“ผมเห็นที่เขาโหวตๆ กัน ไม่รู้ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ ให้ 8 คะแนนบ้าง 9 คะแนนบ้าง ถ้าถามผม ผมให้แค่ 2-3 คะแนน ไม่ให้ถึง 4-5 คะแนนด้วยซ้ำ

“จำได้ไหมที่เคยบอกว่า เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน จะคืนความสุขให้ ห่าเหวอะไร กี่ปีแล้ว แบบนี้ถือว่าโกหกไหม ผู้นำที่โกหกใช้ได้เหรอ ผู้นำโกหกหลอกลวงประชาชนจะให้ประชาชนเชื่อถืออะไร เวลาออกนโยบายอะไร เขาก็สงสัยกันแล้ว มึงโกหกกูหรือเปล่าวะ มันไม่เหลือความเชื่อใจ ก็เพราะนิสัยคุณเป็นแบบนั้น”

มุมมองอันร้อนแรงของ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ฝ่ายค้าน และประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) ต่อการทำงานของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หลัง 7 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่า ความสุขที่จะต้องคืนกลับมา ประเทศไทยกลับไม่เคยได้รับตามสัญญาที่ให้ไว้

ด้วยสไตล์ขึงขัง จริงจัง จะกระทำการใดต้องชัดแจ้ง โปร่งใส เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ บ้านเมือง และประชาชน จึงไม่น่าแปลกใจที่อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เจ้าของฉายา ‘วีรบุรุษนาแก’ คนนี้ จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ว่ามีบกข้อบกพร่องมากมายหลายด้าน

บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้เปรียบเสมือนการ ‘ชำแหละรัฐบาล’ ผ่านสายตาของพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ที่จะทำให้ผู้อ่านได้เห็นเบื้องลึก เบื้องหลัง ที่มาที่ไปของเหตุการณ์วุ่นๆ ในโรงละครที่ชื่อว่า ‘รัฐสภา’ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

หลังจากเข้ามาทำงานในฐานะ ส.ส. ฝ่ายค้าน และประธาน กมธ.ป.ป.ช. เป็นเวลาเกือบสองปี คุณประเมินผลงานที่ผ่านมาของตัวเองอย่างไร

‘ดี’ และ ‘ใช้ได้’ ทีเดียว

‘ดี’ คือเรื่องระเบียบวินัย สองปีที่ผ่านมา ผมลาประชุมสภาครั้งเดียวเท่านั้น นอกนั้นอยู่ประชุมตลอด ในบทบาทประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. ผมก็ทำงานตลอด ทำจนกระทั่งกรรมธิการคนอื่นๆ ต้องขอให้พักบ้าง เพราะเขาทำไม่ไหว เรื่องมันเยอะไป 

ส่วน ‘ใช้ได้’ คือ แม้ผมจะเป็น ส.ส. สมัยแรก แต่ผมเคยทำงานมาก่อน ผมเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดังนั้น การมาทำงาน ส.ส. สมัยแรกก็เลยมีประสบการณ์ในการบริหารงานต่างๆ ซึ่งใช้ได้เลยทีเดียว

สำหรับผม จะสมัยแรกหรือกี่สมัยนั้นไม่สำคัญ มันอยู่ที่ว่าทั้งชีวิต คุณมีความรู้ประสบการณ์ มีประวัติ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากแค่ไหน อย่างตัวผมก็ได้นำความรู้ความสามารถที่ทำมา 40 ปี มาพิสูจน์ให้เห็นว่าเรามีความรู้ความสามารถจริง

ดังนั้น หากประเมินแล้ว ไม่ผิดหวังเลย

แล้วนโยบายช่วงเลือกตั้งปี 2562 ทั้งการปฏิรูปกองทัพ หยุดเผด็จการ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน คุณคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายได้แล้วหรือยัง

ผมไม่ได้บอกว่า ถ้าวันหนึ่งได้เข้ามารัฐสภาแล้วจะทำอะไร แต่ผมบอกว่าถ้าได้เข้ามาบริหารมาเป็นรัฐบาล จะทำอะไร ดังนั้น ในวันนี้ที่ผมได้เข้าสภาในฐานะฝ่ายค้าน ผมจะทำอะไรได้ล่ะ ไม่มีโอกาสบริหาร ไม่มีโอกาสทำสิ่งที่พูดไว้เลย 

ถ้าตอนนั้นเลือกผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็จะมีโอกาสได้เข้ามาบริหารประเทศชาติ ผมก็จะให้ย้ายหน่วยทหารออกนอกกรุงเทพฯ ทั้งหมด เพื่อเอาพื้นที่มาทำประโยชน์ให้พี่น้องประชาชน สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ตัดถนนใหม่ ขุดแม่น้ำเจ้าพระยาสายใหม่ ให้นายทุนเช่าเอาเงินมาลงทุน ไม่ใช่งบประมาณของราชการ 

ดูทุกวันนี้สิ ปัญหาเกณฑ์ทหารซึ่งเป็นเรื่องเล็กกว่ายังแก้ไม่ได้เลย เพราะเราไม่ใช่รัฐบาล หรือแม้กระทั่งสัญญาที่ให้กับประชาชนไว้ว่าจะยกหนี้ กยศ. (กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา) ให้ ก็ไม่ได้ทำ ทั้งที่อยากทำมาก เพราะการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าประชาชนมีความรู้ ประชาชนฉลาด รู้เท่าทันรัฐบาล รัฐบาลก็จะหลอกไม่ได้ ประชาชนก็พึ่งตัวเองได้ บ้านเมืองก็เจริญ แต่ทุกวันนี้บางคนเรียนจบออกมาก็ต้องใช้หนี้ บางคนไม่มีเงินใช้หนี้ก็ถูกฟ้องร้องเสียอนาคต 

น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ไปแก้ไข มีเรื่องอื่นอีกเยอะมากมายที่ทำไม่ได้ ก็ไม่เลือกผมเองนี่ ถ้าเลือกผมเป็นรัฐบาล เป็นนายกฯ ผมก็ทำไปแล้ว 

 ในบทบาท ส.ส. ฝ่ายค้าน ปัจจุบันเป้าหมายในการดำเนินงานของคุณคืออะไร

ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลในการบริหารประเทศ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีทุกกระทรวง ทบวง กรม ภารกิจของฝ่ายค้านไม่ว่าจะพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล หรืออื่นๆ ก็มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของคนกลุ่มเหล่านี้

อย่างเช่นปีที่ผ่านมาก็มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ประเด็นที่ผมพูดคือเรื่องที่ คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ ก็รับหน้าที่ไม่ได้ บริหารประเทศไม่ได้ แต่นี่ยังหน้าด้านทำ พอผมจะอภิปรายก็หน้าด้านไม่ให้อภิปราย ร่วมกันทั้งรัฐบาล ร่วมกันทั้งสภา โดยเฉพาะ คุณชวน หลีกภัย ที่ไม่ให้ผมออกมาพูดเรื่องนี้ จะไม่ให้พูดได้อย่างไร ญัตติก็ยื่นไปแล้ว ผมก็ต้องพูดไปตามญัตติ 

เรื่องนี้สำคัญมากที่ผมเป็นคนตรวจสอบ คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเรื่องการถวายสัตย์ไม่ครบโดยตรง เพราะความผิดมันชัดแจ้ง ไปเปิดเทปดูสิว่ามันไม่ครบ มันชัดเจน ส่วนเรื่องอื่นไปบอกเขาทุจริตเรื่องนั้น เรื่องนี้มันไม่ชัดเจนเสียทีเดียว มันเป็นแค่คำกล่าวหา แต่เรื่องนี้มีเทปอัดไว้ และในเมื่อมันไม่ครบ คุณก็บริหารประเทศไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่คุณยังเป็น ยังทำอยู่ ก็ผิดกฎหมายทั้งนั้น 

พอจะบอกได้ไหมว่าประเด็นที่เตรียมจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 25 มกราคม 2564 มีเรื่องไหนบ้าง

ใจจริงผมก็อย่างจะบอกให้ชัดแจ้งนะ แต่ปีก่อนพอบอกแล้วเป็นอย่างไร ก็ถูกไม่ให้อภิปรายหน้าตาเฉย ครั้งนี้ก็เลยตกลงกันว่า เดี๋ยววันที่ 15 มกราคม พรรคฝ่ายค้านจะมาตกลงกัน แบ่งหน้าที่กันคร่าวๆ ก่อนที่จะทำญัตติไปยื่นต่อประธานสภา

เดี๋ยวนี้จะเสนอกฎหมายยังไม่กล้าเสนอเลย ที่คิดอยากจะทำ อยากจะแก้ เพราะเดี๋ยวก็ถูกตีตกหมด เพราะในสภาเขาใช้มือเป็นหลัก ไม่ได้ใช้เหตุผล มันต้องเปลี่ยนวิธีคิดของ ส.ส. กันใหม่แล้ว ฝ่ายค้านก็ดี รัฐบาลก็ดี คุณต้องดูว่าสิ่งที่เขาเสนอมา ประชาชนได้ประโยชน์ไหม ถ้าได้ประโยชน์ก็ต้องเอาสิ แต่ทุกวันนี้มันพวกมากลากไปอย่างเดียว มันไม่เคยทำงาน เลือกตั้งก็ซื้อเสียง อยู่ในรัฐสภาก็หนีออกมา งานไม่ทำ เช็กองค์ประชุมก็ไม่ครบ ไปนั่งกินข้าว ไปดูทีวีข้างนอก เดี๋ยวหมดสภาก็เลือกตั้งใหม่ ซื้อเสียงใหม่

       

พราะในสภาใช้มือเป็นหลัก ไม่ได้ใช้เหตุผล

มันต้องเปลี่ยนวิธีคิดของ ส.ส. ใหม่แล้ว ฝ่ายค้านก็ดี รัฐบาลก็ดี

คุณต้องดูว่าสิ่งที่เขาเสนอมา ประชาชนได้ประโยชน์ไหม ได้ประโยชน์ก็เอาสิ “

 

พอจะมีทางแก้ไหม สำหรับปัญหาของ ส.ส. ที่เทคะแนนเสียงตามพรรคพวก

ไม่ได้หรอก มันเป็นสันดาน เอาง่ายๆ ผมยื่นญัตติถอดถอน คุณสิระ เจนจาคะ ไป ขนาดอธิบายให้ดูข้อกฎหมาย ให้ดูคำพิพากษา ยังมาบอกว่าไม่รู้เรื่อง เป็นไปได้ยังไง ของง่ายๆ แบบนี้ไม่ต้องคิดเลย เพราะต้องคำพิพากษาคดีเกี่ยวกับทรัพย์ จบแล้ว ติดคุก ชัดๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ 

กรณีของ คุณธรรมนัส พรหมเผ่า ยังยากกว่านี้ เพราะเขาไปติดคุกออสเตรเลีย พอส่งไปศาลรัฐธรรมนูญว่าคนนี้เคยถูกจำคุกฐานค้ายาเสพติด ศาลรัฐธรรมนูญจะเบี้ยวโดยบอกไม่ใช่ศาลไทย ไม่ใช่รัฐธรรมนูญไทยก็ได้ แต่ของคุณสิระมันชัดเจนมาก ความผิดที่ไทย กฎหมายไทย มีตัวอย่างให้เห็น แต่ก็ยังรอด เป็นยังไงล่ะ คุณภาพ ส.ส. บ้านเรา

มันเลยจำเป็นต้องแก้ไข ต้องเอา ส.ส. ที่คุณสมบัติไม่ถูกต้องออกจากสภา วันๆ ไม่เคยทำงานอะไร กร่างไปกร่างมา แกว่งปากด่าคนนู้นคนนี้ มันสมควรได้เป็น ส.ส. ไหม


ในการทำงานกรรมาธิการ ป.ป.ช. ปีที่ผ่านมา คุณได้รับเรื่องร้องเรียนอะไรมากที่สุด

หลายประเด็น ทั้งถวายสัตย์ไม่ครบของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นาฬิกาหรูของ คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ดินของ คุณปารีณา ไกรคุปต์ อย่างเรื่องเอาเครื่องมือของราชการไปสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐซึ่งถือเป็นการทุจริต ก็ต้องสอบกัน เรื่องประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่นโกง 400 กว่าล้าน เพื่อใช้ในการเล่นการเมือง จนได้บรรจุเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ ผมก็สอบสวนจนเสร็จ จนดำเนินคดีไปแล้ว 

ส่วนภาคประชาชนที่เดือดร้อนมาที่สุดคือ เรื่องที่ดินทำกิน มันมีการบุกรุกกันเยอะ เพราะที่ดินมันก็มีเท่าที่เห็น เป็นรูปขวานไทย มีจำกัดแต่คนมันเพิ่ม ก็เลยไม่มีที่ดินทำกินกัน ต้องไปบุกรุกป่าสงวน บุกรุกที่ดินรกร้างว่างเปล่า หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ออกเอกสารสิทธิ์ก็แสวงหาผลประโยชน์ คดีพวกนี้เยอะมาก ไหนจะเรื่องโรงงานต่างๆ ปล่อยน้ำเสีย ระเบิดภูเขา ทำผิดเงื่อนไขสัมปทาน สมมติให้ 5 ไร่ ก็ไประเบิด 20 ไร่ ก็ขนกันไปใช้ คนให้สัมปทานก็รับเงิน กรณีนี้ผมไม่มีหลักฐานแน่ชัดหรอก แต่ไปดูกับตาแล้วเห็นว่ามาจริง  

ประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. เป็นบทบาทที่ยากไหม

ไม่ยากหรอก แต่อยากได้ความร่วมมือจากกรรมาธิการมากกว่านี้หน่อย 

อย่างที่บอกว่ากรรมาธิการหลายคนไม่เคยทำงานพวกนี้ บางคนเป็นพ่อค้า บางคนเป็นนักธุรกิจ อย่าง คุณสิระ เจนจาคะ ไม่ค่อยมาทำงานนะ ขนาดจะลาออกก็ยังหาเรื่องอีก คนคนนี้ชอบเป็นข่าว 

ผมพูดเลยว่าทำงานกับคุณสิระไม่ได้ ขนาดผมจะสอบสวนเขา ไอ้ตี๋ใส่แว่นยังจะมาห้ามผม บอกว่าถ้าสอบจะดำเนินคดี ผมเลยเขียนหนังสือไปถึง คุณชวน หลีกภัย ว่าเห็นด้วยที่เขาลาออก เพราะคุณสิระไม่มีความรู้ ไม่ค่อยมาทำงาน แล้วก็ฝากบอกพลังประชารัฐด้วยว่าขอคนที่มีความรู้ทางด้านกฎหมายหน่อย เพราะตำแหน่งนี้ต้องนำกฎหมายมาใช้ทำงาน

พลังประชารัฐก็ตอบสนองดีเหลือเกิน ส่งพระเอกหนัง คุณกรุง ศรีวิไล มา กูจะบ้าตาย (หัวเราะ) ถามว่าคุณกรุงดีไหม ก็ดี นิสัยดีมาก ไม่กร่าง มนุษยสัมพันธ์ดี แต่ไม่รู้เรื่อง ทำงานไม่เป็น มันก็เลยมาหนักคนอื่น

กรรมาธิการมี 35 คณะ พรรคการเมืองต้องตระหนักว่า หากจะแต่งตั้งใคร ต้องเลือกคนให้ถูกกับงาน เรียนหนังสือกันมาทั้งนั้น แต่ก็ไม่ยอมทำกัน บริหารกันแค่นี้ยังไม่ได้เลย จะไปบริหารประเทศได้อย่างไร  

คุณมองการบริหารงานของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างไร ถ้าให้ประเมินโดยมีคะแนนเต็มสิบ รัฐบาลนี้จะได้กี่คะแนน

ผมเห็นที่เขาโหวตๆ กัน ไม่รู้เขาใช้อะไรโหวตกัน 8 คะแนนบ้าง 9 คะแนนบ้าง ถ้าถามผม ผมให้แค่ 2-3 คะแนน ไม่ให้ถึง 4-5 คะแนนด้วยซ้ำ

ไม่ใช่อคตินะ ผมถามอย่างแรกก่อน ที่คุณเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี คุณได้รับฉันทานุมัติจากใคร ตอบได้ไหม ไม่ได้หรอก เพราะปล้นเขามา มันเป็นการเข้ามาโดยมิชอบ แล้วจะให้ผมให้คะแนนอะไร เพราะเข้ามาแล้วก็เขียนรัฐธรรมนูญ ให้ ส.ว. 250 คน มาเลือกตัวเอง มีที่ไหน โกงไปตั้ง 250 คน ถามว่าคราวที่แล้วไม่มีคนตรงนี้ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีไหม ก็ไม่ได้เป็น

        

“ถ้าโจรแม่งมาปล้นบ้านเรา เราก็ต้องเป็นขี้ข้ามันเหรอ

ให้มันยึดบ้านเรา อยู่บ้านเราอย่างเท่

แล้วเราต้องไปอยู่ห้องคนใช้

เราต้องยอมรับมันเหรอ ทั้งปล้นทั้งโกงแบบนี้”

 

ต่อมาคือโกหกหลอกลวง จำได้ไหมที่เคยพูดว่า เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน จะคืนความสุขให้ ห่าเหวอะไร กี่ปีแล้ว แบบนี้ถือว่าโกหกไหม ผู้นำที่โกหกใช้ได้เหรอ ผู้นำโกหกหลอกลวงประชาชนแล้วจะให้ประชาชนเชื่อถืออะไร เวลาออกนโยบายอะไร เขาก็สงสัยกันแล้ว มึงโกหกกูหรือเปล่าวะ มันไม่เหลือความเชื่อใจ ก็เพราะนิสัยคุณเป็นแบบนั้น

กฎหมายคุณก็ไม่แน่น เรียนก็ไม่ได้เรียน คุณจะมาบอกว่ารู้กฎหมาย ทำอะไรก็ผิดทั้งนั้น จำได้ไหม คดีของ บอส อยู่วิทยา เป็นข่าวครึกโครมมีการเปลี่ยนความเร็ว มีการทุจริต ตอนนั้นแต่งตั้ง คุณวิชา มหาคุณ เป็นประธานตรวจสอบ คุณวิชาเป็นคนดีนะ เป็นคนมีความรู้ ผมชวนคุณวิชามาแถลงในกรรมาธิการ ผมก็ตั้งประเด็นนี้ เขาก็แถลงหมดว่าเป็นอย่างไร ก็สอดคล้องกับที่ผมสอบปากคำคนอื่นๆ มา แต่พอคุณวิชาเสนอไปยังคุณประยุทธ์ เรื่องก็เงียบ คุณคิดเป็นหรือเปล่าว่าจะทำอะไรหลังจากที่คุณวิชาเสนอ

ถ้าผมเป็นคุณประยุทธ์ หากคุณวิชาเสนอ ผมต้องคิดแล้วว่า หนึ่ง มีการกระทำผิดกฎหมายแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจปัจจุบันที่รับราชการอยู่ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่พาคนไปพบผู้บัญชาการกองพิสูจน์หลักฐานซึ่งมีการเปลี่ยนความเร็วกัน อดีตอัยการและอัยการปัจจุบันที่ยังไม่เกษียณ ที่พาพวกเข้ามาประสาน ผมต้องส่งไป  ป.ป.ช. ให้ดำเนินคดีแล้ว คนเป็นผู้บังคับบัญชาต้องปกครองให้เด็ดขาด ต้องมีการสอบสวนวินัย มีการตั้งกรรมการตรวจสอบ แต่นี่ไม่เคยทำเลย

เรื่องเศรษฐกิจ คุณก็ไม่มีความรู้ แต่ยังตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าเศรษฐกิจอยู่ เชื่อคนนู้นเชื่อคนนี้ กู้เงินมาเอาไปแจกจ่าย เดี๋ยวประเทศก็ไม่มีเงิน ให้คนหยุดงาน ประกาศวันหยุดเยอะๆ มันช่วยอะไรได้ หยุดอะไรกันนักหนา หยุดปกติก็เยอะแล้ว นี่เพิ่มเข้าไปอีก คนไม่ทำงาน ผลผลิตก็ไม่เกิดขึ้น ประชาชนก็ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการทำงานของรัฐ หยุดงานมากๆ โอนที่ดินก็ไม่ได้ เสียภาษีก็ไม่ได้ จะไปทำนู่นทำนี่ก็ไม่ได้ 

ความจริงต้องบริหารเวลาให้ประชาชนเขาทำงานสะดวก สมมติเขาทำงานจันทร์-ศุกร์ ทำไมไม่เพิ่มเวลาทำงานเป็นวันเสาร์ แล้วมีค่าใช้จ่ายพิเศษให้ข้าราชการบริการประชาชน ธนาคารเขายังทำ ทำไมเราไม่ทำ แล้วค่อยไปกำหนดหยุดในวันอื่นให้มันชัดเจน แบบนี้ได้ประโยชน์มากกว่า

ปัญหาอื่นๆ ก็ไม่เคยที่จะแก้ไขได้ ผมเป็นจเรตำรวจแห่งชาติ ไม่ต้องเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรอก บ่อนหมดแล้ว ปอ ประตูน้ำ ติดคุก จำคุกไป 200 กว่าคน ยึดรถ 40 กว่าคัน รัฐมนตรีผมจับไม่รู้ตั้งกี่คน บ่อนลอยฟ้าจับไป 400 หมดเกลี้ยง แล้วทำไมพอผมเกษียณกลับมีขึ้นมาอีก ทั้งที่คุณประยุทธ์ตำแหน่งเหนือกว่าผมตั้งเยอะ

ที่สำคัญคือคุณประยุทธ์ไม่เคยรับผิดอะไรเลย มีบ่อนเยอะแยะมากมายในปัจจุบัน ถามว่าเมื่อปีที่แล้วมีฆ่ากันตายในบ่อน ตำรวจตายด้วย แล้วคุณประยุทธ์ทำอะไรอยู่ 

คุมกระทรวงกลาโหม คุมงานด้านความมั่นคง ทหารวันๆ ไม่มีงานทำก็ต้องไปรักษาชายแดน มีกำลังอยู่ทั่วประเทศ ก็ยังจะปล่อยให้มีขบวนลักลอบคนต่างชาติเข้ามา เช่น ชาวพม่า เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวลือว่าทหารเอารถขนคนเข้ามาในประเทศ แต่คุณประยุทธ์ไม่เคยบอกว่าทหารผิดเลย จะรักษาภาพลักษณ์อย่างเดียว ทหารไม่มีผิด ตำรวจเท่านั้นที่บกพร่อง เวลาตั้งงบประมาณ หน่วยอื่นแทบไม่มีงบประมาณเพียงพอใช้จ่ายในการทำงาน แต่ทหารเพิ่มไปตั้งเท่าไหร่ เพื่อไปซื้อในสิ่งที่ไม่จำเป็น จะไปรบกับใคร เดี๋ยวก็ไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทุกปี 

สิ่งเหล่านี้มันคือหาเงินให้ทหารแดก

ปกติทหารถ้าพูดตรงๆ มันก็อยู่ในกรมกอง จะไปกินอะไร เงินเดือนก็มี เบี้ยเลี้ยงก็มี แต่ก็กินเงินหลวงทั้งนั้น เวลายึดอำนาจที ส่งทหารไปประจำที่นู่นที่นี่ แจกเบี้ยเลี้ยง แจกค่าใช้จ่าย แล้วก็ไม่ได้ไปอยู่จริง มีกองร้อยหนึ่งมาอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้บ้านผม ไปนับหัวแม่งมีอยู่ 10 คน แต่เบิกกันเป็นกองร้อย แล้วก็ไม่ทำอะไร เวลาชักธงชาติยังต้องให้ยามมาทำแทน คิดดูสิ ผมด่ามันอยู่เรื่อย เวลาผมไปวิ่ง 

ตรวจโควิด-19 คนอื่นเขาไม่มีเบี้ยเลี้ยง แต่ทหารได้ค่าเสี่ยงภัย มีชุดป้องกันตัวเต็มที่อีก ไอ้พวกนี้มันกลัวตาย ไม่ใช่ทหารจริงหรอก ใส่ชุดป้องกันเต็มที่ ขณะที่พลเรือน สาธารณสุข ที่ต้องทำหน้าที่ อย่างดีก็มีแค่หน้ากาก แต่ทหารใส่เต็มที่ แถมเอาค่าเสี่ยงภัยอีก 1,500 บาท โกงทุกอย่าง

ทั้งหมดทั้งมวลนี่จะให้เท่าไหร่ดี แค่ 3 คะแนนก็มากพอแล้ว ใครจะให้ถึง 7-8 คะแนน บ้าหรือเปล่า

 

พูดถึงเรื่องบ่อน ฟังดูเป็นกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ คุณบอกว่าภายใต้การดำเนินงานของคุณสามารถแก้ไขปัญหาได้ ต่างจากการทำงานของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอนนั้นคุณใช้มาตรการอย่างไรในการปราบบ่อน

ต้องจริงจัง ไม่รับเงิน ถ้าคุณไม่จริงจัง ไปรับเงิน ไปจับเฉพาะผู้เล่น รุ่งขึ้นมันก็เปิดใหม่ได้ 

เคยได้ยินคำว่า ‘ขอจับ’ ไหม เวลาจับบ่อนการพนันในสมัยก่อน จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลามีข่าวรั่วข่าวดังขึ้นมา จากนั้นผู้บังคับบัญชาก็จะใช้วิธีขอจับกัน คือให้บ่อนส่งนักพนันมาให้ 100 คน ซึ่งพวกนี้ก็เป็นคนประเภทโสตายทั้งนั้น ชีวิตเล่นแต่การพนัน และไอ้พวกนี้ก็รู้ว่าปรับแค่ 2,000 บาท มันก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายมากมายเลย นายบ่อนจ่ายให้ก็เลยยอม

แล้วเวลาจับก็จะส่งนักพนันไปให้ 100 คน พร้อมเงิน 2 แสนบาท มีคนคุมบ่อนไปศาล พอไปถึงก็รับสารภาพ ก็ปรับกันไป คนคุมบ่อนก็จ่ายค่าปรับให้ ไปสังเกตดูได้ ศาลออกใบเสร็จมาแค่ใบเดียว ทั้งที่มีการจับนักการพนันไป 100 คน ปรับ 2,000 ก็ต้องมีใบเสร็จ 100 ใบสิ แต่แบบนี้เจ้าของออกให้ แล้วไม่มีการจับเจ้าของบ่อนด้วย รุ่งขึ้นก็เปิดใหม่ วันหนึ่งรายได้ตั้งหลายล้าน เสียไปแค่ 2 แสนบาท ปัดโธ่เอ๊ย แบบนี้จะหมดได้อย่างไร ต้องเอาจริง ต้องจับเจ้าของบ่อน

นอกจากเรื่องราวในรัฐสภาแล้ว เรื่องราวนอกรัฐสภา โดยเฉพาะการชุมนุมของม็อบคนรุ่นใหม่ คุณมองสถานการณ์อย่างไร

เวลาเขามาชุมนุมกัน อภิปราย หรือมาออกทีวี เขาดูมีความรู้นะ เปรียบเทียบกับผม ตอนนั้นผมเรียนจบมาอายุ 21-22 เป็นร้อยตำรวจตรี ไปอยู่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ปราบผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ วันๆ หน้าที่คือปราบผู้ก่อการร้าย ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในป่าในเขา ทำเพื่อชาติบ้านเมือง ตายก็ตาย เจ็บก็เจ็บ หนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้อ่าน ข่าวสารก็ไม่รู้เรื่อง แม้แต่เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ที่สนามหลวง ผมก็อยู่นาแก มันก็ยังไม่ค่อยได้ยินข่าวถ้าออกจากฐานมาถึงอำเภอ หนังสือพิมพ์หลายวันแล้วก็ไม่มี ก็จะได้อ่านนิดๆ หน่อยๆ เดี๋ยวก็กลับฐานแล้ว ไม่มีข่าวสาร ไม่มือถือ วันนั้นผมอายุ 22 ผมก็ไม่ได้รู้อะไรเลย แม้แต่ข่าวสารในกรุงเทพฯ แล้วข่าวสารต่างประเทศล่ะ ความเจริญไปถึงไหน ผมไม่รู้  

แต่ปัจจุบัน เด็กที่เกิดใหม่ ถ้าเขาขยับเป็น ก็มาเล่นโทรศัพท์ ดูการ์ตูน ตั้งแต่ขวบสองขวบก็เล่นแล้ว ถ้าถามเด็กอายุ 15 เรื่อยขึ้นมาถึงปัจจุบัน เขามีโอกาสรับรู้ข่าวสารบ้านเมืองขนาดไหน เขาอยากรู้อดีตอยากรู้ปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งอนาคต เขาก็ได้รู้นะ เด็กสมัยนี้เขาฉลาดกว่าผมเยอะ ถ้าเทียบตอนอายุ 22 ผมสู้เขาไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมผ่านประสบการณ์มาเยอะ มีพลังมากกว่าเขา มีการติดต่อประสานงาน มีคอนเนกชันกับคนนู้นคนนี้ บางทีเขาแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ผมแก้ได้ 

อย่างลูกหลานบางคนจะปลูกบ้าน จะแต่งงาน จะขอเลขที่บ้าน น้ำไฟก็ไม่ได้ การ์ดเชิญก็ออกแล้ว จะไปแต่งงานแล้วยังบ้านไม่มีเลขที่ เขาก็ไม่มีปัญญาทำ แต่ผมเป็นผู้ใหญ่ก็ออกตัวเลย เฮ้ย อัศวิน (อัศวิน ขวัญเมือง) จัดการหน่อยสิ อัศวินตอนนี้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เคยเป็นลูกน้องผม อัศวินก็สั่งเขตเร่งทำให้เขา เขาจะรีบแต่งงาน เห็นไหม แต่เด็กจะแก้ปัญหาแบบผมได้ไหม ไม่ได้หรอก หรือรัฐมนตรีบางคนเขากลัวผมจะตาย ผมโทร.ไปหาได้ แต่เด็กทำไม่ได้ แต่เขามีความรู้ เมื่อมีความรู้ เขาก็ต้องเกิดความคิด แล้วสมมติเขามีอุดมการณ์ อยากเปลี่ยนแปลง ก็กลายเป็นการต่อสู้เรียกร้องให้สังคมดีขึ้น

ดังนั้น ถ้าถามผม เด็กรุ่นใหม่เป็นยังไง บอกเลยว่าดี แล้วที่เขาเรียกร้องต่างๆ ก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย หนึ่ง คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออก แล้วถ้าเทียบกับคะแนนที่ประเมินเมื่อกี้ ผมคงต้องบอกว่าออกไปจะดีกว่า สอง ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ สาม ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เขาไม่ได้บอกล้มเลิกสถาบันฯ นะ เขาไม่ได้บอกว่าต่อไปนี้ไม่ต้องมีแล้วสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เลือกประธานาธิบดีแทน เขาไม่ได้บอกนะ ที่เขาบอกคือปฏิรูป คือทำให้ดีขึ้น 

ผมไม่เห็นข้อเรียกร้องของเขาจะเสียหายเลย แต่คุณก็พยายามจะมาเบี่ยงเบน หนึ่ง ลาออกก็ไม่ลาออก สอง แก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่แก้ เพราะเขาเขียนมาเองจะแก้ทำไม พอเด็กเรียกร้องกันมากๆ ก็มีการต่อสู้ ฉีดน้ำสกัดกั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่ควรทำ ไม่ควรจะต้องมารุนแรงกับเขา ยอมรับฟังบ้างแล้วแก้ไข ไม่ต้องถึงขนาดไปจัดม็อบเสื้อเหลืองมาต่อต้านเขา อย่าพูดนะว่าทหารไม่ได้จัด มีวันหนึ่งผมจะเข้ารัฐสภา ม็อบเด็กมาหน้ารัฐสภา ผมก็เลยเลี้ยวอ้อมไปเข้าค่ายทหารเพื่อออกอีกด้าน เข้าค่ายทหาร เห็นทหารใส่เสื้อเหลืองหมดเลย เพื่อมาร่วมต่อต้านม็อบเด็ก

ผมอยากให้ คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ลองหันมามองตัวเอง รู้จักตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้ อย่าคิดว่า ถ้ากูไม่อยู่ ประเทศไทยอยู่ไม่ได้ คุณคิดขนาดนั้นเชียวเหรอ ไม่มีคนดีในประเทศไทยเหลือแล้วเหรอ

ม็อบทุกวันนี้เขามีแนวคิดที่ดี แต่จะเห็นว่าแกนนำก็ยังโดนจับ โดนฉีดน้ำ โดนสกัดกั้น คุณมีคำแนะนำไหม หรือข้อพึงระวังไหม ว่าเขาควรจะเตรียมตัว หรือปรับเปลี่ยนยุทธวิธีอย่างไร

ไม่มีอะไรจะแนะนำ เขาก็ชุมนุมโดยสงบอยู่แล้ว ต้องบอกฝั่งรัฐบาลที่พยายามกระทำต่อพวกเขาว่ามันไม่ถูกต้อง เขามาไล่คุณประยุทธ์แสดงว่าเป็นคู่กรณีกับเขา คุณประยุทธ์ในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารต้องหาทางแก้ไข การมาตั้งข้อหาเขาอย่างนั้นอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง แจ้งจับตามมาตรา 116 บ้าง มาตรา 112 บ้าง 

คุณเคยนำเสนอการแก้ไขมาตรา 112 ให้แยกการดูหมิ่นออกจากอาฆาตมาดร้าย ช่วยอธิบายแนวคิดนี้ให้ชัดเจนขึ้นได้ไหม

มันเกิดขึ้นเพราะสถานการณ์ปัจจุบัน เด็กเขาไม่ได้มีพฤติกรรมหมิ่นอะไรเลย ตำรวจพวกนี้ก็เอาใจผู้บังคับบัญชากันทั้งนั้น มันก็ยัดข้อหา เด็กก็ต้องไปสู้คดี ต้องไปประกันตัว แล้วก็ไม่รู้จะออกอย่างไร เขาไม่มีประสบการณ์ ก็ต้องสู้กันไป 

ดังนั้น ถ้าไม่มีการแก้ไขกฎหมาย เกิดถูกฟ้องไปจริงๆ อัยการจะเป็นอย่างไร จะเป็นเหมือนตำรวจหรือเปล่า จะเอาใจผู้มีอำนาจเหมือนกันหรือเปล่า ยิ่งช่วงหลังคุณประยุทธ์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทำอะไรก็ไม่ผิด อยู่บ้านพักหลวงก็ไม่ผิด เอาใจกันไปหรือเปล่า แล้วถ้าไปถึงศาลล่ะ จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้

ดังนั้น ผมก็รู้สึกห่วงเด็กเหมือนกัน ถ้าถูกลงโทษ อย่างต่ำก็ 3 ปี ผมก็เลยมีแนวคิดที่จะขอแก้ไขประมวลกฎหมายมาตรา 112 แยกหมิ่นประมาทกับอาฆาตมาดร้ายออกจากกัน ก็ปล่อยอาฆาตมาดร้ายไว้เช่นเดิม แต่ดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทให้แยกออกมา ตอนนี้ก็ขอมติพรรคไปแล้ว เพิ่งประชุมเมื่อต้นเดือนว่าจะขอแก้ไข แล้วไปทำร่าง ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ ไม่รู้ ฝ่ายรัฐบาลจะยอมหรือไม่ยอม ก็มือเขามีมากกว่า แต่ก็จะลองทำให้

ผมเขียนร่างไปว่า ถ้าใครหมิ่นพระมหากษัตริย์ก็อาจจะโดนโทษจำคุก 1 ถึง 3 ปี คือมันยังจำเป็นที่ต้องมี เพราะว่าบุคคลธรรมดายังได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ใครไปดูหมิ่นใครก็ถูกจำคุกไม่เกิน 1 ปี แล้วพระมหากษัตริย์เราจะไม่มีกฎหมายปกป้องท่านบ้างเลยเหรอ จะบอกเลิกเลย ไม่ได้ พระมหากษัตริย์ต้องได้รับการดูแล ต้องมีกฎหมายปกป้องท่านเหมือนกัน แต่ว่าอย่าให้มันเลยเถิดถึงขนาดว่าไปอยู่ในหมวดเดียวกับลอบปลงพระชนม์ ประทุษร้าย อาฆาตมาดร้าย มันคนละเรื่องกัน ดูหมิ่นมันแค่คำพูดเท่านั้นเอง  

เคยได้ยินผู้ชุมนุมพูดว่า อยากให้พรรคฝ่ายค้านรับฟังข้อเสนอเขา และนำประเด็นเหล่านี้ไปสู้ในรัฐสภามากขึ้น คุณมองว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านไหมที่ต้องฟังเสียงเขาและช่วยต่อสู้

ก็ถูกต้องแล้ว เมื่อเขาสู้ เราในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็คือผู้แทนของเขา ทั้งม็อบหรือไม่ใช่ม็อบ เราก็ต้องดูเรื่องต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวง ไปช่วยแก้ไขกันในสภา ส.ส. มีหน้าที่ในสภาไม่ใช่นอกสภา ที่อยู่กันนอกสภานั่นทำผิดทั้งนั้น อย่างบางคนใส่เสื้อเหลืองไปอยู่กับม็อบเสื้อเหลือง บ้าหรือเปล่า หรือบางทีอีกฝ่ายก็ไปร่วมชุมนุมกับเด็ก ผมว่าก็ไม่ค่อยถูก

เราเป็น ส.ส. หน้าที่หลักเราคือการประชุมสภา รับเรื่องของเขามาช่วยแก้ไข แล้วฟังว่าเด็กต้องการอะไร ถูกผิดอย่างไรก็มาช่วยแก้ไข ที่ผ่านมาก็แก้นะ แต่เด็กอาจจะไม่รู้หรือเปล่า อย่างพรรคผมอาจจะไม่ได้ออกไปร่วมชุมนุมกับเขา เพราะเราถือว่าเรามีหน้าที่ในสภา แต่เรารับเรื่องทั้งหมดของเขามา 

จะสังเกตเห็นว่า ตอนร่างรัฐธรรมนูญของไอลอว์ยังไม่เข้ามา มีแต่ร่างของรัฐบาล 1 ร่าง ร่างของฝ่ายค้าน 5 ร่าง ไปเปิดเทปฟังเลย ผมอภิปรายไม่รับทั้งสองร่าง เพราะว่าร่างของรัฐบาลก็ดี ร่างของฝ่ายค้านก็ดี เป็นร่างที่ ส.ส. จัดทำขึ้นมา ถึงแม้ ส.ส. จะเป็นตัวแทนของประชาชนก็ตาม แต่เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ ต้องได้รับมอบอำนาจจากประชาชน นี่คุณร่างกันขึ้นมา ผมอ่านดูแล้ว คุณก็ทำเพื่อพวกคุณทั้งนั้น ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ ตอนนั้นร่างไอลอว์ยังอยู่ข้างนอก ดังนั้น ไม่ควรเอาร่างนี้ แต่ควรเอาร่างของประชาชนที่เขากำลังล่ารายชื่อ เห็นบอกได้ครบแสนแล้วเอาเข้ามาพิจารณาเป็นหลัก 

พอร่างไอลอว์เข้ามา ผมก็อภิปรายแล้วลงมติไม่เอาสองอันนั้น ต้องเอาร่างไอลอว์เป็นหลัก ถ้าผมมีมือห้าร้อยมือ ผมจะยกให้ทั้งหมด แต่นี่ผมมีมือแค่มือเดียว พรรคผมมีแค่สิบเสียงก็ต้องแพ้เขา 

สุดท้ายผมมองว่าหน้าที่ของ ส.ส. ต้องนำข้อเท็จจริงทั้งหมดเข้าสภาเพื่อหาทางแก้ไข รัฐบาล คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา จะดีจะเลวอย่างไร ก็ต้องหารือกัน ไม่ใช่เพิกเฉยเสียงประชาชนแบบนี้

Tags: , ,