ฟ้ายังไม่สว่าง เราลงจากรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียที่สถานีอีร์คุตสค์ (Irkutz) เมืองที่อยู่ไม่ไกลจากพรมแดนมองโกเลีย หากเดินลงใต้ไปประมาณหลายพันกิโลเมตรก็จะถึงกรุงเทพฯ พอดิบพอดี
เราอยู่ในระหว่างเดินทางกลับบ้านจากยุโรป แต่ขอเถลไถลไปทะเลสาบไบคาล (Baikal Lake) ทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลก มีปริมาณน้ำเยอะที่สุดในโลก (ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของน้ำผิวดินบนโลกนี้) แถมยังยาวเหยียดถึง 636 กิโลเมตร คิดเป็นระยะทางประมาณกรุงเทพฯ – เชียงใหม่
เรายืนรอท่ามกลางอากาศหนาวจนหนวดผมเริ่มเป็นน้ำแข็ง ไม่นาน ลีโอนิด (Leonid) หนุ่มชาวรัสเซีย ไกด์ทัวร์ที่เราจะฝากชีวิตไว้มาแตะหลังพาเราไปขึ้นรถจี๊ปทหารที่พอจะกำบังลมหนาวได้เล็กน้อย รถฝ่าความมืดผ่านเมืองที่ยังไม่ตื่นพาเราไปหลบในเกสต์เฮาส์หลังเล็กๆ จิบกาแฟอุ่นๆ รอฟ้าสว่างเพื่อออกเดินทาง
ลีโอนิดแนะนำให้เรารู้จักสองสาวชาวสิงคโปร์ เราทักทายกันสั้นๆ และใช้ความได้เปรียบทางภาษาบวกกับนิสัยที่ไม่ค่อยดีนัก ตั้งชื่อเล่นสองสาวว่าชะม้อยและชวนพิศ ส่วนหนุ่มลีโอนิดก็มีชื่อเล่นภาษาไทยว่าสมปอง กว่าจะได้ออกเดินทางก็สายกว่าตารางเวลานิดหน่อย เพราะชะม้อยดันเกิดแพ้อากาศหนาวและเลือดกำเดาไหลไม่หยุด แต่สุดท้ายรถจี๊ปก็ได้บรรจุห้าชีวิตเพื่อออกเดินทางไปหาอาหารเช้าใส่ท้อง
แม้จะเกือบ 9 โมงแล้ว แต่ถนนในอีร์คุตสค์ก็ยังเงียบสงัด สมปองตัดสินใจเลี้ยวเข้าจอดร้านอาหารยอดนิยมในกลางเมืองที่ร้างไร้ผู้คน ร้านแห่งนั้นชื่อว่า… ซับเวย์ (Subway) ก็โอเคอ่ะ ถือว่าเริ่มทริปด้วยรสชาติอาหารที่หาได้แถวสุขุมวิท
พ้นจากเมืองมา ภูมิทัศน์ก็เริ่มแปลกตา คือมองไปทางไหนก็เห็นสีขาวสุดลูกหูลูกตา สลับกับม้าขนปุยที่ยืนหงอยๆ พยายามเล็มหญ้าที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนหิมะ สมปองผู้มีภาษาอังกฤษเป็นเลิศเล่าให้ฟังว่า อากาศแถบอีร์คุตสค์นั้นสุดจะสวิง กลางคืนหน้าหนาวก็อาจติดลบได้ถึง 40 องศาเซลเซียส แต่หากหน้าร้อน วันที่ร้อนสุดๆ อาจเฉียด 37 องศาเซลเซียส ช่วงนั้นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าในตอนนี้ก็จะกลายเป็นทุ่งเขียวชอุ่มของพืชประเภทหัวหลากชนิด
ส่วนหน้าหนาวแบบนี้ ชาวสวนชาวไร่เขาก็ไม่ค่อยทำอะไรหรอก อีกอย่าง ผักสดก็กลายเป็นของหายากราคาแพง ที่พอจะหาได้ก็เป็นพวกหัวมันหรือบีทรูท แล้วก็พวกผักดองต่างๆ สมปองหยุดอธิบายแล้วหันมาถามว่า หน้าหนาวของไทยแลนด์กับสิงคโปร์ล่ะ เป็นอย่างไร
เราตอบกันพร้อมเพรียงว่าทั้งสองประเทศก็คล้ายๆ กัน หน้าหนาวก็จะอยู่ที่ประมาณ 20 องศา สมปองหยักหน้าแล้วถามว่า 20 องศานี่ฟาร์เรนไฮต์หรือเซลเซียส พอบอกว่าเซลเซียสสมปองก็ชะงักแล้วปรับฮีทเตอร์ในรถให้อุ่นขึ้น พลางส่งสายตาแกมสงสารว่าพวกเราในตอนนี้คงหนาวมากสินะ (ก็แหงสิ ข้างนอกนี่อย่างน้อยก็ -20 เซลเซียสนะเฟ้ย)
นั่งดูวิวขาวๆ โล่งๆ ไปสักครึ่งชั่วโมงแรกก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอก แต่หลังจากรู้จากสมปองว่าต้องดูวิวอย่างนี้อีกเกือบสามชั่วโมง แถมสมปองยังเปิดเพลงอะไรก็ไม่รู้ เสียงเหมือนบทสวดมนต์ที่มีภาษาอังกฤษปนออกมาด้วยนิดหน่อย ผนวกกับทิวทัศน์ที่เริ่มน่าเบื่อ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางก็มาสะกิดชวนให้เราเอนตัวลงนอน มาตื่นอีกครั้งก็ตอนสมปองหยุดรถเพื่อแวะกินข้าวเที่ยงที่ร้านริมทาง ตามสไตล์นักท่องเที่ยวที่ดี เราขอคำแนะนำจากสมปองว่า มาถึงอีร์คุตสค์มีอะไรเด็ดๆ ให้กินบ้าง
เรามอบอภิสิทธิ์การสั่งอาหารให้สมปอง จานแรกที่มาถึงทำเอาเราตะลึงไป เพราะมันคือเกี๊ยวจีนไส้หมู ตามด้วยบอชท์ (borscht) ซุปรัสเซียใส่บีทรูทที่หากินได้แทบทุกหัวมุมถนน แต่อย่างสุดท้ายน่าสนใจหน่อย เพราะเป็นเนื้อปลาโอมูลดองน้ำมันและเกลือ เสิร์ฟพร้อมกับหอมใหญ่สดๆ โอมูล (Omul) เป็นปลาน้ำจืดกลางที่มีถิ่นอาศัยแห่งเดียวคือในทะเลสาบไบคาล แถมยังเป็นสินค้าส่งออกขึ้นชื่อของอีร์คุตสค์ด้วย
ระหว่างมื้ออาหาร สมปองก็เล่าให้ฟังว่าอาหารรวมถึงหน้าตาของคนแถบนี้มีความเป็นจีนมองโกเลียอยู่มาก อย่างหมู่บ้านบนเกาะโอลคอน (Olkhon Island) ก็เป็นชาวเบอร์ยาติ (Buryati) ที่นับถือศาสนาพุทธผสมผีซึ่งมีบรรพบุรุษเป็นชาวมองโกเลีย หลังจากฟาดอาหารจนเรียบ ก็ได้เวลานั่งรถชมทิวทัศน์สไตล์ไซบีเรียกันต่อ แต่คราวนี้จากทุ่งกว้างเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเทือกเขาขาวสะอาดสลับหินสีน้ำตาลไหม้ มองไปก็คล้ายๆ กับอยู่นอกโลก
บ่ายคล้อย ลีโอนิดก็ปล่อยให้เรามายืดเส้นยืดสายริมหน้าผาที่มองลงไปเห็นทะเลสาบไบคาลสุดลูกหูลูกตา เราตื่นเต้นกับภาพตรงหน้า ในขณะที่สมปองยืนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้ากังวลแล้วเดินมาบอกกับเราว่า เขาอาจจะพาเราข้ามไปที่เกาะโอลคอนไม่ได้
อ่าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า!
สมปองอธิบายว่า ทะเลสาบไบคาลจะเริ่มเป็นน้ำแข็งตั้งแต่ช่วงปลายปี แต่การขับรถบนทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็งเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะเราไม่รู้เลยว่าน้ำแข็งตรงไหนตื้นลึกหนาบางเท่าไหร่ และหากน้ำแข็งจะรับน้ำหนักรถยนต์ได้ ก็ต้องหนาอย่างน้อยร่วมสามเมตรจึงจะปลอดภัยหายห่วง แถมตอนนี้ทางการก็ยังไม่ประกาศเส้นทางที่ปลอดภัยเสียด้วย สมปองจึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะพาเราดุ่มๆ ไปโดยใช้ข้อมูล GPS ซึ่งเขาได้มากจากชาวบ้านอีกทีหนึ่ง
แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะเขาได้เรียกชาวบ้านจากเกาะโอลคอนให้มารับเรา แล้วเขาจะขับรถจี๊ปตามหลังไป
รออยู่ที่ท่าเรือ ไม่นาน รถตู้ท่าทางบุโรทั่งก็แวะมารับชาวเอเชีย 4 ชีวิตให้ขึ้นไปร่วมวง บนรถมีลุงกับป้านั่งชิลกันอยู่ แถมทั้งสองคนยังหน้าตาประมาณชาวมองโกล (เคยเห็นในหนังจีน) อีกประมาณ 70 กิโลเมตรเราก็จะถึงเกาะโอลคอน เราคืบคลานไปอย่างช้าๆ เพราะเส้นทางทั้งราบและลื่น แถมยังได้หยุดเป็นพักๆ เพื่อให้เรานอนลงเอาตัวนาบไปกับน้ำแข็งใสใจกลางทะเลสาบไบคาล ผมจ้องลงไปที่พื้นด้านล่าง มันดำมืดราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
แม้ตัวจะสั่นด้วยความหนาว แต่การที่เรารู้ว่ากำลังนั่งอยู่เหนือทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งก็ทำให้รู้สึกน่าตื่นเต้นไม่น้อย กว่าจะถึงที่พักก็ตะวันคล้อย เราได้เจอเพื่อนใหม่เป็นหมาไซบีเรียนเฟรนด์ลี่ขี้เล่น ซึ่งผมดันพลาดไปผูกมิตรจนโดนตามติดเป็นลูกแหง่ แถมยังงับแขนเสื้อขนเป็ด (ซึ่งผมยืมพี่ชายมา) ซะจนเป็นรู สุดท้ายก็ต้องยอมถอยกรูดเข้าบ้าน ทิ้งเจ้าหมาให้นั่งหงอยอยู่นอกรั้ว
แม้หมู่บ้านบนเกาะโอลคอนจะไม่มีน้ำประปา แต่โชคดีที่ไฟฟ้ายังใช้การได้ ชีวิตในเกสต์เฮาส์จึงไม่ทรมานมากเกินไปนัก (อาหารก็แสนอร่อย) แถมยังมีตู้เย็นแสนสะดวก แค่เปิดประตูหน้าบ้านเอื้อมแขนไปวางเครื่องดื่มทิ้งไว้ไม่นานก็เย็นชื่นใจ ความลำบากอย่างเดียวคือห้องน้ำที่ต้องเดินไปด้านหลังประมาณ 30 เมตร จึงเป็นวิบากกรรมมากหากปวดฉี่ตอนกลางดึก เพราะต้องลุกขึ้นมาสวมเสื้อห้าชั้น ฝ่าความหนาว -40 องศาเซลเซียสเพื่อไปทำธุระส่วนตัว
เราเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยทัวร์ทางเท้าเพื่อไปยังพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านคือบริเวณแหลมเบอร์คาน (Cape Burkhan) ซึ่งจะมีถ้ำที่อนุญาตให้เฉพาะคนทรงหรือชาแมนเท่านั้นที่เข้าไปทำพิธีกรรมได้ โดยชาวบ้านเชื่อว่าที่นี่คือที่สถิตของเทพเจ้าประจำทะเลสาบไบคาล สำหรับนักท่องเที่ยว นอกจากจะได้มองดูอยู่ไกลๆ เราก็จะเห็นเสาผูกผ้าสีสันสดใส เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า เลยจุดนี้ไปคือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
ในช่วงสายก็ได้เวลาผจญภัยทางตอนเหนือของทะเลสาบไบคาล สมปองพาเราหิ้วถุงข้าวแล้วนั่งรถขึ้นเหนือ ตลอดทางเราได้เห็นน้ำแข็งหลากชนิด ตั้งแต่พื้นน้ำแข็งใสแจ๋วที่พอมองเห็นว่าด้านใต้มีอะไร น้ำแข็งผลึกใหญ่ที่ถูกลมพัดอย่างรุนแรงตอนที่ยังแข็งตัวไม่เต็มที่ กลายเป็นผลึกแก้วสีฟ้าสดใส น้ำแข็งที่แทงทะลุออกจากหน้าผาไม่ต่างจากหินงอกหินย้อย สมปองบอกกับเราว่าจะมีเซอร์ไพรซ์เป็นถ้ำน้ำแข็งที่ปลายทาง
“ทุกปี ถ้ำน้ำแข็งจะหน้าตาไม่เหมือนกัน และถ้าเราโชคดีก็จะพอมีช่องให้เราลอดออกมาได้” สมปองเล่าแล้วบอกว่าปีนี้เราเป็นคณะแรกที่ได้มา ‘ลองของ’ ที่ถ้ำน้ำแข็ง เพราะเขาเองก็ยังไม่ได้มาเช็กว่าถ้ำน้ำแข็งปีนี้หน้าตาเป็นอย่างไร
โอเค… เซอร์ไพรซ์จริงๆ ด้วย
รถตู้จอดตรงหน้าผาที่หน้าตาแสนธรรมดา เว้นแต่ว่ามีช่องหินแยกเล็กๆ ขนาดตัวคนเบียดเข้าไปได้ สมปองนำทัพมาหนุ่มสาวอาเซียนเข้าไปยังถ้ำน้ำแข็ง แล้วทำหน้าดีอกดีใจเพราะมีช่องให้เราลอดออกไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ เขาหันหน้ามาขออาสาสมัคร ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบของทุกคนคือ ‘ไม่’ เพราะช่องดูเล็กจิ๋วจนกลัวตัวจะเข้าไปติดแล้วต้องโทรเรียกให้ประกันมาช่วย
สมปองไม่รอช้า ไถลตัวเข้าไปแล้วนิ่งไปนาน สักพักเราก็ได้ยินเสียงเรียกจากอีกฝั่งว่า ทะลุมาเลยเดี๋ยวผมจะขับรถมารอที่ฝั่งนี้ เอาล่ะสิ เป็นไงเป็นกัน
ผมไถลเข้าไปในช่องน้ำแข็งขนาดจิ๋ว รู้สึกทุลักทะเลไม่น้อยเพราะต้องคอยดูแลกล้องฟูลเฟรมตกรุ่นที่สุดจะเทอะทะ แต่สุดท้ายก็ออกมาได้พร้อมกับสังเวยจอโทรศัพท์ที่เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง (ลืมสนิท) แต่ไม่เป็นไร เพราะเราคงไม่ได้มาเนื้อแนบเนื้อกับน้ำแข็งที่ทะเลสาบไบคาลกันบ่อยๆ
เรื่องน่าตื่นเต้นยังไม่จบ เพราะขากลับเราดันมาเจอกับรถที่จอดกลางทะเลสาบ และขบวนชาวบ้านที่ลงมาเดิน สมปองหยุดรถแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วบอกเราว่าด้านหน้ามีรอยน้ำแข็งแยก ให้ลงมาเดิน เดี๋ยวเขาจะขับรถข้ามไปคนเดียว
เราเชื่อฟังอย่างว่าง่าย แล้วได้ไปเห็นความอันตรายจริงๆ ของทะเลสาบน้ำแข็งแห่งนี้ เพราะรอยแยกที่ว่าไม่ใช่รอยเล็กๆ ชิลๆ แต่มันทอดยาวเป็นหลายกิโลเมตรจนเสียเวลาจะขับอ้อม ที่สำคัญมันมีน้ำไหลทะลักออกมาจากรอยแยกจ้า
เราข้ามมารออีกฝั่ง รถจี๊ปของสมปองเร่งเครื่องแล้ววิ่งผ่านรอยแยกมาแบบน้ำกระจาย เราหายใจทั่วท้องเพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเดินฝ่าอากาศโคตรหนาวเพื่อกลับไปซุกตัวในผ้าห่มอุ่นๆ
ตกเย็น เราถึงได้มาเดินชิลๆ ในหมู่บ้าน ระหว่างรอเจ้าบ้านเกสต์เฮาส์ต้มน้ำสำหรับบันย่า (Banya) หรือซาวน่ารัสเซียสำหรับการชำระร่างกายในวันนี้ เราเจอร้านชำที่ตั้งอยู่แบบแรนดอม และอดใจไม่ไหวที่จะซื้อไอศกรีม (มีขายจริงๆ) เพื่อมาชิมให้มันเย็นสุดขั้วกันไปเลย ส่วนเจ้าหมาไซบีเรียนก็ยังตามราวีผมไม่เลิก แต่ตอนนี้ผมก็ยื่นแขนให้มันงับเล่นแต่โดยดี (ขอโทษนะครับพี่)
เราจบวันในซาวน่าส่วนตัว อะไรจะดีไปกว่านั่งอาบไอน้ำร้อนๆ ให้ผิวนุ่มหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แถมยังให้ความรู้สึกแบบราชา เพราะเรารู้ว่าด้านนอกหนาวเย็นมากขนาดไหน
ระหว่างทางกลับสู่เมืองอีร์คุตสค์ ไม่ต้องเดาก็คงจะพอรู้ว่าเราหลับกันเป็นตาย อาจจะเพราะวิวไซบีเรียหรือเพลงทำนองบทสวดที่ของสมปองที่สะกดจิตตลอดทาง
หมายเหตุ: สำหรับใครที่สงสัยว่าถ้าเราสาดน้ำไปในอุณหภูมิ -40 องศาเซลเซียสแล้วจะเป็นอย่างไร ผมลองให้แล้วนะครับปรากฏว่ามันก็ยังเป็นน้ำนี่แหละ แต่พอถึงพื้นไม่นานก็กลายเป็นน้ำแข็ง สมปองแนะนำว่าถ้าอยากสาดน้ำให้กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งสวยๆ ต้องใช้น้ำร้อน ซึ่งชะม้อยก็บ้าจี้เอาชาร้อน (ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากระหว่างการเดินทาง) มาสาดกลางทะเลสาบ ปรากฏเป็นไอน้ำและเกล็ดน้ำแข็งสวยงาม แต่ก็อดรับประทานชาไปนะครับ (ฮือ)
ขอบคุณเพื่อนร่วมทาง ธิษณา กูลโฆษะ
Fact Box
การเดินทางท่องเที่ยวบริเวณทะเลสาบไบข่านด้วยตัวเองถือว่าค่อนข้างยาก นอกจากชาวบ้านแถวนั้นจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แล้ว ข้อมูลทุกอย่างยังเป็นภาษารัสเซีย ผู้เขียนแนะนำว่าให้ซื้อทัวร์ดีกว่า เพราะค่อนข้างสะดวกและยังได้ความรู้จากไกด์อีกด้วย
ผู้เขียนซื้อทัวร์จากเว็บไซต์ Baikal Explorer สนนราคา 3 วัน 2 คืนกลุ่ม 4 คนพร้อมไกด์ส่วนตัวประมาณคนละ 19,000 รูเบิ้ล หรือ 10,000 บาท (ไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ)