เริ่มต้นจากโถงทางเดินของอาคาร พื้นที่ส่วนกลางแคบยาวที่กลายเป็นตั้งแต่ลานเด็กเล่น ห้องเก็บของชานเรือนรับลม ร้านค้า ร้านเสริมสวย คาเฟ่ และปาร์ตี้ ชีิวิตของชุมชนชาวแฟลตแห่งตึกขาวเก่าโทรมในกรุงพนมเปญ 

เริ่มต้นจากอาคารที่กำลังโดนรื้อ เริ่มต้นจากวันไม่ปกติธรรมดาอีกต่อไปของการขนย้ายข้าวของเครื่องเรือน ผู้คนเริ่มทยอยย้ายออกจากตึกตามคำสั่งของรัฐบาลเมื่อบริษัทญี่ปุ่นกว้านซื้อพื้นที่ในแถบนั้นเพื่อทุบทิ้งแล้วสร้างอาคารหรูหรา ห้างสรรพสินค้าและคอนโดมิเนียมชนิดใหม่ 

แต่คุณไม่ได้จ้องมองคนอื่น คุณกำลังจ้องมองตัวเอง และจ้องมองบ้านที่คุณเติบโตมาตลอดชีวิต จ้องมองบิดามารดาขนย้ายข้าวของ เพื่อนบ้านที่รู้จักกันมาแต่เด็กค่อยๆ พลัดพรายหายสูญไปคนละทิศละทาง มันคือทุนนิยมที่รุกไล่ หรือเป็นเพียงสิ่งที่มันต้องเป็นไปเท่านั้นเอง บางทีคุณไม่อาจรู้ 

ตึกขาวสร้างขึ้นในยุคสมัยของกษัตริย์สีหนุ เป็นอาคารหรูหราทันสมัย ที่พักอาศัยของช่าง ศิลปิน และนางรำของกระทรวงวัฒนธรรม ในยุคสมัยนั้น สีหนุต้องการสร้างกัมพูชาใหม่ที่หรูหราทันสมัย มีมรดกหลงเหลือเป็นอาคารสวยงามจำนวนมากก่อนที่ทุกอย่างจะระเบิดออกในวันที่ 17 เมษายน 1975 เมื่อกองทัพเขมรแดงบุกยึดกรุงพนมเปญและกวาดต้อนผู้คนออกจากเมืองในคืนเดียว 

หลังสิ้นยุคเขมรแดงผู้คนคืนสู่ตึกขาวอีกครั้ง หลายปีล่วงผ่าน ตึกขาวกลายเป็นเพียงแหล่งเสื่อมโทรมตกสมัย และในที่สุดผู้คนเหล่านั้นถูกบังคับให้อพยพออกไปอีกครั้งอาจจะต่างกันแค่ครั้งนี้มีเงินให้อย่างที่ป้าคนหนึ่งกล่าว 

Kavich Neang เกิดและเติบโตในตึกขาว เขากำลังวางแผนที่จะทำหนังยาวโดยใช้อาคารนี้เป็นฉากหลังตอนที่เขารู้ว่ามันกำลังจะถูกทุบ โดยไม่ทันตั้งตัวเขาคว้ากล้องขึ้นมาและบันทึกห้วงเวลาสุดท้ายนั้นไว้แทนที่จะทำหนังเกี่ยวกับมัน Last Night I Saw You Smiling จึงกลายเป็นภาพยนตร์สารคดีในฐานะของการบันทึกและแช่แข็งช่วงเวลาให้เป็นเหมือนผีที่กลับมาทุกครั้งยามมันถูกเปิดดูแม้ในความเป็นจริงตึกขาวจะถูกทุบทำลายไปแล้วก็ตาม 

หนังมุ่งเก็บภาพช่วงเวลาขนย้ายของชาวตึกขาว สอดส่องและพูดคุยกับผู้คนที่เขารู้จักมาทั้งชีวิต เข้าไปช่วยอาจารย์เก็บของ ไปคุยกับป้าตรงระเบียง ไปขอให้คุณน้าร้องเพลงให้ฟัง หรือจ้องมองพ่อขนหนังสืออกมาเช็ดถูทีละเล่ม อยู่ร่วมในช่วงเวลาที่บางครอบครัวยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม กินข้าวร่วมกัน หรือนั่งดูถ่ายทอดชกมวยในยามบ่าย หรือยังพับถุงขายไปจนวันสุดท้าย  ผู้คนถอดกรอบหน้าต่างประตูเอาติดตัวไปด้วยโดยไม่รู้ว่าจะเอาไปทำไม อาจจะเพื่อเป็นที่ระลึก หรืออาจจะเอาไปขายได้ราคาในอนาคต บางคนจะกลับไปอยู่ต่างจังหวัด บางคนยังไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน บางคนกังวลกับเงินเยียวยาของรัฐ บางคนกังวลว่าจะโดนรถขนของโกงเอา ผู้คนกระจัดพลัดพราย 

หนังให้เรามอง ‘บ้าน’ ที่ไม่ใช่อาคาร หรือแม้แต่ผู้คน แต่เป็นข้าวของ หนังให้เวลากับการรื้อเตียง เก็บตู้ การขุดเอาหนังสือเอกสารออกมาเช็ดถู ขนย้ายอุปกรณ์ประกอบการแสดง สิ่งของที่โดยตัวมันเองไม่ได้มีค่าในฐานะ ‘บ้่าน’ ไม่ได้เป็นกล่องบรรจุความทรงจำ หรือ สิ่งของมีค่า สิ่งที่เราเห็นคือสัมภาระที่พ่อตัดสินใจจะพาไปด้วย บ้านรกรุงรังที่ท่วมจมด้วยข้าวของที่เหมือนจะไม่มีประโยชน์ใดๆ บ้านที่เป็นบ้านจริงๆ คือข้าวของเหล่านี้ ซึ่งเหมือนกับชีวิตที่ไม่ได้เป็นเพียงภาพรวมของความทรงจำงดงามหรือชั่วร้าย แต่เป็นเพียงถุงบรรจุเหตุการณ์ไม่สลักสำคัญจำนวนมาก ที่เราต่างคาดเดาเอาว่ามันอาจจะสำคัญเข้าสักวันหนึ่ง แต่มันไม่เคยมีวันนั้นเราแค่ถูกลู่ถูกังเก็บข้าวของชิ้นใหม่เข้ามาข้างในตัวเรา และเมื่อโยกย้ายเราก็เอามันไปด้วยเพียงเพราะทิ้งมันไม่ลง 

ความไม่สลักสำคัญของหนังนั้นงดงามมากๆ หนังไม่ได้พยายามจะเป็นการเมือง ไม่ได้ต้องการวิพากษ์ทุนนิยมที่เบียดขับคนเล็กคนน้อย หรือย้อนทวนประวัติศาสตร์บาดแผลของประเทศ ทุกอย่างถูกดันออกไปเป็นเพียงพื้นหลังเลือนราง เพื่อที่จะจดจ่ออยู่กับการไปจากบ้าน ที่อาจจะเป็นและไม่ได้เป็นบ้าน

หนังเป็นหนึ่งในผลงานของกลุ่มคนทำหนังกัมพูชารุ่นใหม่ ภายใต้ชื่อสตูดิโอ ‘Anti- Archive’ ซึ่งก่อตั้งโดย Davy Chou คนทำหนังลูกครึ่งกัมพูชา-ฝรั่งเศส Steve Chen คนทำหนังลูกครึ่งไต้หวัน-อเมริกัน Kavich Neang ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ร่วมด้วย Park Sung Ho โปรแกรมเมอร์และโปรดิวเซอร์ชาวเกาหลี สตูดิโอที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 นี้ผลิตทั้งหนังสั้นและหนังยาวหลายเรื่อง และนำหนังกัมพูชาและคนทำหนังกัมพูชารุ่นใหม่ไปสู่สายตาผู้ชมทั่วโลก

สิ่งที่น่าสนใจคือหนังยาวเกือบทั้งหมดของ Anti-Archive ล้วนสนใจ ปัจจุบันขณะของกัมพูชามากว่าอดีต ต่างไปจากงานของ Rithy Pahn คนทำหนังที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของกัมพูชาและของโลก ที่ยังคงทำหนังเพื่ออธิบาย จดจำ และปลดปล่อยตนเองจากบาดแผลของเขมรแดง ในฐานะหนึ่งในเหยื่อของการกวาดล้างที่ต้องหนีตายออกจากประเทศ หนังของ Anti-Archive เป็นหนังของคนรุ่นที่เกิดหลังยุคเขมรแดง พวกเขาเติบโตไม่ทันยุคสมัยอันเลวร้าย และเป็นไปตามชื่อของสตูดิโอ การต่อต้านจดหมายเหตุที่ไม่ใช่แปลว่าการต่อต้านต่อการมองประเทศปัจุบันในฐานะผลพวงของอดีตราวกับประวัติศาสตร์บาดแผลเป็นแกนกลางชนิดเดียวของกัมพูชาร่วมสมัย แต่สิ่งที่พวกเขาสนใจคือปัญหาในปัจจุบันขณะของคนหนุ่มสาว 

Davy Chou อาจเป็นที่รู้จักจาก Golden Slumber (2011) สารคดีที่พาผู้ชมย้อนกลับไปยังยุคทองของวงการหนังกัมพูชาในทศวรรษที่ 50s -70s ก่อนที่จะถูกกวาดหายวับไปกับตาในชั่วข้ามคืนหลังเขมรแดงบุกพนมเปญ แต่หนังยาวเรื่องแรกของเขาในนาม Anti-Archive กลับเป็น Diamond Island (2016) ที่มุ่งมองชีวิตของคนหนุ่มสาวที่ต้องเผชิญหน้ากับทุนใหม่ๆ ในประเทศในฐานะของแรงงานไร้ชื่อที่มาก่อร่างสร้างเกาะเพชร คาสิโน โรงแรม ห้างสรรพสินค้าทุนจีนที่พวกเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของมันเมื่อมันเสร็จสมบูรณ์ 

Dream Land (2015) ของ Steve Chen ก็เล่าเรื่องของนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในพนมเปญท่ามกลางประเทศที่เปิดรับทุนทุกรูปแบบจนเป็นเหมือน ‘ภพสุบิน’ ดินแดนแห่งความฝัน หากกับความสัมพันธ์ของเธอกับคนรักกลับไม่ไปไหน Turn Left, Turn Right (2016) ของ Douglas Seok ก็เล่าเรื่องความขัดแย้งของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ลอยชายไปมากับคนรุ่นพ่อแม่ที่ผ่านความยากลำบากในชีวิตมาก่อน ไม่ว่าจะเลือกทางซ้าย หรือทางขวา ชีวิตก็ล้วนไม่มีอะไรดีขึ้น สิ่งเดียวที่ดีที่มีคือการเต้นรำตามลำพังในทุ่งโล่ง จนมาถึง Last Night I Saw You Smiling ที่เป็นสายตาของหนุ่มสาวที่มีต่อการจบสิ้นลงของ ‘บ้านเก่า’ สิ่งตกค้างจากยุคสมัยโมเดิร์นกัมพูชาของกษัตริย์ สีหนุ ข้ามผ่านยุคโฉดร้ายของเขมรแดง และจบสิ้นลงพร้อมการมาถึงของทุนญี่ปุ่น 

ประวัติศาสตร์การเมืองที่ถูกผลักออกไปจึงไม่ได้จากไปจริงๆ หากดำรงตนเหมือนภูติผี เมื่อหนึ่งในผู้ให้สัมภาษณ์เปรียบเทียบการโยกย้ายครั้งนี้กับครั้งเขมรแดง ราวกับว่าชีวิตของคนสามัญเป็นเพียงตุ๊กตาในอำนาจรัฐที่สามารถโยนทิ้งเสียตรงไหนก็ได้ หรือฉากสำคัญของเรื่อง เมื่อหนึ่งในผู้อาศัยร้องเพลงรักเก่าแก่ของ Ros Serysothea นักร้องที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ความรุ่งเรืองของกัมพูชาในอดีต (เธอถูกสังหารในยุคเขมรแดงเรืองอำนาจ เพราะเธอเป็นภาพแทนของพวกศักดินาที่สำคัญ) กัมพูชาในปัจจุบันไม่อาจ ‘ต่อต้าน’ หรือตัดขาดจากอดีต ในขณะเดียวกัน อดีตก็ไม่ใช่ทุกอย่าง ปัญหาของคนเล็กคนน้อยในกัมพูชาซับซ้อนกว่านั้นในสังคมสมัยใหม่ที่จักรวรรดินิยมในนามทุนรุกคืบเข้าสู่ทุกพื้นที่ ไม่ใช่แค่ในพนมเปญ แต่อาจหมายรวมถึงอุษาคเนย์ทั้งภูมิภาค 

รอยยิ้มชื่นเมื่อคืนนี้ จึงเป็นทั้งการหวนไห้ถึงอดีตที่ล่วงไปแล้ว อดีตนั้นดีเสมอ ดีเสมอเพราะมันตายลงไปแล้ว เราแก้ไขมันไม่ได้อีกแล้ว อนาตคตมีแต่ความน่ากลัว แต่อดีตที่ตายแล้วมีเศษชิ้นส่วนของเสียงเพลงให้เราหยิบจับมาขัดถูกล่อมใจตนเอง ปลุกปลอบใจให้มีชีวิตต่อสู้กับอนาคตอันยากแค้น 

หนังเริ่มต้นและจบลงที่ระเบียง ในช่วงท้ายของหนังพ่อกลับมาดูห้องของตนยืนตรงระเบียงมองดูห้องจากข้างนอก ป้าคนหนึ่งมากล่าวลาห้องที่เคยมีชีวิตอยู่ เขาวางกล้องตรงระเบียงทางเดินที่ที่ครั้งหนึ่งเป็นภาพแทนของชุมชนตึกขาวทั้งชุมชน และเป็นสิ่งที่พวกเขาผูกพันที่สุด ตอนนี้มันกำลังล่มสลายลงต่อหน้ากล้อง ในฉากสุดท้ายผู้ชมจ้องมองแสงสีขาวแห่งอนาคตที่สุดปลายโถงทางเดินมืดทึมของอดีต แสงแห่งการทำลายล้างอดีตลงเสีย เขายกกล้องหนีฝุ่นควันจากการทุบตึก กวาดผ่านห้องร้าง จนไปเผชิญเข้ากับแสงสีขาวอีกฝั่งหนึ่ง เหมือนอนาคตที่จะไม่ปล่อยให้ใครหนีไปจากมัน อดีตจบสิ้น ปัจจุบันคือการหยุดนิ่งสูดดมฝุ่งควันพิษ รอคอยว่าจะเอาอย่างไรกับวันพรุ่งนี้

Tags: ,