*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์
มันคือเรื่องของครูธงชัย ครูพละโรงเรียนบ้านบากที่จับปลาในห้วยอยู่ดีๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากท่านผู้อำนวยการมาถามว่าที่เคยเป็นนักกีฬาทีมชาตินี่เล่นอะไร ครูตอบว่าเล่นฮอกกี้ ผอ.ถึงกับตะลึงเพราะเข้าใจว่าเป็นรักบี้ ไปสังญิงสัญญากับผู้ใหญ่แล้วว่าจะฟอร์มทีมรักบี้ ครูธงชัยที่เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องหาเด็กสิบสองคนมาฟอร์มทีมรักบี้ ทั้งที่ตัวเองก็เล่นไม่เป็น เงินก็ไม่มีแต่ ผอ.ก็บอกว่าเรื่องเงินไม่ต้องห่วงครูก็ออกไปก่อนแล้วกัน
เด็กอายุสิบสองสิบสามของโรงเรียนบ้านบาก พอจะออกปากแซวได้ว่า ‘ตัวเล็กเท่าลูกหมา’ เป็นลูกชาวบ้านจนๆ ในหมู่บ้าน ทั้งลูกชาวสวนยาง ลูกชาวนา ลูกพนักงานเสิร์ฟ หรือลูกแรงงาน ลูกเจ้าของร้านชำ ทุกคนมีชีวิตยากๆ อยู่แล้วในวันหยุดฤดูร้อนเพราะต่างมีงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่ก็อยากมาสนุกกับเพื่อนๆ ในทีมรักบี้ของครูธงชัย ที่ต้องไถแปลงนามาตั้งสนาม พวกเด็กหญิงก็ขี่จักรยานมาแซวเพื่อนซ้อม และช่วยนั่นนี่ ทีมรักบี้ที่ไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์ลุ่มๆ ดอนๆ ก็เริ่มต้นขึ้น
หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคชีวิตกันมากมาย ทีมรักบี้บ้านบากก็เดินทางไปแข่งคัดตัวสายอีสาน ด้วยความมุ่งมั่นและโชค พวกเขาก็ชนะดิวิชั่นสองมาได้
ทุกสิ่งก็เหมือนจะเป็นเพียงเรื่องสนุกครั้งคราวของเด็กและครูผู้ยากจน จนเมื่อทีมบ้านบากได้โอกาสให้เข้าไปแข่งในกรุงเทพฯ ครูธงชัยต้องหาเงินทั้งค่าเดินทางค่าชุดเพื่อพาเด็กๆ ไปแข่งแม้มันแทบจะไม่มีทางที่จะชนะเลย แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นพอที่จะไปลอง แม้จะต้องเดินสายขอสปอนเซอร์ หรือขุดมันขายหรือแม้แต่ ผอ.ต้องขโมยทองเมียมาช่วยก็ตาม
นี่คือพลอตคร่าวๆ ของหนังใหม่บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เขาอาจจะทำหนังดีบ้างแย่บ้างสลับกันไป แต่ก็นับว่าเป็นคนทำหนังที่มีผลงานต่อเนื่องคนหนึ่ง เขาทำหนังเด็กมาแล้วหลายเรื่องตั้งแต่ไตรภาคปัญญา เรณู หรือกรรไกร ไข่ ผ้าไหม ฮักบี้ บ้านบากก็นับได้ว่าเป็นหนังเด็กที่อยู่ในระดับน่าพอใจไม่แพ้กับภาคแรกของปัญญา เรณู
จะว่าไปรูปทรงของหนังทำให้นึกถึงหนังคนจนผู้ยิ่งใหญ่ของบุญส่ง นาคภู่ หนังของบุญส่งมักเอาญาติพี่น้องมาเล่น อาศัยรูปลักษณ์ภายนอกของนักแสดงก็สามารถจะบอกเล่าความยากแค้นลำเค็ญซึ่งปรากฏอยู่บนผิวกร้านร่างแกร็น ทุกอย่างสามารถฉายอยู่บนพื้นผิวตัวละครโดยไม่จำเป็นต้องบอกเล่าเรื่องราวแต่หนหลัง ฮักบี้ บ้านบากคัดเลือกนักแสดงจากเด็กในพื้นที่ ตัวครูธงชัยก็เอาอดีตนักรักบี้ทีมบ้านบากตัวจริงมาเล่น ร่องรอยของความจริงปรากฏอยูแล้วบนพื้นผิวของตัวละคร เด็กพื้นเมืองตัวเล็กผอมแกร็น ที่เล่นเป็นเด็กตัวเอง ในขณะเดียวกันการใช้คนธรรมดาที่ไม่ใช่นักแสดงมาเล่นก็ให้ภาพความขัดเขินประดักประเดิดซื่อๆ ต่อหน้ากล้อง การเล่นแบบหน้าตายเขินกล้องเป็นทั้งข้อจำกัดและเสน่ห์ของหนังไปอย่างน่ารักน่าใคร่ อันที่จริงมันชวนให้นึกถึงคนเล็กคนน้อยหน้าตายในหนังตลกที่ว่าด้วยคนยากคนจนเสมอในหนังของ Aki Kaurismaki ความทึ่มทื่อไม่แสดงความรู้สึกของตัวละครของ Kaurismaki มักให้ภาพความมั่นคงว่าในเรื่องราวที่ยากลำบากจนแทบจะไร้ทางออกนี่ ตัวละครที่ไม่แสดงความรู้สึกจะยืนหยัดก้าวข้ามไปได้โดยไม่พังลงไป
ด้วยโครงสร้างแบบหนังกีฬา underdog มันเป็นเรื่องง่ายที่มอบความเพลิดเพลินให้กับผู้ชมในการเอาใจช่วยเด็กน้อยบ้านบากให้ประสบความสำเร็จ โครงสร้างของเรื่องและบทอาจจะคาดเดาได้ไม่ยาก แต่ระหว่างทาง รายละเอียดความเป็น underdog ของตัวละครกลับชักนำภาพฉายความเหลื่อมล้ำอันจำเพาะของสังคมนี้ออกมาได้อย่างน่าสนใจมากๆ
หนัง underdog มักขายคุณค่าของความฝัน การมีความมุ่งมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้ว่าจะไม่พร้อมแต่ใจมันรัก ก็จะสู้เพื่อสิ่งที่ฝัน หนัง underdog มักยึดมั่นในคุณค่าของความฝัน และความเชื่อที่ว่า ‘คนเราเท่ากัน’ ขอเพียงแค่มุ่งมั่นพอทุกอย่างเป็นไปได้ ตัวหนังมีหน้าที่ปลอบประโลมนักฝันว่ามีทางที่ความฝันของคุณจะเป็นไปได้ถ้าหากคุณจริงจังกับมัน
แต่ในฉากหนึ่งของฮักบี้บ้านบาก หลังจากตระเวนไปทั่ว ครูธงชัยแวะไปขอยืมเงินจากน้องสาวที่ขายส้มตำปิ้งไก่ น้องสาวก็ถามเอาตามตรงว่าเอาเงินไปทำนี่น่ะ แล้วมันได้อะไรขึ้นมา และหนังจบฉากนี้ด้วยการที่ครูธงชัยเองก็ไม่มีคำตอบให้น้องสาวหรือตัวเองเช่นกัน ราวกับว่าเขาแค่ต้องทำมัน ปรับประยุกต์จากกำลังที่มีทำให้ดีที่สุดโดยไม่มีความฝันใดๆ ใหญ่ไปกว่านั้น
กลับไปที่จุดตั้งต้นของเรื่อง ทีมรักบี้บ้านบาก เป็นผลพวงของความโง่เง่าของระบบราชการ top down ที่ผู้ใหญ่สั่งมา ในโลกที่เด็กๆ ต้องทำทุกอย่างเพื่อมีชีวิตรอด ไม่ใช่เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ อยู่มาวันหนึ่งก็มีคำสั่งผ่านระบบการศึกษาให้พวกเขาเล่นกีฬาที่ไม่รู้จัก โดยไม่มีการสนับสนุน หรือแม้แต่เปิดโอกาสให้ตั้งคำถาม การบริหารรวมศูนย์นั้นเปิดโอกาสให้ศูนย์กลางกดขี่คนอื่นได้ตามชอบใจ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความฝันใฝ่ มันเกิดขึ้นจากการบังคับ และนั่นคือวิธีที่ระบบราชการในประเทศนี้บริหารผู้คน มันจึงขัดแย้งกับความใฝ่ฝันแบบ underdog เสียตั้งแต่ต้นเรื่อง
แต่ทำไมทีมจึงก่อตั้งขึ้นมาได้ เพราะโดยไม่ได้ตั้งใจ หากความตั้งใจของครูธงชัยนี้เองที่ทำให้เด็กๆ ยากจนรู้สึกว่าตัวเองได้สัมผัสความใฝ่ฝันบางอย่างขึ้นมาบ้าง ส่วนที่ดีที่สุดของหนังคือการพาผู้ชมไปพบกับปัญหาของเด็กในทีมแต่ละคน และวิธีรับมือกับปัญหาแบบนิ่งเงียบ ในขณะที่หนัง underdog ตัวละครโดยมากอาจต้องก้าวข้ามความกลัวของตัวเองในเรื่องที่ส่วนตัวมากๆ หรือปัญหาพ่อแม่ไม่เข้าใจ หรือปัญหาของตัวละครหลักกับคนรัก แต่สิ่งที่เด็กๆ ในเรื่องนี้ต้องผเชิญนั้นหนักหนากว่าหลายเท่า มีตั้งแต่การต้องสึกเณรไปเล่นรักบี้ การที่เด็กต้องไปช่วยพ่อแม่ทำนา การต้องช่วยที่บ้านขายของ ไปจนถึงการที่ต้องเก็บขี้ยางซักผ้าดูแลแม่ที่ป่วย จนถ้าจะไปเล่นรักบี้ก็ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จเสียก่อน หนักสุดคือหนึ่งในตัวเอกพ่อติดยาบ้าจับน้องเป็นตัวประกัน
แต่ดูเหมือนนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ของพวกเด็กๆ พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ราวกับว่าความยากลำบากคือลมหายใจ ก็แค่เดินหน้าทำไปเพื่อที่จะได้ไปทำสิ่งที่อยากทำ ชีวิตเด็กๆ ชาวบ้านบากจึงเป็นชีวิตที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ฝัน เพราะแค่การเอาชีวิตรอดต่อไปได้ก็ยากยิ่ง ความเดินหน้าลุยของเด็กที่เป็นตุ๊ดเปิดเผย ตุ๊ดไม่เปิดเผย เด็กที่ไม่มีครอบครัว เด็กที่ต้องรับผิดชอบเกินตัว เด็กที่เกื้อกูลกันเพราะความไม่มีพอๆ กัน พวกเขาเผชิญกับปัญหาตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมาและใช้กำลังกายใจในการแก้ปัญหา เพราะไม่มีต้นทุนในทางใดหลงเหลือ
สำหรับพวกเขาความตั้งใจของครูธงชัย ซึ่งแทบไม่มีความหมายใดๆ เลยนอกจากถูกบังคับให้ทำจึงเป็นเหมือนแสงเรืองเล็กน้อยในชีวิต การเล่นรักบี้ของพวกเขาไม่อาจนำไปสู่สิ่งใดนอกจากการได้ฝันในช่วงฤดูร้อนหนึ่ง ไม่มีทางที่เด็กๆ จะไปได้ไกลนัก (เด็กคนเดียวที่มุ่งมั่นและอาจจะเป็นนักกีฬาได้จริงๆ คือทูล เด็กที่ครูธงชัยไปหามา และไม่อาจเข้ากับความขาดพร่องของทีมบ้านบากได้ ทูลมุ่งมั่นในการเอาชนะ มีความคิดเชิงยุทธศาสตร์และความทะเยอทะยาน และแน่นอนเขาไม่ได้อยู่ในทีมในที่สุด) มันไม่ใช่เรื่องของนักรักบี้ที่มีพรสวรรค์แต่ถูกกีดกันจากสังคม พวกเขาเป็นเด็กธรรมดาๆ ที่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ได้มีความรู้สึกว่ากำลังทำบางสิ่งที่มีความหมายมากกว่าการเป็นเด็กในหมู่บ้านที่เอาตัวรอดไปวันๆ ที่เจ็บปวดคือจุดสูงสุดของหนัง underdog อาจอยู่ที่ชัยชนะ แต่สำหรับเด็กๆ ดูเหมือนจุดสูงสุดของชีวิตพวกเขาคือการได้กินเอ็มเคสักครั้งในชีวิต ซึ่งมันเจ็บปวดเพราะเด็กคนหนึ่งในทีมมีแม่ทำงานเอ็มเค ครั้งต้องตากหน้าไปขอเงินแม่ที่กำลังเต้นและยังไม่มีเงินเดือนจะให้ พวกเขาไม่ได้ตีหกชกหัวที่ไม่ได้เงิน แค่พูดลอยๆ ว่าฝากไว้ก่อนเถอะเอ็มเค
หนังมีประเด็นเล็กๆ น่ารักดีเกี่ยวกับการเปิดใจยอมรับ LGBT เมื่อเด็กในกลุ่มคนหนึ่งเป็นกะเทยแบบ come out จนถูกวางตัวในฐานะคนนอกทีมที่มาร่วมซ้อมก่อนจะพิสูจน์ตัวเองว่าเล่นได้ และเท่าเทียมกับเพื่อนทุกคน อย่างไรก็ดีหนังก็ไม่ได้ไปไกลกว่าวาทกรรม เป็นอะไรก็ได้ขอให้เป็นคนดี (ซึ่งหนังเน้นย้ำอยู่หลายครั้ง) ซึ่งนั่นก็กลายเป็นเพดานในประเด็นความหลากหลายทางเพศที่ต้องสู้กันต่อไป อย่างไรก็ตาม ฉากที่น่าสนใจจริงๆ คือฉากการที่พ่อมองเห็นลูกชาย(ลูกสาว)ของตัวเองซ้อมรักบี้ แล้วเห็นความใจสู้ของลูกชายในฐานะนักกีฬา เห็นความยอมรับตัวเองและการเป็นตัวของตัวเอง มันก้ำกึ่งระหว่างการได้เห็นลูกเป็นลูกผู้ชายขึ้นมากับการได้เห็นลูกมีความมุ่งมั่นกับอะไรสักอย่างจริงๆ
ชีวิต จุดหมายและความใฝ่ฝันของเด็กๆ บ้านบากในเรื่องจึงเป็นสุขนาฏกรรมที่สะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยที่ผู้คนมีต้นทุนทางสังคมไม่เท่ากัน แต่ถูกบังคับให้ลงสนามเดียวกันโดยพร้อมประณามคนแพ้ว่าเป็นคนไม่ได้เรื่องได้ราวเอง ไม่ขวนขวายเองมากกว่าจะพลันได้คิดว่าการเอาชนะของบางคนหมายถึงการเปิดทางไปสู่คอนเน็กชั่นใหญ่กว่า แต่สำหรับบางคนมันเป็นเพียงแค่การได้กินเอ็มเคสักครั้งในชีวิต ด้วยเหตุนี้ ความฝันน้อยเพราะฝันได้น้อยและยืนยันที่จะสู้เพื่อมันแม้ต้องใช้แรงมากกว่าคนที่ฝันมากจึงเป็นพลังอันน่าเศร้าและน่าตื่นเต้นของหนังเรื่องนี้ จนอาจบอกได้ว่าฮักบี้บ้านบากจึงเป็นหนังน่ารักที่ภายใต้การมอบความสุขให้กับผู้ชมนั้นตัวมันไม่ได้หลับตาให้ความทุกข์ยากและความเหลื่อมล้ำในสังคมชนชั้นเข้มข้นในสังคมนี้
Tags: ฮักบี้ บ้านบาก, underdog, บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์, ภาพยนตร์