หากคุณเดินอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของเยาวราช คุณอาจพบความสงบระดับหุบเขาได้ในร้านชา Double Dogs และหากเดินขึ้นสู่ชั้นสองของร้าน คุณจะพบกับอีกโลกหนึ่งที่ชวนค้นหาไม่แพ้สุนทรียะของชา ที่นั่นเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่นักและมีกลิ่นกำยานลอยในอากาศ เจ้าของพื้นที่คือ ‘ณัฏฐ์’ ผู้ใช้ชื่อในวงการว่า Angel of the Seers เขาถูกเรียกว่าชาแมน (shaman) เป็นหลัก แต่ตัวเขานิยามตัวเองว่าเป็นผู้ใช้ witchcraft เสียมากกว่า
หากจะว่ากันตามที่เฮอร์มานน์ เฮสเส นักเขียนชื่อดังชาวเยอรมัน บอกไว้ในหนังสือ Damien (1919) เกี่ยวกับพระเจ้าองค์ดั้งเดิม ที่โอบรับแค่ด้านดีของมนุษย์ จนทำให้เดเมียนสนใจในพระเจ้าอีกองค์ที่โอบรับด้านที่ไม่ได้ดีพร้อมของมนุษย์ไว้ด้วย เพราะอีกด้านนั้นก็เป็นความจริงของมนุษย์เช่นกัน —ในทำนองเดียวกัน เราอาจมองได้ว่า ‘วิทยาศาสตร์’ ก็อยู่ในฐานะพระเจ้าองค์ที่โอบรับแต่เพียงด้านหนึ่งของโลก แต่เป็นไปได้ไหมว่าโลกอาจจะมีความจริงมากกว่านั้น และพระเจ้าอีกองค์ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
ในเมื่อหลายสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราต่างดำเนินไปด้วยความเชื่อทางศาสนา โหราศาสตร์ รวมถึงพิธีกรรมต่างๆ ที่สามารถขับเคลื่อนคนในสังคมได้ ดังนั้นการปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นในฐานะความงมงายหรือเรื่องไม่จริง ก็คงเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่เราจะไม่ได้ลองทำความเข้าใจโลกส่วนที่เหลือกันดูสักหน่อย
และหากจะเขียนอย่างส่วนตัวมากๆ เราพบว่าเรื่องโลกหลังความตายที่ณัฏฐ์เล่า ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลจนสามารถสั่นคลอนสิ่งที่เราเชื่อมาตลอดได้ประมาณหนึ่งทีเดียว และยิ่งกว่านั้นเรื่องเล่าทั้งหมดยังน่านำไปคิดต่อในแง่ของวิญญาณนิยม (animism) ซึ่งเป็นที่สนใจของผู้ศึกษาปรัชญาจนถึงคนทำงานศิลปะมาสักพักใหญ่ เราจึงอยากชวนให้คุณลองตั้งค่าตัวเองเป็นกลางระหว่างอ่าน แล้วค่อยให้ ‘mind’ ของคุณเป็นผู้ตัดสินหรือไม่ก็กลับไปตั้งคำถามอีกสักหนึ่งหรือหลายตลบก็ยังได้
ขอเริ่มจากที่นิยามของตัวคุณก่อน โดยส่วนใหญ่แล้วคนจะเรียกคุณว่าชาแมนใช่ไหม
จริงๆ ผมนิยามตัวเองว่าเป็น witch มากกว่า เพียงแต่ในไทย คำว่า witch พอแปลออกมาแล้วมันค่อนข้างมีความหมายเชิงลบ เราก็เลยเลือกใช้คำว่าชาแมน ที่น่าจะสื่อสารตรงกว่า แต่อันที่จริงคำนี้มันค่อนข้างกินความแคบ เพราะชาแมนส่วนใหญ่จะฝึกเฉพาะเรื่องของ healing (การเยียวยารักษา) แล้วก็ divination (การทำนายทายทัก) แต่ว่าถ้าเป็น witchcraft เราทำเยอะกว่านั้น เช่นทำเครื่องราง ทำเรื่องหินบำบัด หรือ essential oil จนถึงการใช้เสียง เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องของคลื่นความถี่และพลังงาน ซึ่งเดี๋ยวจะค่อยอธิบายกันอีกทีหนึ่งครับ
คุณเริ่มต้นศึกษาศาสตร์นี้ได้อย่างไร
เริ่มจากการที่ผมมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น มันก็เลยทำให้สนใจว่ามันมีสิ่งอื่นอยู่อีกนะ แต่ผมก็โตมาแบบพุทธนะครับ จนได้มาลองศึกษา เรียนรู้เพิ่มเติมหลายๆ อย่าง ถึงได้เข้าใจว่าความคิดของตัวเองค่อนข้างไม่พุทธเท่าไหร่ ก็หาศาสนาที่เข้ากับตัวเองมากขึ้น ตอนนี้ก็นับถือศาสนาดรูอิด (Druid) ซึ่งเป็นศาสนาโบราณของทางยุโรปเหนือๆ หน่อย ทางสกอตแลนด์ สแกนดิเนเวีย แต่ว่าขึ้นไปไม่ถึงแถบของพวกนอร์สครับ
witchcraft เกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจมากน้อยแค่ไหน
โหราศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของ witchcraft ซึ่งก็ต้องอธิบายเพิ่มว่า witch กับ wizard ก็จะไม่เหมือนกัน ไม่ใช่หมายถึงแม่มดกับพ่อมดอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน คือถ้าเป็น wizard ก็จะไม่เรียน divination เขาจะเรียนเรื่องการควบคุมธาตุอย่างเดียว การเล่นแร่เเปรธาตุทั้งหลายนั้นจะเป็นพวก wizard ส่วน witch จะใช้ความรู้ของธาตุต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นใช้ไพ่ทาโร่ต์ ใช้หินทำนาย ใช้ลูกแก้ว
ซึ่งวิธีการของ witch ก็จะต่างจากชาแมนตรงที่ ทุกครั้งที่จะทำการพยากรณ์ หรือ healing อะไรก็ตาม ชาแมนจะเริ่มจากพิธีกรรมก่อน เพื่ออัญเชิญบางสิ่งที่เขานับถือมาช่วยในการพยากรณ์ ส่วน witch จะอาศัย intuition หรือญานทัศนะภายใน สิ่งที่เราเห็นหรือสิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในใจของเรา มันจะต่างจากการไปเชิญสิ่งอื่นมาช่วย อย่างถ้าในไทยตอนนี้ ที่เราเห็นกันมากก็จะเป็นชาแมนสายศาสนาฮินดู ที่นับถือเทพ เขาก็จะเริ่มจากการบูชาเทพก่อน เพื่ออัญเชิญพลังงานของเทพมา เพื่อช่วยให้เขาดูดวงได้แม่นขึ้น
ในแต่ละศาสนาจะมีเทพที่ไม่เหมือนกัน มันมีสิ่งไหนที่จริงกว่ากันหรือไม่ หรือทั้งหมดคือวิญญาณเหมือนๆ กัน
ผมเองไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องเทพฮินดูเท่าไหร่นัก แต่ที่เคยศึกษาในเชิงปรัชญาหรือศาสนามา ในศาสนาเทวนิยมค่อนข้างจะมีเทพที่เหมือนกันทั่วทั้งโลก เพียงแต่ในแต่ละสถานที่ ก็จะมีชื่อเรียกต่างกัน หน้าที่ที่เทพองค์นั้นเกี่ยวข้องก็อาจจะต่างไป เช่น ในศาสนาที่เทพเยอะๆ อย่างฮินดู หรือกรีก หรือญี่ปุ่นโบราณ เทพของเขาจะเยอะจนสามารถระบุไปในกิจกรรมต่างๆ ได้ครบ เช่น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า องค์เทพก็ต่างกันแล้ว เป็นคนละองค์แล้ว หรือในกรณีที่บางพื้นที่บูชาไกอา (Gaia) บางพื้นที่บูชาพระแม่โพสพ ซึ่งจริงๆ แล้ว หน้าที่ของเขาอาจจะเหมือนกัน พลังงานของเขาอาจจะอยู่ในช่วงคลื่นความถี่เดียวกัน หรืออาจจะเป็นเทพเดียวกันด้วยซ้ำ เเต่พอไปปรากฏต่างที่ ชื่อก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการนิยามของคนในพื้นที่นั้นๆ มากกว่า
แต่ในขณะที่บางศาสนาที่มีเทพน้อยองค์ หรือศาสนาเทพองค์เดียว แบบศาสนาตระกูล Abrahamic อย่าง ยิว คริสต์ อิสลาม เขาก็จะมีเทพที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ควบคุมดูแลทุกอย่างเลย แล้วทีนี้ในกระบวนการกลืนกินหรือล่าอาณานิคมทางศาสนา เขาก็พยายามประยุกต์เอาศาสนาดั้งเดิมของพื้นถิ่นเข้ามาอิงในคัมภีร์ของเขาด้วย เพื่อดึงใจคน ก็เลยจะมีบางพื้นที่ที่อนุญาตให้มีพระเจ้าองค์อื่นใดจากความเชื่อเก่า หรือมีพิธีกรรมบางอย่างที่ชาวบ้านเคยทำมาก่อน เช่น อีสเตอร์ หรือฮาโลวีน ก็ล้วนแล้วแต่มาจากเทศกาลดั้งเดิมของพวก Celt (ชนเผ่ายุโรปโบราณ) ทั้งนั้น
ปัจจุบันมีศาสนาอื่นใดที่น่าศึกษาอีกบ้าง
มันจะมีคำว่า Paganism แล้วก็ New Age religion ที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 1970) สองคำนี้จริงๆ ก็ต่างกันนะครับ โดยคำว่า pagan ค่อนข้างเป็นคำเก่าที่ศาสนาคริสต์ตั้งขึ้นมา หมายถึง ใครก็ตามที่อยู่นอกศาสนาคริสต์หรือ นอกศาสนาตระกูล Abrahamic ต่อมามันถูกเอามาใช้ในแง่ของคนที่นับถือศาสนาอื่นๆ นอกเหนือจากคริสต์ ฮินดู พุทธ อิสลาม ซิกข์ หรือนับถือสิ่งอื่นไปเลย อะไรแบบนี้ แล้วก็สามารถหมายถึงคนที่นับถือหลายศาสนารวมๆ กัน เช่นนับถือพุทธแต่ก็นับถือผีด้วย อย่างเมืองไทยนี่ถือเป็น pagan มากๆ เพราะว่าบางคนนับถือพุทธ แต่ว่านับถือเทพฮินดูด้วย นับถือผีด้วย แล้วก็ไหว้เจ้าจีนด้วย
แล้วทีนี้ก็จะมีชาวตะวันตก จริงๆ ก็อเมริกันนี่แหละครับ พยายามตั้งศาสนาสไตล์ใหม่ขึ้นมาอีก นั่นก็คือ New Age ที่หมายถึงคนรุ่นใหม่ คนยุคใหม่ ที่ไม่ได้ยึดถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอย่างเดียวแล้ว แต่สามารถนับถือหลายๆ ศาสนารวมกัน อะไรที่ดีก็เลือกมา อะไรที่ไม่ดีก็ไม่เอา หรืออะไรที่เหมาะกับตัวเองก็เลือกมา อะไรที่ไม่เหมาะกับตัวเองก็ไม่เอา เหมือนเด็กเข้าร้านขนมครับ คุณอาจจะหยิบขนมจากตะกร้านี้ชิ้นหนึ่ง ตะกร้านู้นชิ้นหนึ่ง ไม่ได้เอาทั้งหมด กลุ่ม New Age จะเป็นแบบนั้น
สำหรับคนที่ทำงานด้านจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะชาแมน หรือ พ่อมด แม่มด หมอผี มีสังกัดทางศาสนาไหม หรือก็ช่วยเหลือคนได้ทุกศาสนา
จริงๆ ก็แล้วแต่คนเลยครับ ผมเองก็จะยึดหลักจรรยาบรรณแบบศาสนาดรูอิด หลักของเราก็คือไม่เบียดเบียนตัวเอง แล้วก็ไม่เบียดเบียนคนอื่น แล้วก็จะมีอีกอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญ ที่ผมจะเน้นกับลูกศิษย์ทุกคน นั่นก็คือ ใครที่เขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือ เราอย่าเสนอตัวเข้าไปช่วยเหลือ พูดง่ายๆ ก็คือมันไม่ใช่เรื่องของเรา
เคยมีแม่มดในออสเตรเลียบอกผมไว้ว่า ถ้าสมมติเราเป็นหมอกระดูก เราเห็นคนที่กระดูกสันหลังคดเดินผ่าน อย่างมากเราก็บอกได้แค่ว่า “คุณกระดูกสันหลังคดนะ” แต่จะไปชักชวนว่า “มารักษากับผมเถอะ” ไม่ได้ แล้วก็ต้องระวังผลตรงที่ว่า การไปบอกเขาแบบนั้นมันจะเป็นการสร้างทุกข์ให้กับเขาเปล่าๆ ด้วยหรือไม่
เคยได้ยินว่าหมอดูไม่ควรทักเรื่องความตายของคนด้วยใช่ไหม
มันก็คือการเบียดเบียนคนอื่นนั่นแหละครับ ก็เคยมีเคสที่ผู้หญิงคนหนึ่งไปดูดวง แล้วหมอดูทักว่าจะตายในอีกสามวันข้างหน้า แล้วหลังจากนั้นเขาก็ตายจริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหมอดูทำนายแม่นอย่างเดียว แต่คำทำนายนั้นมันก็ส่งผลกับเขาในทางหนึ่ง เหมือนว่าเขาป่วยอยู่ก่อนแล้ว แล้วยิ่งไปทำให้เขาหมดกำลังใจ ไม่กิน ไม่นอน ไม่ทำอะไร นั่งเฉยๆ สุดท้ายแล้วนั่นก็เหมือนเป็นการสร้างกรรมให้ตัวเองอย่างหนึ่ง
ชุดจรรยาบรรณที่หมอดู พ่อมด หมอผีถือกันอยู่ มันเริ่มจากจุดไหน ทุกคนถือเหมือนกันหรือเปล่า
จริงๆ แล้ว มันควรจะถือเหมือนกันทั่วโลก เพียงแต่ว่าบางครั้งก็มีหลุดบ้าง หลุดกันเองก็เยอะ ถ้าหลุดแบบไม่น่าให้อภัยก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ได้รับการยอมรับภายในกลุ่มหรือถึงขั้นโดนบอยคอต เช่น ล่าสุดมีกรณีของน้องคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เขาก็ยังเป็นผู้ศึกษา เริ่มฝึกหัดวิชาเหล่านี้ ต่อมาวันหนึ่งเขาก็ประกาศตัวในกลุ่มเด็กใหม่ที่เพิ่งเริ่มสนใจศึกษาว่า เขาเป็นกูรูแล้วนะ แล้วเขาก็ใช้ความต้องการของตัวเองมาเเลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เด็กอยากรู้ แต่จริงๆ แล้วเด็กอาจจะไม่ได้อะไรกลับไปเลย
พอคุยกับเด็กแล้วกลายเป็นว่า เขาไม่ได้สอนอะไรเลย เขาแค่ต้องการสนองตัณหาตัวเองเท่านั้นเอง คือแอบอ้างว่าพาไปทำพิธีนะ พาไปสอนนะ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้น แค่เซ็กซ์ ก็มีกรณีนี้อยู่เรื่อยๆ เท่าที่ผมออกมาจากถ้ำ มาเริ่มรับงานเหล่านี้ในราวๆ 20 ปีที่ผ่านมา มีมาตลอด ที่ตำรวจจับได้ก็มี
สำหรับคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ หรือไม่เชื่อเรื่องที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ จะได้รับผลจากเรื่องทางจิตวิญญาณต่างจากคนที่เชื่ออยู่แล้วไหม
ชีวิตเขาก็จะค่อนข้างดำเนินไปตามทางของเขา ตามทางที่เขาคิด ตามทางที่เขาเลือก สมมติว่าคนคนนั้นเรียนวิทย์มา แล้วอธิบายทุกอย่างเป็นวิทย์หมด นั่นก็ได้ แต่เมื่อไปถึงจุดที่บางครั้งเขาสัมผัสได้ถึงสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ ความสงสัยเหล่านั้นก็อาจนำเขาไปสู่สิ่งอื่น ยกตัวอย่างจากที่เคยไปช่วยงานหมอ หมอก็จะเริ่มจากไม่เชื่อก่อนครับ เพราะว่าทุกอย่างที่เขาเรียนมาและใช้ในการทำงานจะวนเวียนอยู่กับ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไม่มีอะไรนอกเหนือจากกฎเกณฑ์เหล่านี้ แต่เราสังเกตว่าหมอที่อายุมากขึ้นหรือหมอที่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้จะค่อนข้างถอนตัวไม่ขึ้น เพราะเหมือนเขาเจอคำอธิบายที่ชัดกว่า
อยากให้คุณอธิบายเพิ่มเติม เรื่องการ ‘ช่วยงานหมอ’
ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องนิติวิทยาศาสตร์ครับ สำหรับกรณีที่หาคำตอบไม่ได้เกี่ยวกับคดี วิธีที่จะทำได้ก็คือการให้ชาแมนหรือพ่อมดแม่มดไปอยู่ใน crime scene แล้วค่อยๆ หาร่องรอยเช่นรูปลักษณ์หรือไดเร็กชั่นของคนร้าย จากนั้นก็ใช้เป็นแนวทางในการสืบหาหลักฐานในขั้นต่อไป เพราะที่สุดแล้วปากคำของชาแมนไม่สามารถใช้ในชั้นศาลได้อยู่แล้ว
มันก็จะมีทั้งส่วนที่ตรงและส่วนที่ไม่ตรง เท่าที่เขาวิจัยกันมาก็คือจะมี 60 – 80 เปอร์เซ็นต์ที่ตรง ดังนั้นก่อนที่จะได้เข้าไปช่วยงานของหมอ คนคนนั้นก็มักจะถูกทดสอบก่อน ให้ดูอะไรง่ายๆ ให้ฟังอะไรง่ายๆ เช่น ดูหน้าลูกเต๋าในถ้วย ดูหน้าไพ่ ถ้าถูกเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปก็โอเค สามารถช่วยหมอได้
แล้วก็ยังมีกรณีของการไปช่วยงานพวกนักโบราณคดีด้วย ผมเองเคยไปช่วยงานนักโบราณคดีฝรั่งเศสที่มาทำงานในประเทศหนึ่ง เพื่อหาท่าเรือเก่าสมัย 1,500 ปีที่แล้ว จากการสอบถามวิญญาณเก่าแก่ที่อยู่แถวนั้น ก็สามารถบอกได้ว่าแนวกำแพงเมืองอยู่ตรงไหน ท่าเรืออยู่ตรงไหน คือขุดไปก็เจอ แต่ที่สุดแล้วเขาจะเขียนลงไปในงานวิจัยไม่ได้ ก็จะบอกว่าได้รับความช่วยเหลือจากคนในท้องที่ คนเก่าแก่ อะไรแบบนี้แทน
ส่วนใหญ่แล้ว หมอดูที่ออกสื่อฯ ต่างๆ เป็นของจริงกันมากน้อยแค่ไหน
ต้องพิสูจน์ครับ ก็ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์นี่แหละครับ ตั้งสมมติฐาน ทดลอง แล้วก็สรุปผล ถ้าสามครั้งขึ้นไปผลตรงกัน ก็น่าจะจริงครับ แต่ว่าส่วนใหญ่คนที่ศึกษาแล้ว มักจะไม่ค่อยเสนอตัวออกไปในรูปแบบนั้น แล้วอันที่จริงก็ยังมีบริษัทที่จะทำหน้าที่ปั้นหมอดูขึ้นมาด้วย นั่นเลยทำให้หลายคนพยายามมีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างเพื่อสร้างจุดเด่นให้ตัวเองครับ
คนที่ไม่ได้มีเซนส์ทางวิญญาณ สามารถศึกษาศาสตร์เหล่านี้ได้ไหม
ตามทฤษฎีแล้วสามารถศึกษาได้ทุกคนครับ หรือสามารถฝึกให้มีความสามารถพิเศษเหล่านี้ได้ทุกคน แต่เท่าที่ทดลองรับลูกศิษย์มา หรือที่ลองสอนเพื่อน สอนคนรู้จัก พบว่าคนที่สามารถเห็นได้อยู่แล้ว หรือคนที่รับรู้สิ่งเหล่านี้ได้อยู่แล้วก็จะไปได้ไวกว่า เพราะเขาสามารถพิสูจน์ด้วยตัวเองได้ แต่คนที่เริ่มใหม่จากศูนย์ พอเขาทำแล้วมันยังไม่รู้สึกอะไร ทำไปสักพักเขาก็เบื่อ แล้วก็เลิกไป เพราะบางคนอาจจะต้องการอะไรที่เห็นผลเร็ว หลังๆ เวลาจะรับลูกศิษย์ผมก็จะลองให้แบบฝึกหัดไปลองทำก่อน สักปีสองปีแล้วค่อยมาว่ากัน
แบบฝึกหัดเหล่านั้นเช่นอะไรบ้าง
เช่นให้ลองทำสมาธิแบบนี้ดูซิ แล้วรู้สึกอะไรบาง หรือว่าลองไปดูในที่ที่เราคิดว่ามันมีอะไร แล้วลองบอกซิว่ารู้สึกอะไรบ้าง หรือเห็นอะไรไหม หรือว่าลองคุยกัน พาออกไปทำงานด้วยกัน ดูว่าทัศนคติไปด้วยกันได้ไหม
การมองเห็นหรือสัมผัสถึงวิญญาณ เป็นเรื่องของคลื่นความถี่?
ถ้าอธิบายด้วยหลักฟิสิกส์มันก็เป็นอย่างนั้นครับ เช่นมนุษย์จะรับคลื่นได้ในช่วงคลื่นหนึ่ง แล้วถ้าตัว receptor ของเราสามารถรับคลื่นความถี่ที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่านั้น เราก็น่าจะสามารถสัมผัสหรือรับสารที่อยู่นอกข่ายความถี่เดิมของมนุษย์ได้ ซึ่งการฝึกทางนี้ ก็เหมือนการฝึกเพื่อขยายช่วงคลื่นความถี่ที่เราสามารถรับได้
แล้วทีนี้มิติต่างๆ มันจะมีช่วงที่มัน overlap กันได้บ้าง คนอาจจะเห็นภาพในอดีตหรืออนาคตได้บ้าง เมื่อมิติเกิดการเหลื่อมซ้อนกัน หรือคลื่นเกิดความวุ่นวาย เรียกว่าการกระเจิงของคลื่น อาจจะด้วยกระแสไฟฟ้าในบริเวณนั้น หรือฟ้าผ่า หรือคลื่นจากนอกโลก solar flare อะไรแบบนี้ ก็อาจจะทำให้เกิดการเหลื่อมซ้อนทับกันของมิติ นั่นทำให้คนทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกอะไรสามารถเห็นได้เหมือนกัน หรืออีกกรณีที่คนจะบังเอิญเห็นก็เช่นตอนที่ป่วย จิตตก หรือสภาวะจิตไม่ปกติ แต่มันก็จะมีอาการหลงผิด เป็นอาการทางประสาท เช่นคนที่เล่นยา ก็อาจจะได้ยินเสียงในหัวตัวเองหรือคิดว่าตัวเองสัมผัสได้ครับ
หรือบางที คนที่ทำงานศิลปะมากๆ ก็อาจจะเชื่อมโยงกับเรื่องเหล่านี้ได้เหมือนกัน คือศิลปะมันต้องใช้สมาธิน่ะครับ พอใช้สมาธิมากขึ้น ก็ทำให้จิตใจหรือจิตวิญญาณของเราละเอียดขึ้น พอละเอียดขึ้น receptor ก็จะกว้างขึ้นด้วย อาจทำให้มีเซนส์มากขึ้นด้วย
โลกหลังความตาย ในแบบที่คุณรับรู้และเข้าใจเป็นอย่างไร
ในความเชื่อของแต่ละศาสนาสอนต่างกัน แต่เท่าที่ผมได้สัมผัส หรือเก็บข้อมูลมา พบว่ามันค่อนข้างมีแพทเทิร์นเดียวกัน เพียงแต่ว่าบางทีมันจะตรงกับบางข้อของศาสนานี้ หรือบางทีก็ตรงกับศาสนาโน้นในบางข้อ โดยส่วนที่ผมได้ศึกษามา ชีวิตนั้นประกอบด้วย body, mind และ spirit/soul หรือก็คือ ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ โดยจิตใจหรือ mind ในที่นี้ก็หมายถึงจิตสำนึก จิตไร้สำนึก ค่านิยม ทั้งหลาย ที่ทางพุทธเรียกว่า ‘สัญญา’ (ส่วนหนึ่งของขันธ์ 5)
พอคนตายปุ๊บ นั่นหมายถึงร่างกายได้สูญไป จึงเหลือแค่จิตที่ผูกติดอยู่กับวิญญาณ สิ่งนั้นก็จะอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะค่อยๆ จางลง ใช้เวลามากน้อยก็อยู่ที่คนคนนั้นว่ายึดติดแค่ไหน ท้ายที่สุดเมื่อเหลือแค่วิญญาณเพียวๆ แล้ว นั่นอาจจะหมายถึงที่เราเรียกว่าการสู่สุคติ หรือที่ทางคริสต์จะบอกว่ามันคือการ go to the light เมื่อนั้นแล้ว มันก็พร้อมที่จะไปจุติในร่างกายใหม่ ซึ่งตรงนี้มันอาจจะมีการ error เล็กๆ น้อยๆ บ้าง ในกรณีที่บางวิญญาณอาจจะได้ไปเกิดโดยที่สัญญาหรือ mind ยังไม่หลุดไปหมด ซึ่งนั่นก็อาจจะไปอธิบายเรื่องของการระลึกชาติ
ในขั้นต่อมาเมื่อร่างกายใหม่นั้นค่อยๆ เติบโตขึ้น วิญญาณก็จะค่อยๆ สะสมจิตใจชุดใหม่ขึ้นอีกครั้ง ซึ่งขั้นตอนก่อนจะมาถึงตรงนี้ก็ยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐานนะ เพราะที่สุดแล้ว หลังจากที่จิตเดิมได้หมดไปจากวิญญาณ ก็ยังไม่เคยมีใครกลับมาบอกว่าต่อจากนั้นเป็นอย่างไร ต้องไปที่ไหนหรือเจออะไร กระบวนการเกิดใหม่เป็นอย่างไร ก็ยังหาข้อมูลอยู่จนทุกวันนี้
แต่ละศาสนาดูจะมีการเล่าเรื่องโลกหลังความตายในเชิงสัญลักษณ์ที่ต่างกันไป คุณคิดเห็นอย่างไร
เรื่องการสอนศาสนาในเชิงสัญลักษณ์นี่ มันทำให้เวลาผ่านไป คนเราไม่สามารถรื้อฟื้นได้แล้วว่าสัญลักษณ์ที่ถูกแทนค่านั้นมันมาจากอะไร หรือความเชื่อนี้เริ่มมาจากไหน ทำไมถึงเชื่อแบบนี้ ทำไมตายแล้วต้องไปนรก ทำไมตายแล้วต้องไปสวรรค์ ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าว่าถึงศาสนาพุทธดั้งเดิม หากศึกษาจากพระไตรปิฎกภาษาบาลี ก่อนที่จะถูกชำระเป็นภาษาไทย ศาสนาพุทธแทบจะไม่พูดถึงนรก-สวรรค์เลยครับ แต่จะพูดถึงการทำดี ละเว้นความชั่ว หรือการรับผลของกรรมที่เกิดขึ้นในชาตินี้ ไม่พูดถึงการเกิดใหม่ หรือการ reincarnate ใดๆ ไม่พูดถึงชีวิตหลังความตาย โดยพระพุทธเจ้าจะกล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ มันไม่ได้ทำให้ชีวิตเจริญขึ้น
แต่ในทางกลับกัน กลับมีคนที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้แล้วยึดอยู่แต่กับเรื่องที่ว่า ตายแล้วฉันจะเป็นอะไร ตายแล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน กลายเป็นว่าชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็มุ่งแต่จะทำบุญเพื่อจะตายดีอย่างเดียว ไม่ได้เป็นการทำบุญเพื่อช่วยเหลือคนอื่นเป็นหลัก แต่เป็นการทำบุญเพื่อซื้อชีวิตหลังความตายที่ดีเสียมากกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นนิทานที่ถูกใส่ขึ้นมาทีหลังในเรื่องเล่าทางศาสนา มีการแทรกเรื่องไตรภูมิกถา เรื่องจักรวาล ภพภูมิต่างๆ หรือสวรรค์-นรกเข้าไป พอนานๆ ไป คนก็เริ่มไม่รู้แล้วว่ารากเดิมมันมายังไง รู้แค่ว่า ศาสนาสอนว่าทำดีได้ขึ้นสวรรค์ ทำไม่ดีตกนรก
ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็มีคำพูดเก่าๆ ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ผมว่ามันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนะครับ เรื่องสภาวะทางจิตใจทั้งหลายมันก็เป็นภาพแทนของนรก-สวรรค์ได้ทีเดียว เช่นที่บอกว่าเวลาบนสวรรค์จะเร็วกว่าโลกมนุษย์ ส่วนเวลาในนรกจะยาวนานกว่า มันก็คล้ายกับที่เรารู้สึกว่าเวลามีความสุขมันจะผ่านไปเร็ว เวลาเราทุกข์ทรมานมันจะผ่านไปช้านั่นแหละครับ มันเป็นเรื่องของ symbolic นั่นเอง
หรือถ้าพูดถึงการทำความเลว สิ่งนั้นก็จะติดอยู่กับ mind ของเขาไปแม้จะตายไปแล้ว เขาก็จะยังคงรู้สึกถึงสิ่งไม่ดีที่ทำเอาไว้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเขาคิดหรือตระหนักว่าสิ่งนั้นไม่ดีด้วยนะ มันก็จะติดอยู่กับวิญญาณเขาไปเรื่อยๆ เป็นนรกในใจ จนกว่าเขาจะตั้งสติได้แล้วก็หลุดจาก mind ตัวนั้น ส่วนหากสิ่งนั้นที่เขาทำไปแล้วเขาไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่ดี มันก็จะไม่ได้กลายเป็นนรกในแง่นั้นของเขา
มันเป็นเรื่องเดียวกับที่ว่า เราคงไม่สามารถเอามาตรฐานความดีความชั่วของใครคนใดคนหนึ่ง ไปตัดสินใครอีกคนได้น่ะครับ สมมติว่าเราเอาเรื่องความดีความชั่วชุดที่เราเชื่อกันไปพูดกับชนเผ่าหนึ่งที่เขาเติบโตมาโดยที่สะสม mind ในอีกแบบหนึ่ง มีความดีกับความชั่วในอีกแบบหนึ่ง เมื่อตายไปเขาก็ไม่ได้รับกรรมในชุดเดียวกันกับคนที่ยึดถือแบบอื่น พูดง่ายๆ ก็คือนรกกับสวรรค์ของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันน่ะครับ
หน่วยความจำของวิญญาณอยู่ในรูปแบบไหน
วิญญาณไม่มีสมองในการประมวลผลสิ่งใหม่ ดังนั้นสิ่งที่ติดอยู่กับวิญญาณจะเป็นชุดความทรงจำเดิมๆ ซึ่งมีแต่จะค่อยๆ จางลงไป ถ้าเปรียบกับทางเทคโนโลยี ข้อมูลใหม่สำหรับวิญญาณก็อาจจะเป็นข้อมูลลอยๆ ที่ถูกส่งเข้าไปในอีเมล แต่ถึงมันถูกเปิดอ่าน แต่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นๆ เช่นสิ่งที่เขาอยากกินมันจะไม่ใช่สิ่งใหม่หรือสิ่งที่เลิศหรู แต่มันคือสิ่งที่เขาคุ้นเคย มันชัดเจนในความทรงจำของเขา
วิธีการ ‘กิน’ ของวิญญาณ เกิดขึ้นอย่างไร
โดยพลังงานครับ เช่นเอาก๋วยเตี๋ยวมาตั้งเอาไว้ เขาก็จะจำได้ว่าอาหารที่หน้าตาแบบนี้จะมีกลิ่นหรือรสชาติอย่างไร เขาก็จะเกิดความพอใจว่ามีคนมอบสิ่งนี้ให้เขา เหมือนที่ทางเอเชียจะบอกว่า วิญญาณจะเสพส่วนที่เป็น ‘ทิพย์’ ของอาหาร นั่นก็คือส่วนที่เป็นพลังงานนั่นเอง
ลำพังวิญญาณไม่สามารถทำอะไรมนุษย์ได้ในทางกายภาพ แต่จะเป็นการ manifest ปรากฏตัว หรือการ inspire สร้างความคิดหรือความรู้สึกใดๆ หรืออย่างกรณีที่ว่าถูกผีกัด ถูกผีย้ำ จนเป็นรอยตามเนื้อตามตัว โดยหลักการแล้วมันคือ เมื่อมีวิญญาณแปลกปลอมเข้ามาเกาะติดอยู่กับใครบางคนแล้ว เขาก็จะดูดซับพลังชีวิตของคนๆ นั้นไป เพราะวิญญาณหลายดวงยังคงต้องการรักษา form ของการเป็นมนุษย์ เขาก็จะยึดติดกับการมีรูปแบบเป็นมนุษย์ สิ่งที่จะเกิดกับคนที่ถูกเกาะติดก็คือเขาจะเหนื่อยง่าย จิตตกง่าย เท่าที่เจอคือเขาดึงพลังไปโดยมวลรวม ไม่ได้เฉพาะจุด ไม่ได้เกาะไหล่ก็ปวดไหล่ หรือกัดขาก็ปวดขา เพียงแต่ร่างกายที่อ่อนแอลง มันก็จะง่ายต่อการเกิดโรคหรือร่องรอยในแต่ละจุดมากกว่า
รูปร่างของวิญญาณที่จะปรากฏขึ้นมา ขึ้นอยู่กับอะไร
เขาจดจำตัวเองในรูปแบบไหน รูปร่างของวิญญาณก็จะเป็นอย่างนั้น คนที่ตายโดยรู้เนื้อรู้ตัว เขาก็อาจจะจดจำสภาพของเขาตาย แต่คนที่ตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาก็อาจจะคิดว่าเขายังไม่ตาย เขาก็จะยังอยู่ตรงนั้น ยังงงๆ หรือเบลอๆ อยู่ในจุดที่เขาตาย อาจจะมีคนเห็นเขานั่งร้องไห้อยู่ เราก็ต้องไปคุย ไปเจรจา บางครั้งเจรจาไม่ได้ก็ต้องใช้การบังคับ ด้วยการดึงเอาพลังงานบางอย่างของเขาออกไปจากตรงนั้น
สำหรับการฆ่าตัวตาย สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคืออะไร
โดยมากแล้วจิตจะค่อนข้างมีพลังในการจดจำพื้นที่ อารมณ์ หรือลักษณะต่างๆ รอบตัว คนที่ตั้งใจฆ่าตัวตาย จิตสุดท้ายที่เขาโฟกัสกับการตาย มันจะกลายเป็นจิตที่เข้มข้น นั่นเป็นเหตุของเรื่องที่ว่าคนฆ่าตัวตายเขาจะกลับไปฆ่าตัวตายซ้ำๆ เพราะจิตเขาโฟกัสอยู่แต่ตรงนั้น จนกว่าจะตั้งสติได้ ดังนั้นบางทีฆ่าตัวตายแล้วไม่ได้จบนะ แต่มันยังมีสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นอีก
เราพอจะพูดได้ไหมว่า หากตั้งสติได้ โลกหลังความตายก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น
ไม่ได้น่ากลัวครับ มันเป็นเพียงอีกหนึ่งการเปลี่ยนผ่าน เป็น transformation หนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง
Tags: witchcraft, shaman, ghost, after life, Science