบบของตัวเอง กลายเป็นกิมมิคเล็กน้อยที่ชวนให้ผู้อ่านมานั่งปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ว่าสุดท้ายแล้วตอนจบนั้นจะลงเอยแบบไหน

อย่างไรก็ตาม Men without Women ก็มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนอยู่เช่นกัน ซึ่งคือเรื่องราวอันแหลกสลายและสูญสิ้นที่จบแบบปลายเปิด ให้ผู้อ่านได้เลือกว่าสิ่งใดคือความทรมานอันไร้ที่สิ้นสุดกันแน่ การตัดสินใจปลิดชีพหรือต้องทนอยู่กับชีวิตที่ว่างเปล่า ความเจ็บปวดที่เกิดแก่คนที่รัก หรือความทรมานอันหนักอึ้งในใจ แบบไหนมันเสียดแทงความรู้สึกในทุกวันที่ตื่นนอนมากกว่า เหล่านี้คือเสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้ที่เชื้อเชิญผู้อ่านให้มาลองสัมผัส 

2

สำหรับหนึ่งในเรื่องสั้นของเล่มนี้ คือเรื่อง Drive My Car ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดย เรียวสุเกะ ฮามากุชิ (Ryusuke Hamaguchi) และสามารถคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, International Federation of Film Critics’ Prize (FIPRESCI Prize) และรางวัล Ecumenical Jury Prize จากเวทีปาล์มทองคำ (Palme d’Or) และยังเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม ในเวทีออสการ์ประจำปี 2022 ที่กำลังจะมาถึง

แน่นอนว่าต้นฉบับของเรื่องราวที่ผ่านตัวอักษรของมูราคามิก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน หากจะพูดถึงความต่างระหว่างหนังสือและหนังนั้น ก็ต้องบอกว่าผู้เขียนชื่นชอบเรื่องราวที่ปรากฎบนหนังสือมากกว่า เพราะด้วยข้อจำกัดทางด้านตัวอักษรที่ไม่สร้างภาพเด่นชัดจนเกินไป เปิดโอกาสให้ได้จินตนาการได้เต็มที่ ซึ่งมันชวนสร้างเรื่องราวในแบบเฉพาะกว่าเวอร์ชันภาพยนตร์ที่หลายส่วนถูกเติมแต่งเพื่อความสมบูรณ์ตามองค์ประกอบหนัง จนหลายครั้งเรารู้สึกคล้อยตามและหมกมุ่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนมันไกลตัวและมองว่าเป็นเรื่องของคนอื่นไป 

เพราะสุดท้ายแล้วการที่ Drive My Car พูดถึงคำว่า ‘ปลดปล่อย’ ในหลายสิ่ง ปลดปล่อยความทุกข์ที่หนักอึ้งอยู่ในใจ ปลดปล่อยความสุขที่กำลังหักพังและทึกทักไปเองว่าฉันแข็งแรง ยังโอเคอยู่ ปลดปล่อยน้ำตาให้มันคลายความร้อนในร่างกายที่จะทำให้หัวใจระเบิดหลังจากอัดอั้นมาหลายปี การอ่านผ่านตัวหนังสือที่สร้างความส่วนตัวได้ง่ายกว่า มันชวนให้ผู้คนได้ลองใจดีกับตัวเองบ้าง รู้จักเยียวยา มูฟออน กลับมาชีวิตที่สดใสจริงๆ อีกสักครั้ง ซึ่งถือเป็นความพิเศษที่หนังสือและตัวอักษรสามารถมอบให้ผู้เขียนได้

 

3

หากถามว่านวนิยายเล่มนี้เหมาะกับใคร สำหรับผู้เขียนมองว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับทุกคน อย่างที่ทราบกันว่าความทุกข์ ความเศร้า มันเกิดขึ้นกับมนุษย์บนโลกแทบทั้งสิ้น และมันมีแรงขับเคลื่อนที่รุนแรง กระแทกอารมณ์ไม่น้อย ดังนั้นเชื่อว่าทุกคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ จะมองหาแง่มุมด้านลบของชีวิตกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งผู้เขียนเองรู้สึกยินดีมากหากจะเป็นแบบนั้น โดยเฉพาะสำหรับใครหลายคนที่ยังค้างคา หลงทาง ไม่มีเป้าหมาย เรื่องราวของทุกตัวละครอาจจะทำให้เข้าใจคำว่า ‘ชีวิต’ ในอนาคตข้างหน้าของแต่ละคนได้ 

ส่วนใครที่ไม่อยากเอาใจลงไปเล่นหรือกลัวจะอินจนเกินไป ก็สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นวรรณกรรมชั้นเยี่ยม ที่มีวิธีสร้างตัวละครหลากมิติ และมีไม้เด็ดในแต่ละตอนที่เฉียบแหลมได้ เพราะหนังสือเล่มนี้ก็เหมาะแก่การศึกษา หรือเพื่อเพลิดเพลินกับเรื่องราวในจักวาลของ ฮารูกิ มูราคามิ ที่จะไม่ทำให้ผู้อ่านทุกท่านผิดหวังอย่างแน่นอน

Tags: , , , ,