ข่าวไฟไหม้ป่าแอมะซอนครั้งใหญ่ทำให้ทั่วโลกอกสั่นขวัญหายว่าโลกกำลังจะสูญเสียทรัพยากรอันทรงค่าทั้งป่าไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ และพื้นที่กักเก็บแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ ในห้วงเวลาที่กระแสเขียวกำลังมาแรงโดยมีพาดหัวประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสื่อข้ามชาติอยู่แทบทุกสัปดาห์

หลายคนพร้อมใจชี้นิ้วไปที่ประธานาธิบดีคนใหม่หมาดของบราซิล จาอีร์ บอลซานาโร (Jair Bolsonaro) ที่ตั้งแต่รับตำแหน่งมา อัตราการตัดไม้ทำลายป่าแอมะซอนก็พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

แต่ชีวิตจริงไม่ได้ง่ายและสวยหรูเหมือนภาพยนตร์ฮีโร่ ที่เพียงรวมพลังปราบตัวร้ายในสายตาของหลายคนคือประธานาธิบดีบอลซานาโร ทุกปัญหาก็จะหายวับไปพริบตา จับมือแล้วฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน แล้วทุกคนก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขราวกับไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

ในบทความนี้ ผู้เขียนขอพาย้อนไปดูเรื่องราว 50 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคบุกเบิกการหักร้างถางพง ยุคฟื้นฟูแนวคิดด้านการอนุรักษ์ และสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากป่าแอมะซอนกลับมา ‘อินเทรนด์’ ในยุคหลัง ซึ่งสัมพันธ์แนบแน่นกับการเมืองเรื่องปากท้องที่แวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติ

แอมะซอน ขุมทรัพย์ธรรมชาติและทุนทางเศรษฐกิจ

ป่าดิบชื้นในลุ่มน้ำแอมะซอน เป็นป่าผืนใหญ่ขนาดกว่า 7 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็นพื้นที่ป่าร้อยละ 40 ของป่าดิบชื้นทั่วโลกและเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดยักษ์ ผืนป่าแห่งนี้เป็นบ้านของแมลงมากกว่า 2.5 ล้านสายพันธ์ุ รวมถึงนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประมาณ 2 ล้านสายพันธุ์ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในผืนป่าแอมะซอน) โดยพื้นที่ป่าร้อยละ 60 อยู่ในประเทศบราซิล ส่วนที่เหลือก็กระจายตัวอยู่ในประเทศ เช่น โบลิเวีย โคลัมเบีย เอกวาดอร์ และเปรู 

ในประเทศบราซิล พื้นที่ป่าแอมะซอนคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ประเทศ และมีชาติพันธุ์พื้นถิ่นหลายเชื้อชาติอาศัยผูกพันกับผืนป่าดังกล่าว การรุกรานผืนป่าแอมะซอนเกิดขึ้นเมื่อราวคริสตทศวรรษ 1970s นำโดยรัฐบาลทหารในขณะนั้น โดยมีโครงการที่เปรียบเสมือนเรือธงคือการก่อสร้างทางด่วนข้ามแอมะซอน (Trans-Amazonian Highway) ที่เริ่มต้นเมื่อ ค.ศ. 1972 นำไปสู่การตัดไม้ทำลายป่าครั้งใหญ่ เพราะถนนแห่งใหม่ช่วยอำนวยความสะดวกในการตั้งรกราก และการแปลงผืนป่าให้เป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ

การสูญเสียพื้นที่ป่าในบราซิลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลง โดยบางปี เช่น ค.ศ. 1995 บราซิลสูญเสียพื้นที่ป่ามากถึง 29,059 ตารางกิโลเมตร หรือเทียบเท่ากับ 10 เท่าของพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งในไทย แน่นอนว่าอัตราการทำลายป่าในระดับนี้ย่อมดึงดูดความสนใจจากคนทั่วโลก กลายเป็นกระแสวัฒนธรรมในระดับย่อมๆ ซึ่งผันเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลบราซิลดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

ลมเริ่มเปลี่ยนทิศ เมื่อประธานาธิบดีลูลา (Luiz Inácio Lula da Silva) ได้รับเลือกเป็นผู้นำใน ค.ศ. 2003 และได้แต่งตั้งให้มารินา ซิลวา (Marina Silva) ผู้หญิงซึ่งเป็นผู้นำด้านกระแสการอนุรักษ์ในบราซิลผู้ซึ่งเติบโตจากครอบครัวในป่าแอมะซอนเป็นรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อม เธอมาพร้อมกับแผนแก้ไขปัญหาที่เข้มแข็งและเข้มข้น โดยมีการลงโทษผู้รุกล้ำพื้นที่ป่าอย่างรุนแรงและจริงจัง ทำให้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 เป็นต้นมา อัตราการตัดไม้ทำลายป่าในบราซิลลดลงอย่างฮวบฮาบ โดยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อ ค.ศ. 2012 คือเหลือเพียง 4,517 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การตัดไม้ทำลายป่าในบราซิลลดลง คือเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตำแหน่งงานจำนวนมากดึงดูดคนจากพื้นที่ชนบทเข้ามาทำกินในเมือง ป่าไม้กลายเป็นขุมทรัพย์ที่ไม่มีใครต้องการไปแตะต้องเพราะอาจตามมาด้วยบทลงโทษราคาแพง อนาคตของบราซิลดูจะสดใสจนกระทั่งบราซิลเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี ค.ศ. 2013

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การตัดไม้ทำลายป่าในบราซิลลดลง คือเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตำแหน่งงานจำนวนมากดึงดูดคนจากพื้นที่ชนบทเข้ามาทำกินในเมือง ป่าไม้กลายเป็นขุมทรัพย์ที่ไม่มีใครต้องการไปแตะต้องเพราะอาจตามมาด้วยบทลงโทษราคาแพง

ยุคสมัยแปลงแอมะซอนเป็นทุน

เมื่อประชาชนเรือนแสนตกงานพร้อมกันจากพิษเศรษฐกิจ พวกเขามีทางเลือกไม่มากที่จะแก้ปัญหาปากท้องและทางเลือกหนึ่งในนั้นคือการกลับไปพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติที่เขามีอยู่อย่างเหลือเฟือ นั่นคือผืนป่าแอมะซอน

หากมองด้วยแว่นตานักธุรกิจ ผืนป่าแอมะซอนมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นที่ดินอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ แหล่งแร่มีค่า ไม้และสัตว์หายาก สิ่งเหล่านี้สามารถแปลงเป็นเงินในกระเป๋าได้ทั้งสิ้น แม้จะเป็นเพียงการแก้ปัญหาในระยะสั้น แต่สำหรับประชาชนที่ไร้งานทำและอาจต้องเผชิญกับความอดอยาก ปัญหาระยะยาวอาจอยู่ไกลเกินกว่าที่จะมองเห็น เช่นเดียวกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องผ่อนปรนเพื่อรักษาฐานเสียง โดยมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ขนาดเล็กเมื่อ ค.ศ. 2013

พื้นที่การตัดไม้ทำลายป่าเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเทรนด์ใหม่ของการไม่จ่ายค่าปรับจากการละเมิดกฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ และหนึ่งในนั้นก็คืออดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จาอีร์ บอลซานาโร ซึ่งปรากฏภาพการจับปลาในเขตอนุรักษ์ เขาไม่ใส่ใจที่จะจ่ายค่าปรับ และเมื่อเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่าการปรับเช่นนี้เป็นอุตสาหกรรมที่สมควรจะถูกปิด

การตัดไม้ทำลายป่าในบราซิลเพิ่มสูงขึ้นราวร้อยละ 70 ระหว่าง ค.ศ. 2013 – 2018 ประชาชนไม่แยแสกฎหมายอีกต่อไป และเดินหน้าเปลี่ยนพื้นที่แอมะซอนให้เป็นทุ่งหญ้าสำหรับสัตว์เลี้ยงและแปลงเกษตร 

ปัจจุบัน บราซิลเป็นประเทศผู้ส่งออกเนื้อวัวรายใหญ่ที่สุดในโลกโดยเมื่อปีที่ผ่านมามีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ บราซิลยังเป็นผู้ผลิตถั่วเหลืองที่อันดับสองของโลกซึ่งราวร้อยละ 80 ถูกใช้เป็นอาหารสัตว์ ยิ่งเมื่อสหรัฐอเมริกาขัดแย้งกับจีน บราซิลจึงเป็นแหล่งถั่วเหลืองแห่งใหม่ที่จีนต้องเข้ามาซบ ยังไม่นับแร่มีค่าไม่ว่าจะเป็นทองและอลูมิเนียม กระทั่งแหล่งน้ำมันในแอมะซอน สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นแรงจูงใจให้ชาวบราซิลพร้อมจะแปลงแอมะซอนเป็นทุนหากไม่มีทางเลือกอื่น

ท่าทีของประธานาธิบดีคนใหม่

บอลซานาโรได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยชูจุดยืนสำคัญของเขาว่าป่าแอมะซอนคือทรัพยากรของบราซิล ซึ่งควรถูกนำมาใช้โดยชาวบราซิล เขาแสดงท่าที่เป็นศัตรูกับชาติพันธุ์พื้นถิ่นซึ่งอาศัยอยู่ในผืนป่าแอมะซอนโดยมีพื้นที่เป็นของตนเองถึงร้อยละ 13 ของประเทศบราซิล อีกทั้งยังประกาศอย่างชัดเจนว่าเขตอนุรักษ์ของบราซิลนั้นคือสิ่งกีดขวางการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

เหตุการณ์ไฟป่าบริเวณแอมะซอนนั้น แม้จะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีตามวัฏจักรเก็บเกี่ยวและเผาของเกษตรกร แต่ปีนี้เป็นปีที่มีการเผาในระดับที่สูงที่สุดในรอบทศวรรษ ซึ่งการเกิดการเผาเช่นนี้เชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับอัตราการตัดไม้ทำลายป่า สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกังวลคือ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ป่าแอมะซอนอาจเสื่อมโทรมจนอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้ และกลายสภาพจากป่าดงดิบเป็นป่าหญ้าสะวันนา

ปัญหาดังกล่าวได้ถูกนำไปถกบนโต๊ะของการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 โดยทั้ง 7 ประเทศมีมติให้เงินช่วยเหลือฉุกเฉินมูลค่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่สิ่งที่ทำให้ทั่วโลกตะลึงคือประธานาธิบดีบราซิลปฏิเสธเงินช่วยเหลือดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงอธิปไตยของบราซิล และหากประเทศเหล่านั้นใส่ใจสิ่งแวดล้อม ก็ควรเอาเงินก้อนนี้ไปปลูกป่าในประเทศของตนเอง แต่ทั้งนี้ บราซิลอาจพิจารณารับเงินไว้หากประธานาธิบดีมาครงจากประเทศฝรั่งเศสออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการจากคำกล่าวถึงเขาในเชิงเสียๆ หายๆ

ประเด็นชวนคิดอยู่ในคำกล่าวของประธานาธิบดีบอลซาโรในเชิงว่า เราจะไม่ฟังคำวิพากษ์จากกลุ่มประเทศที่หักร้างถางทำลายป่าไม้ในประเทศของตนเองเมื่อหลายปีก่อนเพื่อทำให้เศรษฐกิจเติบโต สะท้อนจุดยืนชาตินิยมที่ไม่พร้อมจะโอนอ่อนผ่อนตามชาติมหาอำนาจอีกต่อไป อีกทั้งยืนกรานว่าอำนาจอธิปไตยในการจัดการป่าแอมะซอนอยู่ในมือของชาวบราซิล

ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น เพราะในมุมหนึ่ง เราปฏิเสธไม่ได้ว่าควรให้เกียรติและอำนาจชาวบราซิลในฐานะผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือทรัพยากรนั้นๆ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ทรัพยากรดังกล่าวก็มีเอกลักษณ์และมีความสำคัญในระดับโลกจนสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นสมบัติที่ทั่วโลกควรร่วมมือกันรักษา ความย้อนแย้งของสองประเด็นแหลมคมนี้ทำให้การถกเถียงดูท่าจะไม่จบลงง่ายๆ และข้อสรุปน่าจะเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของเราในการจัดการทรัพยากรในระดับสากล

 

เอกสารประกอบการเขียน

The Daily – Why the Amazon Is Burning?

The Amazon is reaching a dangerous tipping point. We need to scale solutions now if we have any chance of saving it

Amid Outrage Over Rainforest Fires, Many in the Amazon Remain Defiant

Amazon Rainforest Fires: Here’s What’s Really Happening

Why it’s been so lucrative to destroy the Amazon rainforest

Brazil: huge rise in Amazon destruction under Bolsonaro, figures show

 

 

Tags: ,