*บทความเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์

จีนไม่ใช่คุณ

จีนกลับมาจากสวีเดนหลังจากไปเรียนและทำงานอยู่หลายปี จีนเป็นนักออกแบบสาย ‘น้อยแต่มาก’ เธอเชื่อในความว่างโล่ง พื้นที่ที่เปิดกว้าง ขาวสะอาดราวปราศจากเชื้อ เธอแตกต่างจากคนอื่น สวมเครื่องแบบนักออกแบบเป็นเสื้อกางเกงโอเวอร์ไซส์สีขาวและดำแบบน้อยแต่มาก เธอกลับมาเมืองไทยหลังจากทิ้งไปหลายปี ที่บ้านของเธอ ตึกหัวมุมถนนที่เคยเป็นร้านรับซ่อมและรับสอนเครื่องดนตรี ตอนนี้กองสุมด้วยข้าวของ แม่กินนอนในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง มีทีวีและคาราโอเกะเพลง ‘กุหลาบแดง’ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ พี่ชายทำงานขายเสื้อในอินเทอร์เน็ต ห้องแคบของเขาประจุด้วยแถวราวแขวนเสื้อและจักรเย็บผ้า เปียโนขนาดยักษ์ขวางสายตา เธอวางแผนจะรื้อชั้นล่างใหม่ทั้งหมด เอาของทั้งมวลออกไปจากบ้าน เพื่อให้ทุกอย่างว่างโล่ง เธอต้องทิ้งทั้งหมด และหนังทั้งเรื่องดำเนินอยู่กับกระบวนการจัดการความทรงจำนี้ การทิ้ง ทอดทิ้ง ถูกทิ้ง และความพยาบาทของความทรงจำ

ในบรรดาข้าวของที่คิดว่าจะกวาดทิ้งได้ง่ายดาย กลับบรรจุความทรงจำจำนวนมาก ความทรงจำเป็นทั้งของจำเป็นและสัมภาระที่ต้องแบก หลังจากพบว่าการทิ้งอะไรก็ได้ง่ายจังส่งผลกับมิตรสหาย จีนตัดสินใจกลับเข้าไปเก็บข้าวของ นำคืนเจ้าของแต่ละชิ้น ทั้งคนที่ไม่ได้ใส่ใจแล้ว ไปจนถึงคนที่เคยสร้างบาดแผลให้แก่กัน และการส่งคืนข้าวของ การตัดใจทิ้ง กลับย้อนมาทิ่มแทงตัวตนเก่าของจีนอย่างช้าๆ

หนึ่งในประเภทของหนังสือที่ขายดีที่สุดตลอดกาลในตลาดหนังสือไม่ว่าที่ไหนคือ หนังสือฮาวทู คู่มือการจัดการชีวิต ทำอย่างไรให้หาเงินได้มากขึ้น เรียนเก่งขึ้น ให้ประสบความสำเร็จ ให้ร่ำรวย มีชีวิตที่สุขสบายขึ้น กระทั่งทำอย่างไรให้มีความสุข ความแตกต่างอย่างหนึ่งของหนังสือฮาวทูกับวรรณกรรมคือหนังสือฮาวทูเป็นเรื่องของทุกคน หนังสือฮาวทูจะเป็นคู่มือที่ใครจะนำไปใช้ก็ได้ มันถูกเขียนขึ้นเผื่อให้สำหรับคนทุกรูปแบบ (หรืออย่างน้อยก็กว้างที่สุดเท่าที่มันจะเป็นได้) วรรณกรรมถึงที่สุดเป็นเรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง (หรืออย่างน้อยก็ผู้คนจำนวนหนึ่ง) ดิ่งลึกลงไปในความสัมพันธ์ ความรู้สึกและการต่อสู้อันเป็นปัจเจก ฟูมฟายไปด้วยการเร้าอารมณ์และเหตุการณ์อันจำเพาะ และนั่นอยู่ตรงข้ามกับฮาวทู ฮาวทูไม่ต้องการประสบการณ์เฉพาะของคนใดคนหนึ่งแต่ต้องเป็นการประมวลผลจากประสบการณ์ร่วม ฮาวทูไม่ต้องการจิตใจ แต่ต้องการเหตุผล ฮาวทูไม่ต้องการป่ารกชัฏหรือถนนตัดข้ามท้องทะเล แต่ต้องการทางลัดที่วัดระยะจากจุดตั้งต้นถึงจุดหมาย ฮาวทูไม่ใช่โปรแกรมเวิร์ดแต่คือพาวเวอร์พอยท์

ดูเหมือนตัวจีนเป็น หรือพยายามจะเป็นหนังสือฮาวทูเล่มหนึ่ง เธอผอมบาง น้อย ไร้ความรู้สึก เรียบ และพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย ประโยชน์ใช้สอยและความสวยงามจากการมีประโยชน์ใช้สอยโดยไม่มากหรือน้อยกว่านั้น เธอออกแบบเก้าอี้แบบนั้น และออกแบบความสัมพันธ์แบบนั้น

การทิ้งของของเธอ จึงเป็นรูปแบบของการตัดทอนทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นออก แต่บังเอิญว่าสิ่งที่ไม่จำเป็นนั้นคือสายใยรุงรังของเธอกับผู้คนรอบข้าง เธอเริ่มด้วยความไม่รู้ จนตระหนักรู้ว่าที่ผ่านมาตนเองทิ้ง ในแง่ของการทิ้งไว้ ทิ้งไป ทั้งกับข้าวของและผู้คนมากมายขนาดไหน

การเอาของไปคืนผู้คนจึงเป็นรูปแบบของการชำระจิตใจและเรื่องราวค้างคาเพื่อไปต่อข้างหน้า การสะสางอดีตมักเป็นหนึ่งในกระบวนการพัฒนาตน ปรากฏให้เห็นตั้งแต่คำแรกของนโยบาย 5ส. ของการจัดการองค์กรต่างๆ ไปจนถึงคอร์สพัฒนาตนเอง การก้าวผ่านอดีตจะนำไปสู่อนาคตที่ดี การทิ้งในครั้งนี้ของจีน จึงเป็นการทิ้งเพื่อที่จะทิ้ง ไม่ใช่การทิ้งไว้แล้วหนีไปเหมือนที่เธอเคยทำในอดีต แต่ข้าวของไม่ได้เป็นแค่ข้าวของมันบรรจุสายใยของผู้คนไว้ด้วย เมื่อเหวี่ยงสิ่งใดใส่ถุงดำเราก็มองรูปทรงข้าวของไม่เห็นแต่สายสัมพันธ์นั้นจะยังลอดพ้นปากถุงออกมาเสมอ การคืนของจึงเป็นการบอกคืน แบบเดียวกับการบอกคืนสมาชิกนิตยสาร บอกคืนความสัมพันธ์กับผู้คน

ตลอดทั้งเรื่อง เธอเริ่มต้นจากการคืนของให้กับมิตรสหาย ค้นพบความกระจ่างในจิตใจราวกับการบอกลาที่ดี ราวกับเธอกำลังทำความดี ได้รางวัลเป็นความอิ่มใจ กระทั่งมิตรสหายที่ตัดขาดจากเธอ เธอยังรอคอยให้รับคืนของที่เธอเอามา ยิ่งดูไปเรายิ่งพบว่าเธอเอาของมาจากผู้อื่นมากมายเหลือเกิน

หนังมีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวจีน เธอปรากฏตัวในทุกฉาก แทบบอกได้ว่านี่คือหนังที่ ‘มีตนเองเป็นศูนย์กลาง’ กรอบภาพแคบที่แสดงความรู้สึกคับแคบของตัวเธอที่ถูกพื้นที่ สภาพแวดล้อมและความสัมพันธ์โอบรัด เธอเป็นศูนย์กลาง ขาวดำ อย่างน้อย แต่โดดเด่นในทุกฉาก และการเป็นศูนย์กลางในกล้องของจีนจะกลายเป็นลูกเล่นที่สำคัญในเวลาต่อมา

ถึงที่สุดเธอต้องเผชิญหน้ากับคนสองสามคนที่เธอ ‘ทิ้ง’ ไปแล้ว ทิ้งไป และทิ้งไว้ เอ็มคนรักเก่าที่เธอตัดขาดเขาหลังไปสวีเดน และแม่ที่เธอทิ้งไว้ที่บ้าน เอ็มกลับมามีความสำคัญเพราะเธอต้องการก้าวผ่านอย่างขาวสะอาดเหมือนพื้นที่ที่เธอปรารถนา และแม่กลับมามีความสำคัญเพราะเธอต้องการพื้นที่สำหรับการสร้างความขาวสะอาดนั้น

หนังสร้างความสัมพันธ์ของจีน เอ็ม และ มี่ แฟนใหม่ของเอ็ม ด้วยการกดมันไว้ให้เต็มไปด้วยบทสนทนาคมคาย และความอาทร เข้าอกเข้าใจกันและกัน แต่ด้วยเฟรมภาพอับแคบ และการแสดงแบบแทบจะไร้ความรู้สึก เราจึงค่อยๆ มองเห็นว่าข้างใต้ฉากหน้าความสัมพันธ์นี้เต็มไปด้วความพยาบาทที่อาจจะไม่มีใครรู้ตัวเลยก็ได้ ฉากหนึ่งเอ็มพาจีนไปร้านที่ทั้งคู่เคยมา โดยพาแฟนใหม่ที่เอ็มพามาที่นี่บ่อยๆ มาด้วย มันเป็นวันที่เอ็มเอาของที่จีน ‘ทิ้งไว้’ มาคืน เขาเตือนให้เธอรู้สึกเจ็บปวดทั้งกับการที่ทิ้งเขาไว้ และให้สัมผัสความรู้สึกของการถูกทิ้งไปพร้อมๆ กัน เช่นเดียวกับการที่มี่เอาเสื้อมาคืนจีน การคืนของกลับเข้ามาเป็นการเตือนให้รู้ว่าการทิ้งของของจีนได้ทำร้ายเธอได้อย่างไร หนังสือฮาวทูบอกให้เราเคลียร์ความสัมพันธ์ค้างคา โดยลืมไปว่ามันอาจสร้างความสัมพันธ์ค้างคาในอีกแบบหนึ่งเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ถ้าจีนได้ความหลงใหลความมินิมัลมาจากเอ็ม ความสัมพันธ์ลูกโซ่ที่เริ่มจากเขากับเธอได้ทำลายล้างกันลงอย่าง ‘น้อยแต่มาก’ ได้ขนาดไหน

มองในแง่นี้ เอ็มจึงไม่ใช่ เพื่อนชายแสนดีที่ลืมไปแล้ว ไม่ใช่ภาพแรกที่ถูกลืมของคู่รักที่รักๆ เลิกๆ แล้วลงเอยด้วยกัน เขาไม่มีหน้าที่ทำให้คู่รักดีใจที่ได้ภาพคู่ภาพแรกคืนเพื่อให้จีนรู้สึกสูงส่งและลอยตัวอยู่เหนือปัญหา แต่เขาเป็นคนประเภทเดียวกันกับจีน บทสนทนาครั้งสุดท้ายเขากับจีนที่เป็นการชำแหละ การคืนเพื่อความสุขตัวเองของจีน จึงเป็นซีนของการที่คนประเภทเดียวกันหยิบมีดถูกเล่มมาทิ่มแทงกันอย่างไร้ความปรานี เหล่ามนุษย์น้อยแต่มากในหนังเรื่องนี้ถึงที่สุดจึงเป็นคนประเภทเดียวกันทั้งสิ้น และการแสดงแบบน้อยแต่มากของนักแสดง ก็ให้ผลที่รุนแรงมาก เพราะมันทำให้เราไม่สามารถเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้ทั้งหมดของแต่ละคนได้ ไม่ว่าจะความรัก ความเกลียด ความโกรธ หรือการให้อภัย ความเข้าใจหรือไม่เข้าใจทุกอย่าง ถูกทำให้เป็นแบบไหนก็ได้ในทุกฉากในทุกคำคมที่พร้อมจะบาดมือผู้คนหากตีความไปในอีกทาง

แต่จุดที่สำคัญที่สุดของหนังไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ของจีนกับเอ็มแต่เป็นเรื่องของจีนกับแม่ และพ่อที่ทิ้งไป

เราอาจบอกได้ว่าการทิ้งเป็นรูปแบบหนึ่งของการลืมแบบสัมบูรณ์ เพราะ out of sight เท่ากับ out of mind และถ้าไม่มีภาพถ่ายก็เหมือนไม่เคยมีอยู่ แต่การทิ้งข้าวของ ลบลืมเรื่องราวไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายสำหรับทุกคน จนแทบจะกล่าวได้ว่าความน้อยแต่มาก การลืม การทิ้งข้าวของโดยปราศจากความเสียดายอรรถประโยชน์ การโยนทิ้งได้โดยไม่ต้องกังวลความขาดแคลนนั้นแทบจะเป็นอภิสิทธิ์ของคนชั้นกลางขึ้นไปที่ไม่เคยขาดพร่องใดๆ ในชีวิต คนที่มีอนาคตใหม่ๆ ข้างหน้ารออยู่เสมอ อดีตเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลรกรุงรัง ในขณะที่คนจนไม่อาจยอมทิ้งข้าวของของตน ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นนักเก็บหรือนักจำ แต่เพราะพวกเขาไม่มีทั้งอดีตและอนาคต เพราะพวกเขาอาจจะมีแต่วันนี้ พรุ่งนี้เป็นสิ่งมืดดำไม่อาจคาดเดา จนข้าวของที่ไม่สปาร์คจอยในวันนี้อาจจะช่วยให้พวกเขารอดไปได้ในวันพรุ่ง แนวคิดของพวกเขา กับของจีนจึงยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ไม่ใช่ในฐานะศัตรู แต่ในฐานะจักรวาลคู่ขนาน จนกระทั่งคนเช่นจีนยื่นมือเข้าไปจัดการกับข้าวของของคนอื่น ชีวิตของคนอื่น ความทรงจำของคนอื่น

การต่อสู้กับแม่เรื่องการทิ้งเปียโนอาจถูกมองในฐานะภาพแทนการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นก่อนหน้าผู้ซึ่งครอบครองพื้นที่มาก่อน และทำให้พื้นที่คับข้องอึดอัดสำหรับคนรุ่นถัดมา เป็นโครงสร้างที่ครอบลงมาจนชินชาว่ามันก็เป็นเช่นนั้นเอง แต่การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในบ้านตัวเองของจีนเป็นการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม หรือเป็นเพียงการช่วงชิงพื้นที่แล้วเบียดขับคนอื่นออกไป เปียโนเป็นทั้งสัญลักษณ์ของพ่อที่ทอดทิ้ง สัญลักษณ์ของโครงสร้างและเรื่องเล่าที่จีนเชื่อว่ามีแต่เรื่องเลวร้าย ร่องรอยที่หลงเหลือคือแม่ผู้ยึดติดอยู่กับการ ‘ปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอ’ เพื่อ ‘บ่งบอกความจริงที่ยิ่งใหญ่ บ่งบอกว่าใจฉันยังคงมั่น’ การร้องเพลงเดิมๆ เพลงที่เล่าเรื่องการยึดติดในอุดมการณ์เดิมทำให้จีนเหลือทน สำหรับจีนที่เลือกได้ที่จะทิ้งจึงตัดสินใจหักดิบกับแม่ราวกับว่าภาระของคนรุ่นใหม่คือชำระอดีต

แต่แม่ไม่ใช่ข้าวของ และข้าวของของแม่ไม่ใช่แค่ข้าวของ การก้าวก่ายยุ่มย่ามกระทั่งสอดมือเข้าไปจัดการความทรงจำของแม่และพี่ชายไม่ได้เป็นไปเพื่อชำระประวัติศาสตร์ภายในครอบครัว แต่เป็นไปเพื่อขโมยเอาพื้นที่ที่เคยใช้ร่วมกัน ทั้งห้องนั่งเล่นไปจรดห้องเก็บของมาเป็นพื้นที่ของตนแต่เพียงผู้เดียว อากาศโล่งว่างในพื้นผนังสีขาว สำคัญกว่าเปียโนและความทรงจำของแม่

จีนจึงเป็นฝ่ายถืออภิสิทธิ์ในการลืมที่แม่ไม่ได้รับอภิสิทธิ์นั้น แถมถูกสั่งสอนว่าการจำของแม่เห็นแก่ตัวกว่าการลืมของจีน บ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนรวมถูกนำไปใช้เป็นพื้นที่ส่วนตัวและขยับสรรพสิ่งส่วนเกินรกหูรกตาให้ไปพ้นเสียทั้งหมด ถึงที่สุดสิ่งที่จีนทำก็คล้ายคลึงกับการจัดการความทรงจำของประเทศนี้ ตั้งแต่บิ๊กคลีนนิ่งเดย์ ไล่รื้อชุมชนแออัด กำจัดการชุมนุมไปให้พ้นตา สิทธิที่จะเสพความสวยงามแบบน้อยแต่มาก คือสิทธิอันเดียวกับการ โยนทิ้งและทอดทิ้งความงาม และชีวิตในแบบอื่น แม่จึงไม่ได้เป็นเพียงแม่ แต่เป็นคนอื่นที่ไม่มีเสียงเป็นของตัวเอง ไม่มีพื้นที่เป็นของตัวเอง

แต่การทิ้งอย่างเดียวไม่พอ ไม่ใช่แค่ทิ้งข้าวของมันต้องทิ้งความทรงจำด้วย ถึงที่สุดหนังจึงไปไกลถึงขนาดที่จีนตัดสินใจทิ้งอดีตของตัวเองอีกด้วย จีนปฏิวัติสองรอบทั้งการเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้มองเห็นผู้อื่นเป็นครั้งแรก และปฏิวัติวัฒนธรรมด้วยการสร้างความทรงจำใหม่ที่ไม่มีพ่ออยู่ในนั้น และแม่เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ชั้นสอง

ในกล้องและเฟรมภาพเดิม กล้องเปลี่ยนจากการให้จีนอยู่ตรงกลาง เป็นการทำให้จีนครอบครองสายตาหรือการเคลื่อนกล้อง จีนใหญ่โตจนเต็มกรอบภาพ เมื่อปราศจากข้าวของเธอกลายเป็นข้าวของ มินิมัลลิสม์จึงไม่ใช่การไม่มี แต่เป็นการมีแต่ตัวเองจนทำให้สิ่งอื่นถูกขจัดพ้นออกไป

การ ‘มูฟออน’ ของหนังจึงเป็นเพียงข้ออ้างของการ ‘มูฟเอาท์’ สิ่งที่ขัดขวางต่ออนาคตที่ตนปรารถนาและ ‘มูฟอิน’ พื้นที่/แผ่นดินในฝันของตนเข้าไปแทนที่ ปรารถนาในสิ่งที่ตนปรารถนา หากไม่ปรารถนา ก็จัดหา ‘สตอรี่’ ของความปรารถนาชนิดใหม่มาให้

การทิ้ง จึงเป็นการทอดทิ้ง หนังบอกตั้งแต่ในฉากแรกแล้วว่าจีนทำสำเร็จแม่และพี่ชายล้วนจำนนในความน้อยแต่มากของเธอ แต่เธอรู้ว่าเธอไม่ได้อากาศคืนมาหากสูญเสียอากาศไปแล้ว ห้องจึงว่างโล่ง แข็งเย็นและขาวสะอาด ใบหน้าสุดท้ายของหนังจึงเป็นใบหน้าของความสุขอันทุกข์เศร้า

อย่างไรก็ดี คนที่จีนจัดการได้ยากที่สุดไม่ใช่แม่หรือคนรักเก่า แต่คือพี่ชายของตัวเอง เพราะในขณะที่คนอย่างเจดูจะยอมตามน้องสาวไปเสียทุกอย่าง แต่ความยอมตามของเขานี่เองที่สร้างเรื่องเล่าเกี่ยวกับพ่ออีกด้านหนึ่งที่จีนอาจจะไม่ยอมรับว่ามีอยู่ การกำจัดรูปของจีนในช่วงท้ายไม่ได้ส่งผลอะไรกับเจ ไม่ว่าจะมีรูปหรือไม่มีเจก็ดูเหมือนจะเข้าใจว่าพ่อไม่ได้เป็นเพียงผู้ทอดทิ้งอย่างที่จีนเข้าใจ และเขาเก็บเรื่องเวอร์ชั่นนี้ไว้กับตัว กับแม่ที่เขาดูเหมือนจะเป็นคนคอยดูแลมากกว่าจีน

ถึงที่สุด ภาพอันเย็นชา แข็งทื่อ การแสดงแบบหน้าตาย และบทสนทนาแบบคมจังเลยอีเหี้ย จึงสอดรับกับความห่างเหิน เย็นชาของตัวละคร และการค้นพบ ยอมรับ ก้าวข้าม ทำลาย ตัวตนของตัวละครที่เปลี่ยนจากคนทึ่มทื่อ ไร้เดียงสา ไปเป็นคนใจจืดที่เจ็บปวดซึ่งก็คู่ควรกับความเจ็บปวดนั้น น่ายินดียิ่งที่หนังจบลงอย่างพังพินาศในตอนท้าย ‘กลับไปที่เก่า’ ในรูปแบบใหม่ก็เท่านั้น

เราจึงอาจบอกได้ว่านี่คือ วิวัฒนาการของคนไร้หัวใจที่ไร้เดียงสา พอพวกเขาเริ่มมีหัวใจพวกเขาก็ค้นพบว่าตนเองเคยมีส่วนร่วมในการก่ออาชญากรรมที่ไม่อาจแก้ไขคลี่คลาย วิธีเดียวที่จะทำได้คือการลบอาชญากรรมของตนออกให้หมดด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา ‘กลับไปที่เก่า’เป็นคนไม่มีหัวใจที่เดียงสาดีกว่า ‘ต้องเจอความปวดร้าว’ อย่างเช่นในเพลงจบของหนัง

ไม่ว่ามันจะมีหรือไม่มีการเมืองในหนัง หรือรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว นี่คือหนังที่พูดโดยคนชั้นกลาง เพื่อคนชั้นกลาง นอกจากลุงซาเล้งในหนังไม่มีการปราฏของตัวละครชนชั้นล่างเลยแม้แต่คนเดียว ในจักรวาลของตึกแถวกลางกรุงนี้มันไม่ใช่อะไรนอกจากการต่อสู้กับปัญหาภายในของคนชนชั้นเดียวกันนั้นเอง การเล่าเรื่องคนชั้นกลางและชำแหละเนื้อหนัง จิตใจของชนชั้นของตนออกมาอย่างหมดจดในหนังที่ทำจากสตูดิโอที่ขายการโอ๋ชนชั้นกลางมาตลอด จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่งดงามที่สุดอีกสิ่งในปีนี้

Tags: