เวลา 3 ชั่วโมงเปลี่ยนวิวนอกหน้าต่างจากอาคารคอนกรีตสูงตระหง่านย่านชินจูกุ สู่ทิวสนโบราณที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาบริเวณตีนภูเขาไฟฟูจิ มรดกโลกทางวัฒนธรรมที่เป็นแรงบันดาลใจแก่ศิลปินทั่วโลก และภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
ผมแหงนหน้า พยายามมองหายอดฟูจิซึ่งเป็นจุดหมายของการเดินทาง แต่ในกระไอหนาของหมอก ผมได้แต่ฝันถึงยอดภูเขาไฟสีขาวสะอาดเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่น เมื่อเล่าให้เพื่อนร่วมทางฟัง เสียงที่ตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะในความช่างฝัน เพราะฟูจิในฤดูกาลที่เปิดรับนักเดินเขาแทบไม่มีน้ำแข็งเกาะ เป็นภูเขาหัวโล้นสีน้ำตาลหม่นเพราะสูงเกินกว่าที่พรรณไม้จะเอาชีวิตรอด
ภูเขาไฟฟูจิมีทั้งหมด 10 ชั้น โดยรถทัวร์จะมาส่งที่ชั้น 5 ของเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาที่ว่ากันว่าง่ายที่สุด คือเส้นทางโยชิดะ (Yoshida Trail) นอกจากเส้นทางนี้ ยังมีอีก 3 เส้นทางหลักสู่ยอดภูเขาไฟฟูจิ คือ เส้นทางฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya Trail) เส้นทางโกเท็มบะ (Gotemba Trail) และเส้นทางซึบาชิริ (Subashiri Trail)
เราลงมายืดเส้นยืดสาย ก่อนนำกระเป๋าเดินทางไปฝากไว้ในล็อกเกอร์ของร้านค้า หยิบคว้าเฉพาะเสื้อผ้า ไฟฉาย น้ำดื่ม และขนมเสริมพลังงานใส่กระเป๋าใบเล็ก เปลี่ยนชุดเข้าสู่โหมดกันฝน คว้าไม้เท้าเดินป่า แล้วไปนั่งจิบชา กินอุด้งร้อนๆ รอเวลาให้ร่างกายปรับตัวกับระดับความสูงที่เพิ่มพรวดจากศูนย์ถึง 2,305 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
สูงขนาดไหน ?
เอาเป็นว่าแค่ชั้น 5 ก็พอจะเคียงบ่าเคียงไหล่กับยอดดอยอินทนนท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร แต่นี่แค่จุดเริ่มต้น เพราะจุดที่สูงที่สุดบนปล่องภูเขาไฟฟูจิ สูงถึง 3,776 เมตร!
นักเดินเขาที่ฝันจะปีนถึงยอดภูเขาไฟฟูจิจึงถูกย้ำนักย้ำหนาว่าถ้าไม่เก๋าประสบการณ์เดินภูเขาสูงจริง ให้เดินช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพราะออกซิเจนบนที่สูงนั้นมีน้อย มิฉะนั้นอาจโดนโรคแพ้ความสูง (Altitude Sickness) เล่นงานจนต้องหามส่งโรงพยาบาล โดยอาการเริ่มต้นที่ผมเจอกับตัว เช่น มึนหัว คลื่นไส้ ฯลฯ จึงแนะนำให้ช้าแต่ชัวร์ดีกว่า
2,305 – 3,360 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
เราเริ่มออกเดินทางช่วงกลางบ่ายที่ไร้แดด หมอกแน่นหนาจนสีเขียวของใบไม้กลายเป็นสีเทาหม่น การเดินในหมอกก็เหมือนเดินฝ่าละอองฝน เพียงแต่หยดน้ำจะจู่โจมเราทุกทิศทางจนเปียกซึมความรู้สึก
เส้นทางระหว่างชั้น 5 และชั้น 6 เป็นเหมือนคำถามว่าเราปรับตัวกับระดับความสูงใหม่ได้หรือยัง ทางราบสลับชัน เดินเรื่อยๆ ชิลๆ แม้มองแทบไม่เห็นทางข้างหน้าแต่ป้ายไม้ข้างทางบอกเราว่าหากจะขึ้นสู่ยอดภูเขาไฟก็ให้ก้าวเดินต่อไป
“ไม่เห็นอะไรเลย” หนึ่งในเพื่อนร่วมทริปเริ่มโอด เมื่อสองข้างทางที่ควรจะได้เห็นวิวสวยกลับมีแต่หมอกขาว ผมปลอบสั้นๆ ว่าเที่ยวธรรมชาติก็แบบนี้ ถ้าดวงดีก็คงได้เห็นภาพสวยๆ แต่ถ้าดวงไม่มีก็เก็บความทรงจำจากสองข้างทาง แล้ววางแผนว่าสักวันจะกลับมาใหม่
ไม่ถึงชั่วโมงเราก็เดินถึงชั้น 6 ผมคำนวณในใจว่าถ้าเราทำเวลาได้แบบนี้ คงถึงที่พักก่อนฟ้ามืดได้แบบสบายๆ ทางซ้ายมือของเราเป็นหน้าผาที่ปกคลุมด้วยเมฆหม่น ส่วนทางขวาคือทางเดินดินชันประมาณ 20 องศาสลับซ้ายขวาต่อเนื่องไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด แต่ละระดับพอจะมองเห็นเสื้อกันฝนสีสันสดใสอยู่ไกลๆ
นับตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวญี่ปุ่นนับถือภูเขาไฟฟูจิเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่น่ายำเกรงเนื่องจากการปะทุของภูเขาไฟครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่ภูเขาไฟฟูจิสงบลง การแสวงบุญโดยการเดินขึ้นสู่ยอดก็ได้รับความนิยมอย่างมากนับตั้งแต่สมัยเอโดะเป็นต้นมา พิธีกรรมดังกล่าวเชื่อมโยงแนบแน่นกับศาสนาชินโตและพุทธ คนกับธรรมชาติ การตายและการเกิดใหม่ โดยซึมซับผ่านการเดินขึ้นและลงภูเขาไฟฟูจิ
เราผ่านคณะชาวญี่ปุ่นที่เดินอย่างแช่มช้า ในกลุ่มมีตั้งแต่คนรุ่นปู่ย่าที่จูงมือมาด้วยกัน ครอบครัวที่มีสมาชิกตัวน้อยเดินเตาะแตะตามหลัง ทีละก้าว ทีละก้าว พวกเขาค่อยๆ เดินผ่านทางดินโค้งแล้วโค้งเล่าด้วยใบหน้าสงบนิ่งชวนให้สงสัยว่าพวกเขากำลังคิดถึงอะไร ส่วนในหัวของผม มีแต่เสียงตะโกนให้หยุดพัก แม้จะละอายใจเล็กๆ ที่คุณปู่คุณย่ายังตั้งหน้าตั้งตาเดิน
พ้นชั้น 6 พร้อมอาการขาล้า มองกลับหลังเห็นทางดินยาวสุดตา นักเดินทางยังคงทยอยมาอย่างต่อเนื่องแม้ว่าฟ้าจะใกล้มืดเต็มที เราอยากเร่งความเร็วเพื่อไปให้ถึงที่พักก่อนฟ้ามืด แต่ต้องเปลี่ยนใจเพราะตั้งแต่ชั้น 7 เป็นต้นไป ทางเดินนอกจากจะชันแสนชัน ยังถมเต็มไปด้วยหินล้วนๆ
โชคดีที่ระหว่างทางเราได้นั่งพักตามโรงแรมและซื้อขนมประโลมใจ ระบบราคาของที่นี่ก็คล้ายกับภูกระดึงของไทย คือยิ่งสูงยิ่งแพง โดยราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 2 – 3 เท่าของราคาที่หาซื้อได้จากพื้นราบ ยังไม่นับห้องน้ำที่การปลดทุกข์แต่ละครั้งคิดกลับเป็นเงินไทยอยู่ที่ 60 บาท แต่สำหรับนักปีนเขาที่เหนื่อยล้า ก็ยากจะห้ามใจไม่ให้ซื้อความสุขสบายเล็กๆ น้อยๆ แล้วค่อยรวบรวมกำลังขาเพื่อก้าวต่อไป
กว่าจะถึงที่พักบนชั้น 8 แสงแดดก็ถูกทดแทนด้วยแสงไฟฉายและสายฝนกระหน่ำ เราพาตัวเปียกโชกเข้าที่พัก สลัดอุปกรณ์กันฝน ควักเงินร่วม 2,500 บาทเพื่อซื้อที่นอนขนาดชนไหล่คนนอนข้างๆ ในห้องเพดานต่ำที่ถูกซอยสองชั้น ตรงกลางมีทางเดินเล็กๆ ที่เวลาเดินต้องค้อมตัวต่ำ เพราะราวด้านบนถูกจับจองด้วยเสื้อผ้าชุ่มฝน พร้อมอาหารเย็นเป็นข้าวแกงกะหรี่ร้อนๆ แต่การเข้าห้องน้ำแต่ละครั้งก็ไม่วายต้องเสียสตางค์เช่นเดิม
ใช่ครับ มันแพง แพงมาก แต่เราไม่ได้มาปีนขึ้นภูเขาไฟฟูจิทุกวันไม่ใช่หรือ ?
3,360 – 3,776 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
เมื่อคืนไม่มีใครหลับสนิท อาจเป็นเพราะเสียงกรนดังสนั่นหวั่นไหวของเพื่อนร่วมห้องร่วมร้อยชีวิต หรือเสียงขลุกขลักกุกกักของเหล่านักเดินเขาที่ทยอยลุกออกเดินทางบ้างเที่ยงคืน บ้างตีสอง เพื่อให้ทันชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าบนยอดภูเขาไฟฟูจิ ส่วนนักเดินทางไทยสี่ชีวิตน่ะหรือ แค่จะแงะตัวเองออกมาจากที่นอนเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นหน้าโรงแรมตอนตี 4 ยังยากเลย
กว่าจะได้ออกเดินสู่ยอดภูเขาไฟฟูจิก็เกือบ 6 โมง นับรวมเวลาที่เสียไปเนื่องจากเดินผิดทิศเพราะดันไปตามกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังจะเดินลง วันนี้ท้องฟ้ายังปิด แต่เราก็ยังมีความหวังว่าแดดจะโผล่มาทักทายเราบ้าง เพราะอย่างน้อย เราก็อยากจะเก็บภาพฟ้าสีฟ้ากลับบ้านเป็นที่ระลึก
เริ่มปีนขึ้นไม่กี่นาที หมอกข้างหลังก็สลายตัวเปิดท้องฟ้าใสให้เราหยุดคว้ากล้อง เป็นครั้งแรกที่ผมสำนึกได้ว่าตัวเองอยู่สูงขนาดไหน ก้อนเมฆส่วนใหญ่อยู่ในระดับสายตา แต่บางส่วนเราต้องก้มลงมองไปที่ขอบฟ้าถึงจะได้เจอ ยอดฟูจิสีน้ำตาลแดงก็โผล่หน้ามาให้เราเห็นนิดๆ แม้ต้นเดือนสิงหาคมจะเป็นฤดูร้อนของญี่ปุ่น เราก็ยังเห็นแผ่นน้ำแข็งสีขาวประดับยอดเป็นหย่อมๆ
เราอยากจะเร่งฝีเท้า แต่เส้นทางช่วงหลังก็แสนโหดและเต็มไปด้วยหิน ออกซิเจนก็ลดน้อย เพียงเดินไปไม่กี่ก้าว ผมก็รู้สึกหายใจไม่ทัน แสงแดดที่เคยทำให้เราดีใจ กลับแผดเผาหนักหน่วงจนต้องทาครีมกันแดดซ้ำแล้วซ้ำอีก เราใช้เวลาเกือบ 2 เท่าจากที่ระบุไว้ในคู่มือท่องเที่ยว ก่อนจะเห็น ‘โทะริอิ’ ซุ้มประตูที่บอกว่าอาณาเขตข้างหน้าคือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เราก้าวขึ้นครั้งสุดท้าย แวะไหว้ศาลเจ้า ก่อนจะมานอนแผ่หลากินชานม รับแดดเที่ยงบนยอดภูเขาไฟฟูจิ
จากความเข้าใจแรกว่าจะได้เดินชิลๆ รอบปล่องภูเขาไฟเหมือนแอนิเมชันเรื่อง Your Name ความจริงตรงหน้าก็ดับฝันผมอีกครั้ง เพราะทางเดินรอบปล่องภูเขาไฟฟูจินั้นทั้งชัน ทั้งน่าหวาดเสียว แถมยังใช้เวลาเดินหนึ่งรอบเท่ากับ 2 ชั่วโมง!
แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน ในเมื่อเดินมาไกลถึงขนาดนี้ ผมก็เลยตัดสินใจเดินดูสักรอบ
เส้นทางรอบปล่องมีภูมิทัศน์หลากหลาย ตั้งแต่เส้นทางริมหน้าผาที่มองไปทางซ้ายมีแต่ท้องฟ้ากับเมฆล้วนๆ เส้นทางชัน 45 องศาเพื่อขึ้นสู่ยอดเคนกามิเนะ (Mt. Kengamine) จุดที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น สันเขาที่มองไปสองข้างไม่เห็นอะไรนอกจากสายหมอกที่ไหลผ่าน บางจุดก็เห็นแต่ความเวิ้งว้างกับก้อนหินสีประหลาดเหมือนกับหลุดเข้าไปในหนังไซไฟต่างดาว
เราเดินวนกลับมารับเพื่อนที่ตัดสินใจไม่เดินรอบปล่องเพื่อเก็บแรงไว้เดินลง ควักเงิน 300 เยนเพื่อเข้าห้องน้ำ (แพงที่สุดที่เคยจ่ายตั้งแต่เกิดมา) แล้วโบกมือลายอดภูเขาไฟ
สู่พื้นราบ
ถ้าคิดว่าทางขึ้นยากแล้ว บอกตามตรงว่าทางลงโหดกว่าเยอะ
แดดส่องจ้า ฟ้าเปิด เพิ่มความเสียววูบวาบให้กับทางลงลาดสลับซ้ายขวาต่อเนื่อง จากยอดภูเขาไปถึงชั้น 5 เพราะมองสุดขอบทางไม่ว่าทางไหนก็เจอแต่มวลก้อนเมฆที่เชิญชวนให้กระโดดลงไปเล่นด้วย
เราค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวัง แต่นั่นทำให้ยิ่งช้าและเพิ่มความเจ็บชาที่ปลายเท้า พลางเฝ้ามองชาวต่างชาติผมทองวัยห่าม วิ่งลงภูเขาไฟอย่างสบายอารมณ์
จากแดดบ่ายไปจนถึงหมอกสีหม่นที่ตีนเขา เราเดินสลับพักแต่ไม่มีทีท่าว่าจะถึงปลายทาง ก่อนจะสะดุดความงามที่โผล่มาแบบไม่ได้นัดหมายที่ชั้น 6 มันคือทิวทัศน์ป่าสนเขียวสดตัดกับหมอกและแสงแดดยามเย็น เป็นชั่วเวลาไม่กี่นาทีที่หากเราใจร้อนเดินเร็วกว่านี้ ก็คงไม่มีโอกาสได้เห็น
ผมกดชัดเตอร์รูปแล้วรูปเล่า หันไปยิ้มบอกเพื่อนร่วมทางว่าเราโชคดีขนาดไหน
คนไทยสี่ชีวิตเดินถึงรถบัสเป็นกลุ่มสุดท้ายตอนเกือบ 2 ทุ่ม เราได้ที่นั่งพิเศษเป็นเบาะเสริมแทรกตรงกลางระหว่างที่นั่งสองแถว สร้างความฮือฮาให้กับชาวตะวันตกไม่น้อย
ระหว่างทางกลับสู่ความเป็นเมือง ผมหยิบป้ายไม้ที่ได้ตอนซื้อบัตรเข้าภูเขาไฟฟูจิมาลูบๆ คลำๆ แม้จะอ่านไม่ออก แต่ดูจากรูปภาพก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการเดินจาริกสู่ยอดเขา ด้านข้างระบุปี ค.ศ. 2017
ส่วนครั้งหน้าจะเป็นปีไหน ก็ไว้ว่ากันใหม่นะคุณฟูจิ
ขอบคุณ จี๊ด จี๊ป จ็อบ ผู้ร่วมเดินทางสู่ยอดภูเขาไฟฟูจิ
ภาพ: รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์