วิล (เบน ฟอสเตอร์) และทอม (ทอมาซิน แม็กเคนซี) คงจะใช้ชีวิตอยู่ในป่ามานานระยะหนึ่งแล้ว พ่อกับลูกสาวดำรงชีวิตอยู่ในผืนป่าขนาด 8 ตารางไมล์ของเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน อย่างโดดเดี่ยวและเงียบสงบ พวกเขาดำรงชีพด้วยน้ำ อาหาร และสภาพแวดล้อมที่ผืนป่าเขียวชอุ่มมอบให้ โดยมีเมืองใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากป่าเป็นแหล่งพึ่งพิงยามจำเป็นในบางครั้งคราว
หนังไม่ได้บอกเล่าที่มาที่ไปของทั้งสองชีวิตไว้อย่างชัดเจน แต่ค่อยๆ เผยให้เรานึกคิดต่อว่าเหตุใดพวกเขา (หรืออาจจะเพียงแค่วิลผู้เป็นพ่อ?) จึงมีชีวิตแยกห่างจากผู้คน
Leave No Trace ภาพยนตร์ลำดับที่ 3 ของเดบรา กรานิก ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง My Abandonment ของปีเตอร์ ร็อก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากข่าวการพบพ่อและลูกสาวที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวลำพังอยู่ในป่าของเมืองพอร์ตแลนด์ยาวนานถึงสี่ปี
เดวิด เอเดลสไตน์ จากเว็บไซต์ Vulture คิดว่าสิ่งที่ดึงดูดให้กรานิกสนใจนวนิยายเรื่องนี้คือแนวคิดเรื่องการมองว่าตัวเองคือผู้ช่วยชีวิตของลูกสาวของผู้เป็นพ่อ วิลใน Leave No Trace อาจจะคิดหรือไม่คิดเช่นนั้น แต่ในฐานะพ่อของลูกสาววัย 13 ปี ทางเลือกของเขาดูจะมีไม่มากนัก และเมื่อเขารู้สึกว่าผืนป่าอันเงียบสงบคือสถานที่อันพึงปรารถนา หน้าที่ของเขาก็คงเหลือเพียงแค่การทำให้ลูกสาวรู้สึกคุ้นเคยและไม่แปลกแยกกับการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนมนุษย์เพียงหนึ่งเดียว
กรานิกเลือกใช้สีหน้าและแววตาของทอมาซิน แม็กเคนซี ในการถ่ายทอดความรู้สึกของทอมซึ่งไร้ทางเลือกในช่วงแรกของชีวิต แต่เมื่อการใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่สาธารณะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และเธอกับพ่อถูกผลักดันให้กลับเข้าสู่สังคมมนุษย์ ทอมก็ได้สัมผัสกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
ทอมเป็นสาวน้อยที่จัดเจนและสมบุกสมบันกับชีวิตพอๆ กับความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาต่อสังคมมนุษย์ บุคลิกของเธอจึงมีความสุขุมเยือกเย็นปะปนไปกับความอยากรู้อยากเห็น นี่คือบุคลิกที่น่าจะทำความเข้าใจได้ยากในหมู่เด็กสาวที่ผูกพันใกล้ชิดกับโลกสมัยใหม่ แต่แม็กเคนซีก็ถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว
ทอมรู้ว่าพ่อของเธอมีเรื่องราวในอดีตเกาะกุมจิตใจ และโหยหาบางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอยามอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ ขณะที่วิลก็รับรู้ได้ว่าลูกสาวของเขาไม่ใช่สาวน้อยที่อ่อนต่อโลก และวันหนึ่งเขากับเธอคงต้องแยกจากกัน
เขาทำได้เพียงแค่รอให้วันนั้นมาถึง วันที่ทอมบอกกับตัวเองได้ว่าภาระในจิตใจของเขา คือสิ่งที่เขาต้องชำระสะสางด้วยตัวเอง
ไม่ต่างจากลูกสาว วิลไม่ใช่คนช่างพูด เขาเก็บงำความรู้สึกไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งและแววตาสับสนคลุมเครือ เบน ฟอสเตอร์ แสดงให้เห็นความอ่อนแอเปราะบางของชายผู้ตรอมตรมกับอดีตได้อย่างน่าชื่นชม พอๆ กับที่แม็กเคนซีเก็บซ่อนความมีชีวิตชีวาของเด็กสาวไว้ภายใต้บุคลิกหนักแน่นมั่นคงได้อย่างพอเหมาะพอดี
ทั้งสองคนเชื่อมต่อกันด้วยความรักความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก ถกเถียงหาความลงตัวให้กับชีวิตของตัวเองแบบไม่ฟูมฟายเรียกร้อง และเคารพเส้นทางที่แต่ละคนเลือกเดิน
สำหรับคนจำนวนหนึ่ง เดบรา กรานิก อาจมองโลกในแง่ดีเกินไป กับความช่วยเหลือเกื้อกูลที่วิลและทอมได้รับจากเพื่อนมนุษย์ซึ่งวิลพยายามตีตัวออกห่างมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมองโลกในแง่ร้ายเพียงใด เราก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความเกื้อกูลระหว่างมนุษย์นั้นมีอยู่จริง และสิ่งนี้อาจช่วยเยียวยาบาดแผลในจิตใจของมนุษย์ได้ดีที่สุด แม้ว่าคนอย่างวิลอาจจะไม่ต้องการมันก็ตาม
Fact Box
เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เดบรา กรานิก เคยทำให้เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กลายเป็นดาวดวงใหม่ของฮอลลีวูดกับบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง Winter’s Bone สำหรับ Leave No Trace ในปีนี้ นักวิจารณ์จำนวนหนึ่งมองว่าทอมาซิน แม็กเคนซี กำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน