ตั้งแต่ทราบข่าวดีว่าภรรยาผมตั้งครรภ์ แผนการท่องเที่ยวแบบสมบุกสมบันก็เป็นอันต้องพับเก็บไป เมื่อแพทย์อนุญาตให้เดินทางได้ไม่ต้องกังวล เราจึงเลือกจิ้มประเทศที่เดินทางไม่ไกลมาก สะดวกสบาย และที่สำคัญคือมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจพอจะไปหย่อนใจสักสองสามวัน

ปลายทางที่ตอบโจทย์ของเราทุกอย่างคือสิงคโปร์

ทางเข้าที่ประดับประดาด้วยเมฆเล็กๆ มองลึกเข้าไปจะเห็นน้ำตกขนาดยักษ์ที่ล้อมรบด้วยต้นไม้สีเขียวขจี 

ความน่าไปเที่ยวของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นหลายเท่าเมื่อเราทราบว่ามีห้างสรรพสินค้าติดสนามบินเปิดใหม่ในชื่อจีเวลชางงี (Jewel Changi) อาคาร 5 ชั้นบนดินและ 5 ชั้นใต้ดิน ที่ใช้งบประมาณกว่า 1.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้เวลาในการก่อสร้างร่วมครึ่งทศวรรษ ที่สำคัญ ศูนย์การค้าแห่งนี้ยังเดินทางสะดวกสบายเพราะเชื่อมต่อกับเทอร์มินัล 1 ของสนามบินชางงี เรียกว่าก้าวเท้าออกจากเครื่องบินก็พร้อมเที่ยวได้ทันที

ที่สำคัญ จีเวลชางงีเพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เรียกว่าใหม่เอี่ยม แต่เราเดินทางไปช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผู้คนเริ่มสร่างซา ไม่ต้องไปเบียดเสียดยัดเยียดดูความตระการตาของห้างแห่งใหม่ หลังจากจองโรงแรมในสนามบินสองคืนเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลานับถอยหลังวันเดินทาง

เดินป่าใจกลางห้าง

หลังจากผ่านความวุ่นวายจากด่านตรวจคนเข้าเมืองของสนามบินสุวรรณภูมิ และระบบตรวจคนเข้าเมืองอันทรงประสิทธิภาพของสนามบินชางงี เราตรงแน่วไปโยนกระเป๋าที่โรงแรมเพื่อเตรียมพร้อมมาเดินตัวปลิวในจีเวลชางงี ที่มองภายนอกไม่ต่างจากเรือนกระจกล้ำสมัยด้วยโครงเหล็กสีขาวสะอาดและกระจก

เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้า ของตกแต่งกระจุ๋มกระจิ๋มด้วยเมฆและลูกบอลดอกไม้ก็ยื่นหน้ามาทักทาย แต่สิ่งที่จับสายตามากที่สุดหนีไม่พ้น HSBC Rain Vortex น้ำตกในอาคารสูงถึง 40 เมตรที่เรียกว่าใหญ่ตระการตาและสามารถชมได้แบบ 360 องศา เปรียบเสมือนแกนกลางของอาคารที่ส่งเสียงครืนครันตลอดเวลา นับว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ในการเดินห้าง เพราะนอกจากจะได้ยินเสียงน้ำแล้ว ยังสัมผัสได้ถึงไอน้ำสดชื่นที่ลอยอยู่ในอากาศ

HSBC Rain Vortex น้ำตกในอาคารสูงถึง 40 เมตรใหญ่

เมื่อเดินเข้าใกล้ เราจะพบกับไม้นานาพรรณที่ประดับโอบล้อมน้ำตกยักษ์ มีทั้งไม้ต้นใหญ่และพุ่มไม้เล็กๆ ที่ต่างอวดโฉมประชันสร้างสีสัน โดยมีจำนวนกว่าหนึ่งแสนต้น 120 ชนิดพันธุ์ที่นำมาจากหลายประเทศทั่วมุมโลก ทั้งออสเตรเลีย จีน มาเลเซีย สเปน และประเทศไทย ต้นไม้เหล่านี้ถูกเลือกอย่างประณีตโดยคำนึงถึงสภาพแสงสว่าง ความชื้น และอุณหภูมิ โดยมีเวลาปรับตัวกับบ้านหลังใหม่แห่งนี้ถึง 2 ปี

รอบน้ำตกจะเป็นเส้นทางเล็กๆ ลักษณะเป็นขั้นบันได 4 ชั้นเพื่อให้เราได้เดินสำรวจป่าในเมืองและชมน้ำตกในแต่ละระดับสายตา ปล่อยให้ไอน้ำระใบหน้าของเราเบาๆ ราวกับไม่ได้เดินอยู่ใจกลางห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ในเวลากลางคืน น้ำตกแห่งนี้จะกลายสภาพเป็นฉากแสดงแสงสีเสียงแบบ 360 องศา โดยจะเปิดการแสดงทุก 1 ชั่วโมง วันละ 3 รอบ

ที่ชั้นล่าง เราจะได้มองน้ำตกในระดับสายตา โดยมีฉากหลังเป็นป่าขนาดใหญ่ที่มีรางรถไฟฟ้าเชื่อมต่อระหว่างเทอร์มินัล 2 และเทอร์มินัล 3 พาดผ่าน ซึ่งรางรถไฟดังกล่าวเป็นเส้นทางดั้งเดิมก่อนมีการก่อสร้างและสนามบินต้องการคงไว้แม้จะต้องขยับน้ำตกออกจากกึ่งกลางอาคารเล็กน้อย การตัดสินใจดังกล่าวทำให้เราสามารถนั่งรถไฟฟ้าทะลุกลางห้าง และชมน้ำตกในอีกมุมมองหนึ่ง

หลังจากเดินเที่ยวจนรอบและชมน้ำตกจนอิ่มตาและอิ่มใจ เราก็ไปแวะหามุมสงบที่ชั้นใต้ดิน ซึ่งแกนกลางก็ยังเป็นน้ำตกเช่นกันแต่ถูกนำเสนอให้มุมมองที่สงบเย็น เป็นลวดลายสายน้ำไหลที่ชวนให้มองอย่างเพลิดเพลินจนเข้าสู่ภวังค์เอาง่ายๆ

แต่ประสบการณ์ของจีเวลชางงี ไม่ได้มีแค่น้ำตก แต่ยังยกเอาสวนสาธารณะกึ่งสวนสนุกมาอยู่บนชั้นดาดฟ้า อีกทั้งยกเอาร้านค้าจากทั่วทุกมุมโลกให้ช้อปและชิมอย่างจุใจ

ป่าในห้าง ซึ่งมีจำนวนต้นไม้กว่า 100,000 ต้น ร่วม 120 ชนิดพันธุ์จากทั่วโลก

หลากกิจกรรมบนชั้นดาดฟ้า

หากขึ้นมาถึงชั้น 5 ภาพห้างสรรพสินค้าจะถูกทดแทนด้วยสวนสาธารณะกว้างใหญ่ โครงสร้างของจีเวลชางงีอวดตัวสู่สายตาและท้าทายแรงโน้มถ่วงเพราะแทบไม่มีเสาค้ำยันให้รกภูมิทัศน์ ร้านอาหารตั้งเรียงรายให้เหล่านักช้อปมานั่งชิลรับแดดสาย กินบรันช์จิบกาแฟสบายอารมณ์ ในลานนี้เองที่ตอนกลางคืนจะกลายเป็นลานสังสรรค์ของนักดื่มที่มาชิมบรรยากาศสวนแกล้มเสียงน้ำตกขนาดยักษ์

หากใครต้องการเข้าไปเดินในสวนก็จะต้องซื้อตั๋วราคา 5 สิงคโปร์ดอลลาร์ หรือราว 100 บาทเศษ โดยบัตรดังกล่าวจะรวมเครื่องเล่นเล็กๆ อย่าง Discovery Slides รวมถึงเส้นทางให้เดินชมสวนดอกไม้ที่จัดแต่งไว้อย่างสวยงาม 

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมที่ต้องเสียสตางค์เพิ่มอย่างเขาวงกตต้นไม้ (Hedge Maze) ราคา 12 สิงคโปร์ดอลลาร์ (ราว 270 บาท) เขาวงกตกระจกราคา 15 สิงคโปร์ดอลลาร์ (ราว 340 บาท) แต่กิจกรรมที่ผู้เขียนแนะนำคือเดินบนเชือกตาข่าย (Manulife Sky Nets) ซึ่งขึงกางกั้นเหนือห้างที่ทำให้คนที่ไม่ค่อยกลัวความสูงอย่างผมหายใจไม่ทั่วท้อง และพร้อมใจกันปฏิเสธข้อเสนอสุดพิเศษของพนักงานที่ให้อีกรอบ โดยมีสองรูปแบบสำหรับผู้ที่สนใจความระทึกที่สามารถขึ้นไปกระเด้งกระดอนบนเชือกได้ ราคา 22 สิงคโปร์ดอลลาร์ (ราว 500 บาท) และสำหรับผู้ที่ต้องการความเสียวพอประมาณ คือแค่เดินก็พอราคา 15 สิงคโปร์ดอลลาร์ (ราว 340 บาท) โดยหากซื้อตั๋วกิจกรรมเหล่านี้ จะได้เดินเข้าสวนฟรีไม่ต้องเสียเพิ่ม 5 สิงคโปร์ดอลลาร์นะครับ

ชั้นใต้ดินที่แปลงสภาพน้ำตกที่ส่งเสียงครืนครันเป็นลายน้ำชวนนั่งมองที่เพลินจนเผลอใจลอย

สุดท้ายคือไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด คือสะพานกระจกที่พาดผ่านกลางห้าง Canopy Bridge ความสูง 23 เมตร ที่ให้เราได้มุมมองผืนป่าในเมืองแบบเอ็กซ์คลูซีฟ แถมยังได้มองน้ำตกขนาดยักษ์แบบใกล้ชิด โดยกิจกรรมนี้รับนักท่องเที่ยวในแต่ละรอบจำนวนจำกัดนะครับ โดยสามารถเลือกคิวที่ว่างตอนที่ซื้อตั๋ว สนนราคา 8 สิงคโปร์ดอลลาร์ (ราว 180 บาท)

เหล่านี้คือกิจกรรมยามว่างฆ่าเวลา ที่เรียกได้ว่าไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน หากใครเดินช้อปและชิมจนเบื่อ ก็อย่าลืมแวะมาเดินชิลๆ บนชั้น 5 ของจีเวลชางงีนะครับ รับรองไม่ผิดหวัง

กิจกรรมบนเชือกตาข่าย (Manulife Sky Nets) ที่น่าหวาดเสียวจนขาสั่น 

สารพัดแหล่งช้อปและชิม จากทั่วทุกมุมโลก

ผู้เขียนไม่ถนัดช้อปเท่าไร แต่จากการไล่สายตาดูก็พบว่าที่จีเวลชางงี รวบรวมแบรนด์ดังให้เลือกสรรค์คล้ายคลึงกับหลายห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในสิงคโปร์ หลายแบรนด์ญี่ปุ่นที่เราคุ้นหูคุ้นตากันดีอย่าง Muji Uniqlo รวมถึง Tokyu Hands ก็มาเปิดให้เราเลือกสรร ที่นี่ยังรวบรวมร้านของฝากสัญชาติสิงคโปร์สำหรับซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านอย่าง Irvins และ Cookie Museum มาไว้อย่างครบครัน สำหรับใครที่ต้องการสรรหาของราคาไม่สูงนัก ที่ชั้นใต้ดินก็ยังมีซูเปอร์มาร์เก็ตให้แวะซื้อขนมกันอีกด้วย

หากวัดโดยรสนิยมของผู้เขียน แหล่งช้อปที่น่าสนใจที่สุดคือโปเกมอนเซ็นเตอร์ (Pokemon Center) อย่างเป็นทางการแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวมของเล่น ของใช้ และตุ๊กตาน่ารักน่าสะสมที่ขนกันมาแบบจุใจ ในราคาที่ไม่ถึงกับอำมหิตมานัก เพียงแต่ต้องหยิบจับอย่างระมัดระวัง (ฮือ) 

ตัวอย่างอาหารจากร้านในจีเวลชางงี (จากซ้ายไปขวา )โปเกะโบว์ข้าวสีนิลราดด้วยแซลมอนซอสเมนไทโกะจากร้าน Aloha POKÉ เบอร์เกอร์แบบลาตินอเมริกา จากร้าน Tonito และทาโก้ไส้โอตะ จากร้าน O’Tah ห่อหมกรสมือชาวสิงคโปร์

ในส่วนของอาหาร ผู้เขียนประทับใจจีเวลชางงีในแง่ความหลากหลาย เพราะขนหลากแบรนด์ดังจากหลายชาติ  อาหารหลายประเภท เรียกว่าแทบไม่ซ้ำกันเลย ซึ่งผู้เขียนได้ลองแวะชิมบางร้านและต้องบอกว่าไม่ผิดหวังกับรสชาติและราคามาตรฐานของอาหารหนึ่งมื้อในสิงคโปร์

หากกำลังมองหาอาหารเช้าหรือบรันช์ ผู้เขียนแนะนำให้ไปชิมบรรยากาศที่ชั้น 5 ที่นี่เสิร์ฟอาหารเช้าค่อนข้างหลากหลาย แต่ที่ผู้เขียนลองชิมคือร้าน Aloha POKÉ ร้านสัญชาติสิงคโปร์ที่นำเสนออาหารต้นตำรับจากหมู่เกาะฮาวาย หรือโปเกะโบว์ ที่คล้ายกับข้าวราดแกงแต่แทนที่ข้าวด้วยสารพัดธัญพืชกลิ่นหอม และแกงที่นำปลาสดอย่างแซลมอนหรือทูน่าที่คลุกเคล้ากับซอสมาให้มีรสชาติกำลังพอดีกิน ส่วนใครที่มองหาอาหารเช้าแบบชาวสิงคโปร์แท้ๆ ผู้เขียนแนะนำร้าน Fun Toast ชั้น 4 ที่เสิร์ฟขนมปังสังขยาสไตล์สิงคโปร์แกล้มกาแฟและไข่ต้ม หนึ่งอิ่มในราคาสบายกระเป๋า

สำหรับมื้อเที่ยงหรือมื้อค่ำ นอกจากร้านที่คนไทยรู้จักกันดีอย่าง Jumbo Seafood แล้ว ยังมีร้านอาหารมิชลินสตาร์หนึ่งดาวที่น่าสนใจอย่าง Kam’s Roast ซึ่งชูเมนูเหลาอย่างสารพัดเมนูเป็ดโดยเฉพาะเป็ดย่างสูตรลับเฉพาะ แต่ร้านที่ผู้เขียนเดินเข้าคือ Tonito ร้านที่เสิร์ฟอาหารลาตินอเมริกันที่ขนมาทั้งเม็กซิโก เปรู บราซิล และอาร์เจนตินา นำเสนอโดยเชฟอาหารลาตินอเมริกันชื่อดัง แดเนียล ชาเวส (Daniel Chavez) เจ้าของร้านอาหารหรูที่มารินาเบย์ ซึ่งรสชาติ คุณภาพ และการนำเสนอนับว่าไม่ทำให้ผิดหวัง

ส่วนใครที่ชอบอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ก็ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะที่จีเวลชางงีมีแบรนด์พื้นฐานครบถ้วน แถมยังนำแบรนด์เบอร์เกอร์ชื่อดังจากนิวยอร์กอย่าง Shake Shack มาเปิดให้บริการที่หากสนใจจะลองชิมอาจต้องทำใจหน่อยเพราะแถวยาวเหยียดมาก ส่วนใครที่ต้องการหาความแปลกใหม่ ก็มีเชนดังอย่าง Pink Fish ที่ขนสารพัดเมนูแซลมอนจากนอร์เวย์ รวมถึงฟาสต์ฟู้ดส์ที่ประยุกต์จากอาหารสิงคโปร์แท้ๆ อย่าง O’Tah ซึ่งนำเสนออาหารพื้นเพอย่างห่อหมกย่าง (Otah หรือ Otak) ในรูปแบบใหม่ทั้งเบอร์เกอร์ โรล และแซนด์วิช เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงรสชาติแบบสิงคโปร์แท้ๆ

จีเวลชางงี นับว่าเปลี่ยนห้างสรรพสินค้าให้กลายเป็นประสบการณ์ ซึ่งบรรยายอย่างไรก็คงไม่เท่ากับไปลองสัมผัสเอง ส่วนใครไปเจอร้านไหนเด็ดก็อย่าลืมมาแบ่งปันด้วยนะครับ เพราะผู้เขียนคิดว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะได้ไปเยือนป่ากลางห้างแห่งนี้

ขอบคุณธิษณา กูลโฆษะผู้จัดการทริป

เอกสารประกอบการเขียน

Jewel Changi Airport

What Goes Behind the Construction of Jewel Changi Airport?

Jewel Changi Airport by Safdie Architects

‘Foreign’ plants for Jewel’s gardens took almost 3 years to procure, transport and acclimatise

 

Did You Know?

สำหรับแฟนๆ โปเกมอน จีเวลชางงียังจับมือกับ โปเกมอน คอมปานี โดยออกเป็นมินิเกมส์ในแอปพลิเคชันของห้างสรรพสินค้าชื่อ Jewel โดยมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า Pokemon Explorer ตัวเกมส์จะให้เราเดินตามแผนที่ต่างๆ รอบห้างเพื่อหาจุดรับสัญญาณ Bluetooth เมื่อเข้าใกล้ก็จะมีมินิเกมส์มาให้เล่นกันโดยมีทั้งหมด 10 เกมส์ ที่รับรองว่าไม่ธรรมดา เพราะเป็น Interactive Game เช่นที่ผู้เขียนไปลองเล่นบนชั้นดาดฟ้า จะต้องไล่เก็บผลไม้ที่หล่นมาจากฟ้า แตกต่างที่เกมส์จะใช้การเคลื่อนที่ของใบหน้าและปากในการเก็บผลไม้ดังกล่าว 

ส่วนใครที่กลับมือถือแบตหมดก็ไม่ต้องห่วงครับ จีเวลชางงีมี Power Bank พร้อมให้หยิบยืมกัน เวลาเล่นก็อย่าแปลกใจที่จะมีเจ้าหน้าที่มาทัก หรือมีคนเดินผ่านแล้วมองแปลกๆ นะครับ ฮา

Fact Box

  • สำหรับผู้ที่เดินทางไปจีเวลชางงีครั้งแรก ผู้เขียนแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้แวะที่โต๊ะ Information เพื่อรับโบรชัวร์ซึ่งจะมีทั้งแผนผัง รายชื่อร้าน เวลาเปิดปิด รวมถึงประวัติสั้นๆ และสิ่งประดับประดารอบห้างสรรพสินค้า รวมถึงกิจกรรมบนชั้นห้าซึ่งสามารถซื้อเป็นแพคเกจราคาประหยัดได้ แม้ว่าจีเวลชางงีจะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่ร้านค้าและรอบของกิจกรรมนั้นแตกต่างกันออกไป โบรชัวร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่พลาดสิ่งที่คุณกำลังมองหาครับ
Tags: ,