กฎหมายความมั่นคงฮ่องกง คือ ปัจฉิมบทสำหรับความมีอิสระของฮ่องกง นับจากนี้ไป เสียงเรียกร้องประชาธิปไตยอาจแผ่วลง สื่อมวลชน นักวิชาการ อาจเซ็นเซอร์ตัวเอง นักกิจกรรมอาจหลบลี้หนีภัย เพราะการใช้สิทธิเสรีภาพอาจหมายถึงคุกตะราง

ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์บอกว่า กฎหมายความมั่นคงฮ่องกงที่จีนประกาศใช้เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา สามารถใช้เอาผิดฝ่ายประชาธิปไตยได้อย่างกว้างขวางกว่าที่คาดคิดกันแต่แรก เนื่องจากเครื่องมือใหม่ของรัฐบาลปักกิ่งที่ว่านี้มีผลใช้บังคับครอบคลุมไกลออกไปนอกอาณาเขตของประเทศจีนด้วย

ที่สำคัญ การกระทำแบบไหนเข้าข่ายเป็นความผิด กฎหมายเขียนไว้ด้วยถ้อยคำกว้างๆ แบบครอบจักรวาล จึงขึ้นกับการตีความของผู้ถือกฎหมาย 

แค่ไหน อย่างไร เข้าข่าย ‘ผิด’

กฎหมายฉบับนี้มีทั้งหมด 66 มาตรา ใช้เวลาจัดทำแค่ 6 สัปดาห์ก็ประกาศใช้ บัญญัติข้อกล่าวหาต่างๆ 4 ข้อ ทุกข้อมีโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต

ความน่าวิตกอยู่ตรงที่ว่า การกระทำอะไร อย่างไร จึงถือว่าเป็นความผิดฐานแบ่งแยกดินแดน ล้มล้างการปกครอง ก่อการร้าย หรือคบคิดกับต่างชาติบ่อนทำลายความมั่นคง

แอนโทนี ดาพีแรน ทนายความชาวฮ่องกง ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับขบวนการประท้วงในฮ่องกง หยิบยกตัวอย่างขึ้นตั้งเป็นคำถามว่า ในข้อหาก่อการร้าย ซึ่งกฎหมายบัญญัติรวมถึงการโจมตีการคมนาคมขนส่งนั้น กรณีผู้ประท้วงขัดขวางการเดินรถไฟฟ้า อย่างที่เคยทำเมื่อปีที่แล้ว จะส่งผลให้ถูกจับกุมด้วยข้อหาร้ายแรงนี้หรือเปล่า

กฎหมายฉบับนี้ยังจัดตั้งสำนักงานรักษาความมั่นคงแห่งชาติประจำฮ่องกงขึ้นมา โดยมีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของจีนเข้าไปประจำการ ทั้งตัวสำนักงานและบุคคลากร ไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฮ่องกง แต่อยู่ใต้กฎหมายจีน (.60) ดังนั้น เจ้าหน้าที่ฮ่องกงไม่มีอำนาจตรวจสอบ ตรวจค้น หรือควบคุมตัว

ขณะเดียวกัน กฎหมายกำหนดให้ฮ่องกงจัดตั้งคณะกรรมการความมั่นคงของตัวเองขึ้นชุดหนึ่ง โดยมีที่ปรึกษามาจากการแต่งตั้งโดยรัฐบาลจีน อีกทั้งยังเปิดช่องว่า ผู้บริหารฮ่องกงมีอำนาจแต่งตั้งผู้พิพากษาสำหรับคดีความมั่นคงด้วย (.44) ซึ่งประเด็นนี้ส่งผลถึงความมีอิสระของศาล

บางคดีจะพิจารณาเป็นการลับ (.41) บางคดีอาจไม่ให้ประกันตัว (.42) และบางคดีอาจไม่ให้มีทนาย โดยเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเอาไว้ได้นานตามความสมควรแก่เวลา’ (.46) 

ชำแหละรายมาตรา

โดนัลด์ คลาร์ก ผู้ศึกษาระบบกฎหมายจีน อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน ชี้ว่า ตามมาตรา 38 การทำผิดแม้เกิดขึ้นนอกเขตแดนจีน ไม่ว่าผู้กระทำความผิดเป็นชาวฮ่องกงหรือชาวต่างชาติ ล้วนเข้าข่ายถูกดำเนินคดีได้ทั้งสิ้น หากเหยียบย่างเข้าไปในฮ่องกง หรือจีนแผ่นดินใหญ่ 

ดังนั้น คอลัมนิสต์คนไหนเขียนลงหนังสือพิมพ์ในสหรัฐฯ สนับสนุนเอกราชของทิเบต ถ้าวันหนึ่งแวะเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง หรือไปเที่ยวเมืองจีน อาจถูกรวบตัวก็เป็นได้ 

อีกตัวอย่างของการเขียนกฎหมายกว้าง คือ มาตรา 29 ตรงที่บัญญัติว่า ใครสมคบกับต่างชาติปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังต่อรัฐบาลจีน หรือรัฐบาลฮ่องกง ถือเป็นความผิด คำถามเกิดขึ้นว่า แล้วถ้าวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน มีสิทธิ์ติดคุกใช่ไหม

มาตรา 55 เป็นอีกข้อที่คลุมเครือพอๆกัน เพราะเขียนว่า ในคดีที่มีลักษณะซับซ้อนหรือร้ายแรงหรือยากนั้น เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของจีนมีสิทธิที่จะเข้าสอบสวนคดีด้วย 

บางมาตราไม่ได้มีปัญหาที่การตีความ แต่เป็นปัญหาความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม อย่างเช่นมาตรา 56 เขียนว่า บางคดีอาจส่งไปดำเนินการในจีนแผ่นดินใหญ่ ตั้งแต่ขั้นตอนของการสอบสวน พิพากษา จนถึงลงโทษ 

กำราบเสียงเพรียกเสรีภาพ

คลอเดีย โหมว สมาชิกฝ่ายค้านในสภานิติบัญญัติฮ่องกง บอกว่า เป้าหมายของกฎหมายความมั่นคงฉบับนี้ คือ ทำให้ฮ่องกงไม่มีตัวตน ผู้คนจะหวาดผวา รู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่มีใครกล้าพูดหรือกล้าทำอะไรขวางทางจีน 

โหมวซึ่งเคยเป็นนักข่าวมาก่อน บอกอีกว่า สื่อมวลชนกับนักวิชาการเป็นคนอีกกลุ่มที่จะเงียบเสียงลง เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง เสรีภาพสื่อมวลชนก็จะหายไป นักวิจารณ์จะไม่กล้าให้ความเห็นกับสื่อ และสื่อจะเซ็นเซอร์ตัวเอง 

แน่นอนว่า ฝ่ายจีนย่อมมองคนละมุม รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการมาเก๊าและฮ่องกง จางเสี่ยวหมิง บอกว่า กฎหมายดังกล่าวจะนำเสถียรภาพกลับคืนสู่เขตปกครองพิเศษแห่งนี้ ฮ่องกงจะเดินไปในแนวเดียวกับแผ่นดินใหญ่มากขึ้น ทั้งในด้านตัวบทกฎหมาย กระบวนการ และแบบแผนการปฏิบัติ 

กฎหมายความมั่นคงดูจะทำให้เกิดคำถามถึงคำมั่นสัญญาของจีน ที่จะธำรงรักษาความมีอิสระของฮ่องกง ภายใต้หลักการหนึ่งประเทศ สองระบบ

อ้างอิง:

BBC News, 20 June 2020

BBC News, 1 July 2020

AFP via Yahoo! News, 1 July 2020

Tags: , ,