หากย้อนกลับไปในวันที่ 8 มีนาคม 1917 หญิงกล้าจำนวนมากในโรงงานเย็บผ้าได้สละเข็ม ด้ายและลุกออกจากจักร เพื่อประท้วงเรียกร้องขนมปังจากระบอบซาร์ (Tsarism) แห่งรัสเซียในปี ความกล้าหาญของหญิงรัสเซียในวันนั้นถูกจดจำและขับขาน เมื่อผู้หญิงมิใช่ช้างเท้าหลัง แต่กลับเป็นพลังมหาศาลที่ผลักสังคมไปข้างหน้า กระทั่งวันดังกล่าวได้กลายเป็น ‘วันสตรีสากล’ ตั้งแต่ปี 1921 จนถึงปัจจุบัน

สำหรับอินเดียนั้น เรื่องผู้หญิงในเชิงวัฒนธรรมมีความซับซ้อนมากมาตั้งแต่โบราณ อย่างที่เคยเล่ามาแล้วว่า ในความคิดของชาวอินเดียให้ความสำคัญกับทุกเพศ เพราะพลังฝ่ายหญิงและฝ่ายชายมีส่วนร่วมกันสร้างจักรวาลนี้ให้เคลื่อนไป

เพื่อสรรเสริญความเป็นหญิง คอลัมน์ Indianiceation สัปดาห์นี้จึงอยากชวนย้อนเวลาไปมองพลังหญิงในวัฒนธรรมอินเดียผ่านเจ้าแม่องค์หนึ่ง ประกอบกับหลักฐานมุมมองโบราณคดีในประเทศอินเดีย เพื่อระลึกถึง ‘อิถีพละ’ (พลังหญิง) ว่าสำคัญเช่นใดในโลกทัศน์ของชาวอนุทวีป

ลัชชาเคารี: เทวีแห่งบรรพกาล

การนับถืออวัยวะเพศทั้งของหญิงและชายปรากฏแพร่หลายทั่วไปทั้งอนุทวีป อวัยวะเพศจึงเป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมและเป็นพื้นฐานของความเชื่อในหลายเรื่อง ก่อนค่อยๆ พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามยุค พระศิวะทรงมีลึงค์ที่ชี้ขึ้นฟ้า ตั้งผงาดค้ำโลกเป็นสัญลักษณ์สะท้อนอำนาจของพระองค์ในฐานะพระผู้สร้าง หากชายใดมีอวัยวะเพศที่ไม่เเข็งตัวเขาจะมิสามารถครอบครองอำนาจแห่งการสร้างชีวิตได้ ในเมื่อเจ้าโลกแท่งเขื่องคือตัวแทนอำนาจการสร้างฝ่ายชาย ฉันใดก็ฉันนั้นอำนาจการให้กำเนิดในฝ่ายหญิงก็ย่อมมีที่มาจากเนินสวรรค์แห่งการให้กำเนิด สรรพชีวิตที่ผุดออกจากโยนีของแม่ย่อมมีชีวิตบนโลก โยนีจึงเป็นตัวแทนอำนาจฝ่ายผู้สร้างของแม่ไปโดยปริยาย 

ความต่างอย่างหนึ่งของลึงค์กับโยนีคือ โยนีเห็นองค์ประกอบได้ยาก เนื่องจากเป็นอวัยวะที่ปิดอยู่ แต่ลึงค์นั้นพร้อมแสดงตัวตนได้เสมอจึงเห็นง่าย ความเห็นยากง่ายที่ต่างกันจึงนำไปสู่การแสดงออกเพื่อต่อรองอำนาจแห่งการเกิดที่ต่างไป กล่าวคือพระศิวะทรงแสดงตนชัดเจนผ่านลึงค์ที่ตั้งขึ้น (อุรธวลึงค์) ที่ปรากฏเห็นได้ทั้งลึงค์และประติมากรรมพระศิวะ แต่เทวีที่ถือครองอำนาจฝ่ายเกิดอีกส่วนกลับไม่แสดงขุมอำนาจแห่งตน แต่ใช้ชื่อหรือสีสันมาเป็นตัวเเทนอำนาจในส่วนนี้ เช่น คำว่า ‘ภคะ’ ใน ‘ภควาน’ ที่แปลว่าเทวดาหรือเทพเจ้า มีความหมายว่า ช่องคลอด (โยนี), สมบัติ หรือขุมทรัพย์ ตรงนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า อำนาจฝ่ายหญิงครอบครองพื้นที่การสร้างอยู่ เทพเจ้าผู้ให้กำเนิดไม่ว่าชาย (ภควาน) หรือหญิง (ภควตี) ย่อมมีส่วนหนึ่งส่วนใดเกี่ยวข้องกับโยนี อันนำไปสู่ทรัพย์ (การเกิด) นั่นเอง

แล้วด้วยอำนาจมากมายขนาดนั้นเหตุใดโยนีจึงถูกคลุมล่ะ

จากหลักฐานทางโบราณคดีชี้ว่า แต่เดิมในวัฒนธรรมตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์จนกระทั่งวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ อำนาจฝ่ายหญิงทรงพลังเป็นอย่างมาก หลักฐานหนึ่งที่ตกค้างมาจนปัจจุบันของอำนาจโบราณแห่งภคะนี้ คือเทวีนั่งแหกโชว์ของลับอย่างเปิดเผยที่เรียกกันว่า ‘เจ้าแม่ลัชชาเคารี’ (Lajja Gauri) ซึ่งคำว่า ‘ลัชชะ’ แปลว่า ถ่อมตน ส่วน ‘เคารี’ แปลว่า เจ้าแม่ 

เทวรูปเจ้าแม่ลัชชาเคารี (ที่มา: The Met Museum)

ทว่า รามาจัรทรา ซี เธเร (Ramachandra C. Dhere) นักปราชญ์ชาวมราฐี ผู้เขียนและแปลตำนานท้องถิ่นในรัฐมหาราษฎรจำนวนมาก เสนอแย้งว่า คำว่า ลัชชา น่าจะมาจากคำว่า ‘ลันชิกา’ ที่แปลว่าเปลือย โดยเขามองว่า คำนี้ได้พัฒนามาเป็นคำว่า ‘ลันชะ’ ซึ่งเป็นชื่อเรียกแบบท้องถิ่นของแถบตอนเหนือของรัฐมหาราษฎร ดังนั้นเขาจึงให้เหตุผลว่า เจ้าแม่น่าจะมีถิ่นฐานเดิมอยู่ในแถบนี้ 

ในเชิงประติมานวิทยา เจ้าแม่ลัชชาเคารีมีลักษณะเป็นเทวสตรีเปลือย นั่งในท่าแหกขาเห็นอวัยวะเพศได้อย่างชัดเจน มี 2 กรซึ่งมักถือดอกบัวข้างละดอก และพระเศียรมักแสดงเป็นรูปดอกบัว เมื่อพิจารณาดูแล้วสัญลักษณ์มากมายนี้สามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงการนับถืออวัยวะเพศหญิง ที่พบได้ทั่วไปในอินเดียตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์

ในอีกทางหนึ่งยังสื่อความได้ว่า พระนางคือแผ่นดินที่ให้กำเนิดชีวิต ทรงเป็นที่มาแห่งความอุดมสมบูรณ์ทั้งหลายดังแผ่นดิน-แผ่นน้ำ โดยสำหรับท่าแหกขานั้น มีการพบหลักฐานตราประทับในวัฒนธรรมสินธุที่แสดงรูปเจ้าแม่นั่งแหกขาแล้วมีต้นไม้เกิดออกมาจากอวัยวะเพศ ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อกันว่า ท่านี้คือท่าคลอดบุตร ท่าที่ทรงพลังที่สุดของฝ่ายแม่ในฐานะผู้สร้าง การสร้างจะไม่สมบูรณ์เลย หากไม่มีการแหกขาเพื่อคลอด ในทางเดียวกันลึงค์ที่แข็งตัวจึงเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังของอำนาจการสร้างฝ่ายชาย

ตราประทับในวัฒนธรรมสินธุแสดงรูปเจ้าแม่นั่งแหกขาให้กำเนิดต้นไม้จากหว่างขา (ที่มา: เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว)

ในกรณีดอกบัวที่สื่อถึงแผ่นดิน-แผ่นน้ำ ทำให้ลัชชาเคารีจึงอาจจะเป็นเทพเจ้าท้องถิ่นที่มีลักษณะเช่นเดียวกับพระแม่ธรณี แต่ก็มีการเสนอว่า ดอกบัวในอีกทางหนึ่งอาจจะเป็นสัญลักษณ์แทน ‘โยนี’ ของสาวแรกรุ่นที่เปี่ยมด้วยอำนาจแห่งการสร้าง ผลิบานพร้อมสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้ คารอล อาร์. โบลอน (Carol R. Bolon) ศาสตราจารย์ด้านศิลปะอินเดียประจำ University of Chicago กล่าวว่า แท้จริงแล้วพระนางมีรูปแบบมากกว่านี้ บางครั้งแสดงเศียรอย่างมนุษย์ บางครั้งทรงดอกบัวในพระหัตถ์ทั้ง 2 ข้าง คล้ายพระลักษมีเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ลักษณะทางประติมานนี้นำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่า พระนางอาจเป็นต้นแบบหนึ่งของพระลักษมีหรือไม่ เพียงแต่เปลี่ยนความอุดมสมบูรณ์ที่แสดงออกให้เรียบร้อยขึ้นในสายตาแบบศาสนาฝ่ายชาย หรือพูดง่ายๆ คือ ‘จับโยนีมาสวมสาหรี่’ นั่นเอง

ท่าแหกขาที่ไม่เคยจางหาย

อย่างที่บอกไปข้างต้น ท่าแหกขาของเจ้าแม่สัมพันธ์กับเพศสัมพันธ์และการคลอดบุตร เป็นที่น่าสนใจมากว่า เราพบหลักฐานของพระนางที่เก่าที่สุดในลักษณะเจ้าแม่ถือดอกบัว 2 ดอก นั่งในท่าแหกขา ที่แหล่งโบราณคดีพุทธศาสนาบริเวณรั้ว (เวทิกา) ล้อมสถูปสาญจีและภราหุต รัฐมัธยประเทศ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 3 กระทั่งมีการสร้างรูปเคารพของพระนางเป็นประติมากรรมชัดเจนในพุทธศตวรรษที่ 9 และยังคงมีการสร้างสืบมาเสมอ บ้างนำเอาไปประดับฐานเสา ฐานสถาปัตยกรรม บ้างเป็นเครื่องรางขนาดเล็กหรือเป็นตราประทับบนเหรียญเงิน โดยเฉพาะในบริเวณรัฐอานธรประเทศ มัธยมประเทศ คุชราต และแถบที่ราบสูงเดคข่าน (Deccan Plateau) 

ช่วงเวลาพุทธศตวรรษที่ 9 นี้นับว่าน่าสนใจ เพราะสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์อินเดียจากจักรวรรดิขนาดใหญ่ไปสู่รัฐเล็ก-รัฐน้อยจำนวนมาก ที่ปกครองทั่วทั้งอนุทวีป ฉะนั้นการพบการนำรูปพระนางไปประดับตามเทวาลัยต่างๆ หรือบนเหรียญจึงเปรียบเสมือนการดึงเจ้าแม่จากโลกโบราณองค์นี้ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐแบบฮินดูที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังการล่มลงของจักรวรรดิคุปตะ (Gupta Empire) หรือในอีกมุมหนึ่งเราอาจจะมองได้ว่า เป็นความพยายามของรัฐฮินดูที่จะประนีประนอมกับศาสนาดั้งเดิมก็ได้ 

สุดท้าย พระนางได้รับการนับถือในฐานะส่วนหนึ่งของ ‘เทวีอทิติ’ เจ้าแม่แห่งท้องฟ้า ทรงเป็นรูปปรากฏของอทิติผู้เป็นอนังคะ (ไร้รูป) ประเด็นส่วนนี้หมายความว่า พระนางคือฟ้า คือฝน คือความอุดมสมบูรณ์ ถ้าพูดเช่นนี้คงไม่ต้องอธิบายว่า ฝนนั้นคือน้ำอะไร ส่วนนี้จึงอาจอธิบายได้ว่า แม้เข้าสู่ยุคพระเวทหรือหลังการรับวัฒนธรรมอารยันแล้ว พระนางก็ยังคงครองพื้นที่ด้านความอุดมสมบูรณ์อยู่เช่นเก่า แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ดึงเอาอำนาจออกจากร่างเปลือยเปล่า สันนิษฐานว่า เกิดขึ้นหลังความคิดเรื่องการฝึกฝนจิตใจ ที่เน้นการยกเลิกการร่วมเพศ เมื่อการร่วมเพศไม่เกิด โยนีก็ถูกปิดคลุม ผู้คนจึงมองไม่เห็น ต่างจากลึงค์แม้จะถูกคลุมด้วยผ้าก็ยังสามารถมองเห็นได้ อำนาจการสร้างจึงเลื่อนไปสู่ลึงค์มากขึ้น

อีกสิ่งหนึ่งคือ ลึงค์นั้นสามารถกระตุ้นได้ด้วยเจ้าของ แต่โยนีมีข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือรอบเดือน เมื่อมีรอบเดือนการควบคุมโยนีก็จะยากขึ้น ศาสนาฝ่ายบุรุษจึงใช้ส่วนนี้มาอ้างความเหนือกว่าในเรื่องของการไปสู่ทางหลุดพ้น แต่ถึงกระนั้นโยนีกับลึงค์ก็ยังคงครองพื้นที่ในศาสนาและมีอำนาจในฐานะสัญลักษณ์แห่งการเกิดอยู่ดังเดิม พระนางลัชชาเคารีก็ยังคงได้รับการเคารพ แม้บทบาทอาจจะลดลงบ้าง

เพราะแท้จริงนั้นเทวีไม่เคยตาย และโยนีก็ไม่เคยร้างการให้กำเนิด 

ที่มาข้อมูล

Bolon, Carol R. (19970). Forms of the Goddess Lajja Gauri in Indian Art. New Delhi: Motilal banarsidass Publishers. 

Nasim Khan, M. (2002). “Lajja Gauri Seals and related antiquities from Kashmir Smast, Gandhara” in South Asian studies, British Academy, London. 

เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว. (2553). แกะรอยพระลักษมี. กรุงเทพฯ: มิวเซียมเพรส.

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, สัมภาษณ์, 2560.

Tags: , , , , ,