เดิมทีการค้าทาสเคยเป็นกิจการที่รุ่งเรืองมากในยุคสมัยหนึ่ง ผู้คนที่มีอำนาจเหนือกว่าทั้งฐานะทางสังคม ฐานะทางการเงิน เพศ หรือสีผิว สามารถซื้อคนที่ด้อยกว่าได้ตามใจ โดยเลือกคนที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการมากที่สุด เช่น คนที่ร่างกายแข็งแรงกำยำ คนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน และคนที่ตอบสนองรสนิยมทางเพศของตัวเองในธุรกิจค้าประเวณี
วันเวลาเปลี่ยนผ่าน การค้าทาสขายมนุษย์ที่เคยเป็นเรื่องปกติกลับไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไป ในศตวรรษที่ 20 หลายพื้นที่บนโลกเริ่มตระหนักถึงสิทธิมนุษยชน (Human rights) และเริ่มยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐานเหมือนกัน มีคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน และมองว่าการค้ามนุษย์คือการกระทำที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ จนพื้นที่ที่เจริญแล้วแทบทุกแห่งไม่อาจยอมรับการซื้อ-ขายมนุษย์ด้วยกันเองอีกต่อไป
ถ้าให้พูดตามความจริง ทุกพื้นที่บนโลกก็ยังคงมีการซื้อขายมนุษย์อยู่ แต่ถูกบิดตาม ‘กระบวนการทำให้เป็นสินค้า’ (Commoditization) ปัจจุบัน มนุษย์ทุกคนมีคุณค่าของการแลกเปลี่ยนเป็นของตัวเอง และถูกทำให้เป็นสินค้าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ที่เราอาจเรียกคุณค่าของการแลกเปลี่ยนนั้นว่า ผลตอบแทนที่เป็นได้ทั้ง ‘ค่าจ้าง’ ‘เงินเดือน’ หรือ ‘สวัสดิการอื่นๆ’ ตามความตกลงของผู้ซื้อกับผู้ขาย ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเรียกกันว่า ‘เจ้านาย’ กับ ‘ลูกน้อง’
เมื่อไรก็ตามที่การซื้อ-ขายอยู่นอกเหนือข้อตกลง เกิดการหว่านล้อม บังคับขืนใจ ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิด พยายามฆ่า ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองจากการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน สิ่งที่เกิดขึ้นจะถือว่าเป็นกระบวนการค้ามนุษย์ที่ผิดกฎหมายร้ายแรง โดยเฉพาะกับการค้ามนุษย์เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศ และจะยิ่งรุนแรงเลวร้ายกว่าเดิมเมื่อการค้ากามนั้นเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน
การค้ากามในบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ไม่นานมานี้สังคมไทยเพิ่งจะวิพากษ์วิจารณ์การค้ามนุษย์โรฮีนจาในประเทศไทย ที่มีหลักฐานหลายชิ้นยืนยันตรงกันว่า ผู้มีอำนาจหลายหน่วยงานของไทย ได้เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียกับการขายคนด้วยกันเอง จนทำให้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เผยรายงานเรื่องสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี 2565 ว่าไทยอยู่ในบัญชีกลุ่มเทียร์ 3 (Tier 3) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด สร้างความอับอายในระดับสากล
ยังไม่ทันได้สะสางประเด็นการค้ามนุษย์ระดับชาติที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตอนนี้สังคมไทยยังคงต้องพูดเรื่องดังกล่าวกันต่อไป เมื่อมีข่าวว่าผู้มีอำนาจในระบบข้าราชการ ตระกูลนักการเมืองท้องถิ่น และคนทำงานด้านการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กำลังซื้อ-ขายบริการทางเพศเด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบางกันอย่างโจ่งแจ้งเหมือนไม่กลัวความผิดใดๆ
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 เกิดการจับกุมเครือข่ายค้ามนุษย์ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตอนนั้นคดีดังกล่าวยังไม่ค่อยเป็นที่สนใจในสังคมมากนัก เนื่องจากการค้าบริการทางเพศเป็นคดีที่พบเจอได้ทุกที่ ก่อนตำรวจจะสอบสวนเพิ่มเติมจนพบว่า ยังมีผู้เสียหายอีกหลายรายที่ตกสำรวจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
วันที่ 4 พฤษภาคม 2565 มีข่าวการจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีอีกครั้ง คราวนี้มีการบุกตรวจค้นบ้านพักของบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายราย ก่อนพบหลักฐานที่เชื่อมโยงว่าผู้เสียหายจำนวนมากเป็นเด็กและเยาวชนใน ‘บ้านพักเด็กและครอบครัว จังหวัดสุราษฎร์ธานี’ โดยเคสที่สร้างความรู้สึกสะอิดสะเอียนที่สุดเคสหนึ่ง คือการนำเด็กอายุ 12 ปี ไปให้บริการทางเพศลูกค้าวัย 79 ปี
เดิมทีความหมายของ ‘บ้านพักเด็กและครอบครัว’ คือการดำเนินงานภายใต้กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และควรจะเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดของเด็กๆ กลุ่มเปราะบาง แต่ตอนนี้บ้านพักฯ ที่ว่าในบางจังหวัดกลับกลายเป็นแหล่งค้ามนุษย์ชั้นดี
กลุ่มค้ามนุษย์จะรับออเดอร์จากลูกค้าว่าต้องการเด็กแบบไหน เพศอะไร มีบุคลิกลักษณะอย่างไร ก่อนจะเลือกเด็กจากบ้านพักเด็กและครอบครัวมาตอบสนองความต้องการทางเพศของลูกค้า ซึ่งตามรายงานข่าวระบุว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็น ‘ผู้มีอำนาจ’ หรือ ‘คนใหญ่คนโตในพื้นที่’
แม้คนไทยจำนวนมากจะยืนยันว่ามนุษย์เราเท่าเทียมกัน แต่คำว่าคนใหญ่คนโตกับผู้มีอำนาจก็ยังคงปรากฏให้เห็นจนชินตา เมื่อมีข่าวว่าคนใหญ่คนโตเหล่านี้ซื้อบริการทางเพศเด็กจากกลุ่มเปราะบางที่ไม่มีครอบครัวและอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล สังคมจึงตั้งคำถามว่าบุคคลเหล่านั้นคือใคร มีหน้าที่การงานอะไร และเรียกร้องให้เผยแพร่รายชื่อผู้ขายและผู้ซื้อออกมาให้หมด
เรื่องราวนี้บานปลายใหญ่โตกว่าเดิมเมื่อมีรายงานเพิ่มเติมว่า พิสิฐ พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน เข้ามาแทรกแซงกระบวนการสืบสวนสอบสวน โทรสั่งให้เจ้าหน้าที่ระดับต่ำกว่าในบ้านพักเด็กและครอบครัว จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปเกลี้ยกล่อมให้เหยื่อยอมความ ขอให้เรื่องมันแล้วกันไป จนทำให้เจ้าหน้าที่ในบ้านพักฯ ทำตามคำสั่งด้วยการพยายามอ้อนวอนให้เด็กๆ ยอมความ ไปจนถึงการข่มขู่และทำร้ายร่างกายเด็กๆ ในความดูแลของตัวเอง
การบีบบังคับของผู้มีอำนาจเหนือกว่า ส่งผลให้เหยื่อที่เป็นเยาวชนเกิดความเครียดสะสม พวกเขาวิตกกังวล ร้องไห้ตลอดเวลา มีอาการตื่นตระหนก เหยื่อบางรายพยายามหาทางออกด้วยการทำร้ายตัวเอง กรีดแขน หรือพยายามฆ่าตัวตาย จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องพาผู้เสียหายที่เครียดหนักมาพักรักษาตัวที่กรุงเทพมหานคร
หลังผู้มีอำนาจพยายามปกปิดซ่อนเร้นความเลวร้ายของตัวเองและพรรคพวก แต่กลับทำไม่สำเร็จ เรื่องฉาวเหล่านั้นกระจายไปทั่วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง สังคมจับตามองคดีค้ามนุษย์ที่มีผู้ต้องหามากถึง 42 ราย แถมเหยื่อส่วนใหญ่เป็นเด็กกลุ่มเปราะบาง ตอนนี้รายชื่อลูกค้าที่ใช้บริการกับกลุ่มค้ามนุษย์ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีถูกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ แสดงให้เห็นถึงความเป็น ‘คนใหญ่คนโต’ ตามที่ว่าไว้ เช่น ลำยอง บุญสพ วัย 79 ปี ประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนท่าสะท้อน หรือคำนึง สมบัติแก้ว รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) อำเภอพุนพิน รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหาร นายแพทย์ ครูบาอาจารย์อีกหลายราย และลูกชายของอดีตนักการเมืองชื่อดัง
กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลเด็กๆ ในบ้านพักฯ พยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการเซ็นคำสั่งย้ายด่วนรองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเจ้าหน้าที่ในบ้านพักที่เข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานในคดีล่วงละเมิดทางเพศเยาวชนทันที
ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับรองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ในข้อหาขัดขวางกระบวนการสอบสวนสืบสวนกระบวนการค้ามนุษย์ และข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนพนักงานในบ้านพักเด็กและครอบครัวที่ทำตามคำสั่งของรองอธิบดีฯ จะถูกดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกายเด็ก และมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขัดขวางกระบวนการสืบสวนสอบสวน
ดูเหมือนว่าผู้กระทำผิดทั้งแก๊งค้ามนุษย์ ผู้ซื้อบริการ ผู้พยายามปกปิด จะได้รับผลของการกระทำของตัวเองกันถ้วนหน้า แต่สังคมก็ยังไม่ค่อยไว้วางใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะมีตัวอย่างแสดงให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าคนที่มีอำนาจมักลอยตัวเหนือปัญหา หรือได้รับโทษทางกฎหมายน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะพวกเขามักมีวิธีหลีกเลี่ยงและผ่อนหนักให้เป็นเบาอยู่เสมอ
สังคมตั้งคำถามต่อ ‘คนใหญ่คนโต’ นักล่ากามผู้กระทำผิดซ้ำ
ย้อนกลับไปยังช่วงแรกที่เกิดเรื่อง ผู้คนเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยชื่อผู้กระทำผิด เพราะตอนนั้นคนส่วนใหญ่รู้แค่ว่าผู้ซื้อบริการทางเพศมีตำแหน่งอะไร เป็นครู เป็นหมอ เป็นลูกนักการเมือง แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าคนไหน จนกระทั่งวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 สำนักข่าวไทยพีบีเอสเปิดเผยรายชื่อผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอีก 2 ราย หนึ่งในนั้นเป็นคนในตระกูลนักการเมืองท้องถิ่น คือ แสงโรจน์ กาญจนะ ลูกชายของ ชุมพล กาญจนะ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี 7 สมัย สังกัดพรรคประชาธิปัตย์
การเป็นลูกหลานนักการเมืองอาจทำให้หลายคนเกิดความครหา เกิดความตั้งแง่เล็กๆ ในใจ แต่คงไม่หนักหนาเท่ากับประวัติคดีความเก่าๆ ของ แสงโรจน์ กาญจนะ ที่ถูกนำมาเผยแพร่ เพราะเขาเพิ่งถูกออกหมายจับฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และยังมีคดีอาชญากรรมทางเพศยาวเป็นหางว่าว เช่น
ปี 2542 คดีพยายามฆ่า เพราะดวลปืนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในผับ
ปี 2543 ใช้อาวุธปืนยิงพนักงานขับรถของสำนักงานสรรพากรจนเสียชีวิต ถูกจำคุก 10 ปี
ปี 2544 คดียาเสพติด แต่ยกฟ้อง
ปี 2548 คดีข่มขืนกระทำชำเรานักศึกษาหญิง แต่ยกฟ้อง
ปี 2549 คดีข่มขืนหญิงชาวเมียนมา 2 ราย ใช้อาวุธปืนข่มขู่ กักขังหน่วงเหนี่ยว แต่ยกฟ้องเพราะพยานกลับประเทศ
ปี 2551 คดีข่มขืนนักศึกษา ปวส. ใช้อาวุธปืนข่มขู่ แต่ยกฟ้อง
ล่าสุดในคดีค้ามนุษย์เยาวชนในบ้านพักเด็กและครอบครัว จังหวัดสุราษฎร์ธานี แสงโรจน์ถูกตั้งข้อหา 5 ข้อหา มีผู้เสียหายรวมแล้ว 7 คน โดยกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระรวม 10 กรรม ได้แก่
- กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
- กระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
- พรากหรือร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร
- พาหรือร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม
- ร่วมกันชักจูง ส่งเสริม ยินยอม หรือกระทำด้วยประการใดให้เด็กกระทำผิด
การเป็นลูกหลานในตระกูลนักการเมืองท้องถิ่นควบคู่กับประวัติคดีอาชญากรรมที่ระบุว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์กระทำผิดซ้ำ ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความยุติธรรมของกระบวนการยุติธรรมไทย ผู้ใช้โซเชียลฯ บางรายตัดพ้อต่อว่าเปรียบเทียบกับตัวเองว่า ถ้าผู้ก่อเหตุเป็นคนธรรมดา มีฐานะยากจน ฐานะปานกลาง ไม่ได้เป็นลูกหลานนักการเมือง จะยังรอดออกมาก่อเหตุซ้ำแบบนี้ได้หรือไม่
มีการวิจารณ์ว่า คนในตระกูลนักการเมืองคนหนึ่งละเมิดสิทธิผู้อื่นจนชิน ไล่ยิงคน กักขังหน่วงเหนี่ยว และมีคดีข่มขืนหลายครั้ง ส่วนคนอื่นๆ ในครอบครัวเดียวกันก็เป็นโฆษกกรรมาธิการเด็กและสตรี ไปตัดริบบิ้นเปิดโครงการอบรมพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ผู้ใช้โซเชียลฯ เกิดการต่อประเด็นถกเถียงไปว่า แม้คนสองคนจะเป็นครอบครัวเดียวกัน ใช้นามสกุลเดียวกัน แต่ก็ไม่ควรเหมารวมว่าความผิดของคนคนหนึ่งจะทำให้ทั้งตระกูลผิดไปเสียหมด และมีบางรายแสดงความคิดเห็นโต้กลับว่า หากคนในครอบครัวไม่ได้ก่อเหตุ แต่ช่วยปกปิดความผิด ไม่พยายามช่วยแก้ปัญหา ก็คงถือเป็นการกระทำที่ย่ำแย่ไม่ต่างกัน
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเรื่องดังกล่าวยังไม่มีท่าทีจบลง เมื่อมีนามสกุลนักการเมืองมาเกี่ยวข้อง จึงเกิดการเรียกร้องไปยัง ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ให้ตัวแทนของพรรคควรออกมาชี้แจงต่อประชาชนว่าจะไม่มีความพยายามช่วยเหลือ หรือปกปิดความผิดให้กับลูกหลานของอดีตคนในพรรค
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเสียงเรียกร้องให้ จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแสดงความรับผิดชอบและชี้แจงต่อประเด็นค้ามนุษย์ในบ้านพักเด็กฯ ให้ชัดเจน
จุติ ไกรฤกษ์ กล่าวว่าคนทำผิดจะต้องไม่อยู่เหนือกฎหมาย พรรคการเมืองไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา เพราะผู้ต้องหาไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค และย้ำว่าพรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนชัดเจนเรื่องการป้องกันการค้ามนุษย์ แต่ถ้ามีกรณีที่พยายามมุ่งทำลายทางการเมืองด้วยการหาความเชื่อมโยงให้พรรคเกี่ยวข้องกับคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็ก จะถือว่าเป็นการเมืองน้ำเน่าที่ไม่สร้างสรรค์
หลังแสงโรจน์ถูกออกหมายจับ 5 ข้อหา และไม่มาตามหมายเรียกของตำรวจ วันที่ 8 พฤษภาคม 2565 เขากับทนายความเดินทางมามอบตัวที่สถานีตำรวจภูธรสุราษฎร์ธานี เบื้องต้นให้การปฏิเสธทุุกข้อกล่าวหา ก่อนช่วงเช้าของวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 มีรายงานว่า พนักงานสอบสวนนำตัวแสงโรจน์ไปขออำนาจจากศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อฝากขังและคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าจะไปก่อความยุ่งเหยิงต่อพยานหลักฐาน แต่สุดท้ายเขาได้สิทธิปล่อยตัวชั่วคราวเหมือนกับผู้ซื้อบริการทางเพศคนอื่นๆ ที่ได้รับการประกันตัวออกไปหมดแล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้สังคมเกิดความสงสัยว่า ทำไมผู้ต้องหาคดีร้ายแรงที่พัวพันการค้ากามเด็ก และส่วนใหญ่กระทำผิดแบบเดิมซ้ำๆ ถึงได้รับโอกาสที่ไม่ควรจะได้รับ หรือเป็นเพราะว่าพวกเขาคือ ‘อภิสิทธิ์ชน’ เป็น ‘ชนชั้นวีไอพี’ อย่างที่สังคมครหาจริงๆ
ทว่าไม่กี่ชั่วโมงหลังมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจนประชาชนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันไปไกล ศาลมีคำสั่งเพิกถอนปล่อยตัวชั่วคราว และส่งตัวแสงโรจน์เข้าฝากขังที่เรือนจำกลางสุราษฎร์ธานีเพื่อรอการพิพากษาต่อไป
…
ไม่ได้มีแค่การค้ามนุษย์เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศเท่านั้น ยังมีคนอีกมากที่ถูกจับมาเป็นแรงงานในเรือประมง แรงงานในบ้าน แรงงานในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หรือการถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ จับไปเป็นขอทานตามถนน ที่เหยื่อจะเป็นใครก็ได้ เพศใดก็ได้ และมีสัญชาติใดก็ได้
ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ฉบับเดียวกับที่ระบุว่าไทยอยู่ในระดับเทียร์ 3 ยังระบุอีกว่า รัฐบาลไทยไม่สามารถทำตามมาตรฐานขั้นต่ำในการจัดการกับปัญหาค้ามนุษย์ ไม่มีการแสดงความพยายามแก้ปัญหาดังกล่าว และในบางการสืบสวนเกี่ยวกับคดีค้ามนุษย์ พบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับคดีเหล่านี้ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด สนับสนุนให้กิจกรรมการค้าที่ผิดกฎหมายยังคงเกิดขึ้นในสังคมไทย ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการปราบปรามการค้ามนุษย์ที่ต้องหาทางแก้ไขที่ถูกต้องให้ได้โดยเร็วที่สุด
อ้างอิง
-
รศ.ดร.ใยอนงค์ ทิมสุวรรณ. สิทธิมนุษยชนกับการค้ามนุษย์. สืบค้นจาก https://www.constitutionalcourt.or.th/occ_web/ewt_dl_link.php?nid=1514
Tags: Human Trafficking, บ้านพักเด็ก, Report, การล่วงละเมิดทางเพศ, เพศ, การค้ามนุษย์, ความเท่าเทียมทางเพศ, การค้าบริการทางเพศ, ค้ามนุษย์