ในที่สุด ฟุตบอลโลก 2022 ก็ได้ประเทศแรกที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศแล้ว นั่นคืออาร์เจนตินา หลังโชว์ฟอร์มถล่มโครเอเชียไป 3-0 รอพบผู้ชนะอีกคู่ระหว่างแชมป์เก่าฝรั่งเศสกับม้ามืดอย่างโมร็อกโก ที่จะลงฟาดแข้งกันในค่ำคืนนี้ (เช้ามืดวันที่ 15 ธันวาคม)

สำหรับฝรั่งเศสถือว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย หลังเอาชนะ ‘สิงโตคำราม’ อังกฤษ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศมาพบกับโมร็อกโก ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นเกมแห่งการลบคำสาปของทีมที่เป็น ‘แชมป์เก่า’ แต่ต้องพลาดท่าตกรอบแรกใน 3 ครั้งหลังสุด นับตั้งแต่อิตาลีคว้าแชมป์ในปี 2006 และตกรอบแรกในปี 2010 สเปนคว้าแชมป์ในปี 2010 และตกรอบแรกในปี 2014 เยอรมนีคว้าแชมป์ในปี 2014 และตกรอบแรกในปี 2018

ในปีนี้ ฝรั่งเศสรักษามาตรฐานในการต่อกรกับคู่ต่อสู้ได้อย่างเหนือชั้น โดยในรอบแบ่งกลุ่ม ‘ทัพตราไก่’ บุกเอาชนะออสเตรเลีย 4-1 และเดนมาร์ก 2-1 แม้จะไปสะดุดเสียแต้มให้กับตูนิเซียในนัดสุดท้าย แต่ด้วยคะแนนรวมและผลต่างของประตูได้-เสีย จากการแข่งขันทั้ง 3 นัด ก็ส่งให้ฝรั่งเศสผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีม ด้วยการขึ้นเป็นจ่าฝูงกลุ่ม D ก่อนจะคว้าชัยในการเผชิญหน้ากับโปแลนด์ด้วยสกอร์ 3-1 พร้อมส่งอังกฤษกลับบ้านในรอบ 8 ทีมอย่างหวุดหวิด 2-1 ทำให้พวกเขาขยับเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้อีกครั้ง โดยไม่มีนักเตะบาดเจ็บหรือติดโทษแบนให้ต้องกังวล

‘เป็นแชมป์ว่ายากแล้ว ป้องกันแชมป์นั้นยากกว่า’ 

เมื่อย้อนมองความสำเร็จที่ผ่านมาของฝรั่งเศส แน่นอนว่าการได้ครองชัยชนะเหนือทุกทีมในโลกเป็นเรื่องน่ายินดี แต่หากมองอีกมุมหนึ่งก็อาจเป็นดาบสองคมได้เช่นกัน เพราะการถือถ้วยแชมป์ไว้ในมือ ไม่ต่างอะไรกับการต้องถือความคาดหวังและแบกรับความกดดันจากทั้งกองเชียร์ นักวิจารณ์ รวมถึงคู่ต่อสู้ในปีถัดไป ที่ต่างหวังจะแย่งชิงการเป็นเบอร์หนึ่ง และโค่นแชมป์ด้วยแรงขับภายในที่ว่า ‘หากล้มแชมป์ได้ ถือว่าเป็นทีมที่สุดยอด’ 

ดังนั้น การสวมเสื้อที่มีดาวการันตีความเป็นเบอร์หนึ่งบนอก จึงถือเป็นเครื่องย้ำเตือนแชมป์เก่าอยู่เสมอว่า นอกจากมาตรฐานที่ห้ามตกแล้ว ยังต้องเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว ซึ่งความกดดันในจุดนี้อาจส่งผลให้นักเตะบางคนถึงขั้นไม่สามารถโชว์ศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของตัวผู้เล่นที่ถ่ายเลือดใหม่ จากการวางมือของนักเตะชุดเก่าที่เคยเป็นแชมป์ ทำให้โค้ชต้องปรับเปลี่ยนแผนการเล่นให้เหมาะสมกับนักเตะที่ขึ้นมาทดแทนในชุดปัจจุบัน ต่อเนื่องไปจนถึงการวางแท็กติกที่อาจมีความรัดกุมมากขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่า เมื่อเป็นแชมป์มาแล้วก็ไม่อยากพ่าย จึงต้องเล่นแบบ ‘ปลอดภัยไว้ก่อน’ ซึ่งในเกมการแข่งขันฟุตบอล เมื่อทีมหนึ่งเลือกแผนการเล่นแบบตั้งรับมากกว่ารุก โอกาสที่คู่ต่อสู้จะเปิดเกมบุกขึ้นมาทำประตูก็ย่อมมีมากขึ้น นี่จึงอาจเป็นเหตุผลของการผลักแชมป์เก่าให้ตกขบวนตั้งแต่รอบแรกของศึกฟุตบอลโลกใน 3 ครั้งหลังสุด

อย่างไรก็ดี ปัจจัยดังกล่าวกลับไม่สามารถหยุดความแข็งแกร่งของขุมกำลังตราไก่ในปีนี้ ภายใต้การกุมบังเหียนของ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ (Didier Deschamps) ผู้จัดการทีมชาติฝรั่งเศส ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งเรื่องความพร้อมของผู้เล่นในแต่ละตำแหน่ง ที่สามารถผลัดขึ้นมาทดแทนกันได้อย่างแนบเนียน มากไปกว่านั้น หากไล่เรียงรายชื่อผู้เล่นที่ถูกเรียกตัวมาตะลุยศึกฟุตบอลโลกในครั้งนี้ จะเห็นว่าทั้ง 26 คน ต่างเล่นให้กับสโมสรจาก 5 ลีกยักษ์ใหญ่ในยุโรป ทั้งพรีเมียร์ลีก (Premier League) ลาลีกา (LaLiga) บุนเดสลีกา (Bundesliga) ลีกเอิง (Ligue 1) และกัลโชเซเรียอา (Serie A) ซึ่งทำให้ทีมได้เปรียบในแง่ของการสไตล์การเล่นที่หลากหลาย ทั้งยังสามารถพึ่งพาทักษะเฉพาะตัวของนักเตะที่ได้รับการยอมรับจากเวทียุโรปมาแล้ว อาทิ อองตวน กรีซมันน์ (Antoine Griezmann) โอลิวิเยร์ ชิรูด์ (Olivier Giroud) คีลิยัน เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappé) ราฟาแอล วาราน (Raphaël Varane) แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ (Benjamin Pavard) และอูโก ยอริส (Hugo Lloris) 

นอกจากความได้เปรียบในเรื่องของตัวผู้เล่น แผนการทำทีมของกุนซืออย่าง ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ก็นับว่าเป็นกุญแจสำคัญที่เข้ามาไขรหัสบนพื้นสนาม จนสามารถสร้างความแตกต่างเหนือคู่ต่อสู้ได้อย่างเฉียบคม ซึ่งจะเห็นว่ารูปแบบการเข้าทำของฝรั่งเศสเต็มไปด้วยความยืดหยุ่น ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนแท็กติกระหว่างเกมได้อย่างเนียนกริบ ตั้งแต่การเล่นบอลบนพื้น การส่งบอลและเคลื่อนไหวในระยะสั้น คล้ายกับวิธีการเล่นของสเปน แต่ทว่าความแตกต่างของทัพตราไก่ อยู่ที่การเพิ่มลูกโจมตีกลางอากาศ และการบุกทางปีก โดยอาศัยความเร็วและจังหวะ เพื่อสร้างโอกาสในการยิงประตูของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ในขณะเดียวกันก็ยังมี อองตวน กรีซมันน์ ที่เป็นตัวเปิดบอลไกลอย่างแม่นยำให้เพื่อนร่วมทีมได้เข้าทำหรือสอดขึ้นไปยิง และท้ายที่สุดหากการเจาะจากด้านข้างยังไม่เป็นผล ฝรั่งเศสก็สามารถพึ่งลูกกลางอากาศโดยใช้ประโยชน์จากความสูงของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ หัวหอกตัวเป้าเป็นตัวปิดสกอร์ อย่างที่ได้เห็นกันมาแล้วในเกมพบกับอังกฤษ

มีสถิติน่าสนใจของฝรั่งเศสจาก 5 เกมที่ผ่านมามากมาย อาทิ พวกเขาจ่ายบอลไปทั้งหมด 2,782 ครั้ง สำเร็จมากถึง 2,466 ครั้ง มีการผ่านบอลจากด้านข้างเพื่อลุ้นเข้าทำประตูทั้งสิ้น 177 ครั้ง สำเร็จ 44 ครั้ง นอกจากนี้ยังสร้างโอกาสทำประตูในกรอบเขตโทษได้ 54 ครั้ง นอกกรอบเขตโทษอีก 23 ครั้ง ยิงประตูไป 77 ครั้ง และเป็นประตู 11 ครั้ง

การที่ฝรั่งเศสสดยบคำสาปแชมป์เก่าและก้าวเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้ พิสูจน์ให้เห็นว่า การรักษามาตรฐาน รักษาคุณภาพของตัวผู้เล่น ประกอบกับสร้างความสมดุลระหว่างเกมรุก-เกมรับ และการทำทีมของกุนซือ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ลูกทีมของ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ มีลุ้นคว้าแชมป์ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี 

อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลานี้ สิ่งที่ฝรั่งเศสให้ความสำคัญ ไม่ใช่เรื่องอาถรรพ์หรือการลบคำสาปใดๆ หากแต่เป็นนัดชี้ชะตากับโมร็อกโก ทัพตราไก่จะเอาชนะสิงโตแอตลาสเพื่อฝ่าฟันเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ และสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่ป้องกันแชมป์โลกในรอบ 60 ปี หลังจากบราซิลเคยทำได้ในปี 1958 และ 1962 ได้หรือไม่ อีกไม่นาน แฟนบอลก็จะได้รู้คำตอบ

ที่มา:

https://www.fifa.com/fifaplus/en/tournaments/mens/worldcup/qatar2022/teams/france/squad

https://www.fifa.com/fifaplus/en/tournaments/mens/worldcup/qatar2022/teams/france/stats

https://shorturl.asia/IlzHT

Tags: , , , ,