ข้อถกเถียงเรื่องชนชั้นกลาง ‘ล่มสลาย’ เป็นวิวาทะใหม่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื้อหาว่าด้วยโลกกำลังทอดทิ้ง ‘ชนชั้นกลาง’ จากเดิมที่สามารถเติบโตไดระบบ โครงสร้าง และตลาดแบบเดิมๆ ใช้ชีวิตเรื่อยไปจนมีเงินเก็บ มีบ้าน มีรถ มีครอบครัว ทว่าวันนี้ไม่มีอีกแล้ว
ชนชั้นบนร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ ดูดทรัพยากรจากชนชั้นกลางมากขึ้นเรื่อยๆ ตลาดแรงงานหดแคบลง ถูก Disrupt ด้วยหุ่นยนต์และระบบปัญญาประดิษฐ์ แม้ชนชั้นกลางจะหาเงินได้เท่าเดิมหรือมากขึ้น แต่ค่าครองชีพก็ไปไกลเกินกว่าจะมีบ้าน มีรถ มีครอบครัวได้
อ่านอย่างไรก็เป็นเรื่องจริง ‘โครงสร้าง’ แบบนี้จะทิ้งชนชั้นกลางมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าที่ไหนในโลก ในประเทศเจริญแล้วอาจมี Buffer ไว้รองรับ รายได้ของชนชั้นกลางอาจจะสูงมากเพียงพอ ‘บุญเก่า’ อาจพาให้ประเทศเติบโตไปได้อีก 30-40 ปีแบบสบายๆ ค่อยล่มสลายในรุ่นลูก รุ่นหลาน
แต่สำหรับประเทศไทยนั้น ‘ชนชั้นกลาง’ ดูจะไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น แม้จะเป็นกลุ่มที่ ‘เสียงดัง’ ที่สุด มีอำนาจต่อรองมากที่สุด แต่แน่นอนว่า ในวิกฤตนี้ ในความล่มสลายของชนชั้นกลางคลื่นลูกนี้ ต้องย้อนกลับไปว่า ระบบอะไรที่สร้าง ‘ชนชั้นกลาง’ ขึ้นมา ระบบอะไรที่รักษา ‘ชนชั้นกลาง’ ให้อยู่อย่างปลอดภัย และทำให้ ‘ชนชั้นกลาง’ เสียงดังมากที่สุด
ชนชั้นกลาง มาจากไหน
อ้างอิงจากบทความของ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ชิ้นหนึ่ง บอกว่า ชนชั้นกลางไทยที่ไต่เต้ามาจากชนชั้นแรงงานมีไม่ถึง 25% และชนชั้นกลางไทยที่เห็นส่วนมากก็มาจากครอบครัว มาจากพ่อ-แม่ที่เป็นชนชั้นกลางด้วยกันอยู่แล้ว
และชนชั้นกลางประเภทนี้ ก็ไม่ได้เติบโตด้วยการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ชีวิตพวกเขาไม่ได้เติบโตมาอย่างยากลำบาก ไม่ได้ ‘ทะเยอทะยาน’ ในการเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ ไม่ได้ต้องการเข้าสู่ระบบโลกใหม่ พวกเขาเพียงเชื่อว่าอยู่ในโลกเดิม พวกเขาก็ปลอดภัย
และในทางตรงกันข้าม ต่อให้ทะเยอทะยานมากไป เขาก็จะเจอสภาพเศรษฐกิจ-สังคมแบบไทยๆ แบบนี้อยู่ดี
‘ประเทศ’ ไม่ได้พาให้เราทะเยอทะยานขนาดนั้น เป็นเรื่องที่แตกต่างจากเมื่อ 20 ปีก่อนโดยสิ้นเชิง
ใช่ ‘การเมือง’ คือเรื่องใหญ่ ก่อนที่การเมืองจะเละเทะ มั่วซั่ว สับสน เราเคยทะเยอทะยานกันมากกว่านี้
รายการ b-holder: The Lost Decades ของ The Momentum สัมภาษณ์คนหลายคนว่า 20 ปีก่อน เคยคิด-เคยฝันอะไรกันบ้าง แขกรับเชิญไม่ต่ำกว่า 1 คนฝันว่า ในห้วงเวลานั้นฝันที่จะเป็น ‘พลเมืองโลก’ ใครก็แล้วแต่ สามารถที่จะเติบโตในระดับโลก มากกว่าจะอยู่ในประเทศไทย
จะดีจะชั่วก็แล้วแต่ การเมืองที่นิ่ง ที่เป็นประชาธิปไตย ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้คนมีความฝันที่จะเติบโตด้วยตัวเอง มากกว่าจะทำลายล้างกัน
แต่อย่างที่รู้กัน การเมืองเราถดถอยลงเรื่อยๆ 20 ปีมานี้ มีการรัฐประหาร 2 ครั้ง มีรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ มีนายกรัฐมนตรีไม่รู้กี่คนต่อกี่คน และหากไม่นับผู้นำการรัฐประหารแล้ว เราแทบไม่มีนายกฯ ที่มาจากระบอบประชาธิปไตยที่อยู่ได้นานเลย
การเมืองพาให้เราติดหล่ม ไม่กล้าทะเยอทะยาน ไม่กล้าฝัน เพราะไม่รู้อนาคต และในเวลาเดียวกับที่การเมืองแย่ โครงสร้างเศรษฐกิจก็ ‘พัง’ ตามไปด้วย ในเวลา 20 ปีมานี้ การลงทุนจากต่างประเทศลดน้อยถอยลงมาก ประเทศไทยแทงข้างผิด ไม่ยอมลงทุนเซมิคอนดักเตอร์ หากลงทุนในอุตสาหกรรมเก่า ยังอยู่กับยานยนต์ ไม่เข้าใจว่ายานยนต์สันดาป ที่ในเวลานั้นกำลังก้าวเข้าสู่ระบบไฮบริดจะก้าวสู่ยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
การรัฐประหารรอบล่าสุดในปี 2557 นอกจากจะพาเราตัดสัมพันธ์กับตะวันตก เข้าใกล้จีนมากขึ้น ในห้วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของโลก ยังพาให้ไทยเสียโอกาสไปอีกหลายสิบปี รถไฟความเร็วสูงที่เคยเป็น ‘โอกาส’ ของเรา วันนี้ผ่านมาแล้ว 10 ปี ก็ยังไม่เห็นอนาคตว่าจะเสร็จเมื่อไร นอกจากจะทำให้โครงการที่เป็นความหวังว่าด้วยโครงสร้างพื้นฐานล่าช้าแล้ว ยังตัดโอกาสความเจริญให้เมืองที่รถไฟผ่านไปอีกไม่รู้กี่สิบปี
ถ้ายังไม่หนำใจ นอกจากการเมืองจะทำให้โครงสร้างพื้นฐานล่าช้าโดยใช่เหตุแล้ว อีกสิ่งที่ช้าไปด้วยคือ โอกาสในการทำให้ระบบ ‘การศึกษา’ ดีขึ้น พวกเราได้ยินมาตั้งแต่เด็กว่า ทุกปัญหาในประเทศนี้จะเริ่มแก้ต้องเริ่มจากการศึกษา จากหลักสูตรที่ทำให้เด็กคิดเป็น จากโรงเรียนที่มีคุณภาพมากขึ้น ภาษาที่ต้องได้มากกว่าหนึ่ง หรือการเดินตามเทรนด์การพัฒนาเทคโนโลยี การเรียน Coding แต่การศึกษาไทยไม่เคยถูกรื้อใหญ่ เรื่องที่คนจดจำในรอบ 10 ปีนี้คือ เรื่องการสอนค่านิยม 12 ประการ สอนศีลธรรม สอนประวัติศาสตร์ให้เข้มแข็งขึ้น ตามแบบที่ผู้นำคณะรัฐประหารอยากเห็น
เป็นการศึกษาที่อยากให้คน ‘เชื่อง’ ขึ้น มากกว่าอยากให้แข่งขันได้มากขึ้น มากกว่าอยากเห็นคนเก่งขึ้น
คำถามคือด้วยโครงสร้างแบบนี้ เราจะไปแข่งอะไรกับใคร
และหากยังไม่หนำใจอีก ดัชนีชี้วัดคอร์รัปชันยังเลวร้ายลงเรื่อยๆ สมัยคณะรัฐประหาร ดัชนี Corruption Perceptions Index (CPI) นั้นแย่อยู่แล้วคือ ลำดับที่ 76 ของโลก แต่ในยุคนี้ รัฐบาลเลือกตั้งกลับเลวร้ายกว่าเดิมไปอยู่ที่ 107 ของโลก
โดยภาพรวม โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และคอร์รัปชัน เลวร้ายลงหมด นี่คือสภาพประเทศไทย ที่ซ้ำเติมให้ชนชั้นกลางวิกฤตกว่าเดิม
แล้วชนชั้นกลางจะล่มสลายไหม
ผมจำความได้ว่า เมื่อหลายปีก่อน เรามีคำที่มีความหมายประมาณว่า Resilience, Agile เป็นคำที่กระตุ้นให้ ‘พัฒนาตัวเอง’ Adaptive เป็นคำที่กระตุ้นให้เราปรับตัวในโลกใหม่ พอดแคสต์แบบ Secret Sauce ชวนให้เราเติบโตขึ้น เก่งขึ้น
แล้วก็มาถึงยุคนี้ Growth Mindset, Self-awareness หรือ Lifelong Learning กลายเป็นคำยอดนิยม รู้เท่านี้ก็ไม่พอ ต้องรู้มากขึ้น ทำงานหนักเท่านี้ยังไม่พอ ต้องทำงานฉลาดขึ้น ต้องเติบโตขึ้น และไม่ได้แข่งแค่ในประเทศแต่ต้องแข่งกับเวียดนาม ต้องแข่งกับสิงคโปร์
และปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่ง ก็คือเรามีจำนวน ‘งาน’ ที่หดตัวลงเรื่อยๆ โพสต์ของ อาจารย์วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร บอกว่า การที่ต่างประเทศเลือกนำเงินมาลงทุนกับเราน้อยลง ทำให้งานใหม่จากธุรกิจส่งออก และงานใหม่จากเศรษฐกิจภายในไม่สามารถแข่งขันกับเวียดนามและมาเลเซียได้เลย
น่าเศร้าก็คือ หากประเทศอื่น บริษัทระดับท็อปคือบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เปลี่ยนโลก แต่บ้านเราบริษัทที่อยู่ในระดับ Top Tier เศรษฐีที่รวยติดอันดับ 1-5 เกือบครึ่งกลับเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยจากธุรกิจสัมปทาน
ด้วยโครงสร้างที่เป็นแบบนี้ เราจะไม่สามารถแข่งกับใครได้เลย เรากำลังเป็นหนูที่ถีบจักร ถีบไปเรื่อยๆ แรงขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเราก็พบว่า เรากำลังหมดแรงไปเอง โดยที่ยังไม่ได้แข่งกับใครแม้แต่น้อย
หากโครงสร้างยังเป็นแบบนี้ พัฒนาตัวเองให้ตาย เราก็อยู่ในถังใบเดิม พูดให้แรงอีกหน่อย เรายังอยู่ใน ‘กะลา’ ใบเดิม คนที่เก่ง หากไม่อยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย 1% ของประเทศนี้อยู่แล้ว ก็เลือกไปอยู่ต่างประเทศ เพราะก้าวหน้าได้มากกว่า สร้างประโยชน์ให้โลกมากกว่าสร้างประโยชน์ให้ที่นี่
ฉะนั้นการพัฒนาตัวเองอาจเป็นคำตอบแบบ ‘กำปั้นทุบดิน’ ให้อยู่ได้ แต่คำตอบที่ยั่งยืนกว่าคือ การเปลี่ยนโครงสร้างตั้งแต่การศึกษา การเมือง รัฐธรรมนูญ ความเหลื่อมล้ำ กระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีคนพูดไว้หมดแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าทำ เพราะกระทบบรรดาคนระดับบนมากเกินไป
ถึงเวลายอมรับเสียทีว่า โครงสร้างแบบนี้ ‘เน่า’ เกินไป ต่อให้ชนชั้นไหนก็อยู่ไม่ได้ จะรอดได้เพียง 1% ที่อยู่บนสุด รอดบนซากปรักหักพัง รอดบนสภาพสังคมที่เลวลง
การทำให้ชนชั้นกลางอยู่รอด จึงไม่ใช่มีแค่เรื่อง ‘ปฏิวัติ’ ตัวเองให้เก่งขึ้น ให้ไปทันโลก แต่คือกล้าเปลี่ยน ‘เกม’ นี้หรือไม่ ถ้าไม่กล้าเปลี่ยน ภายใต้เกมนี้จะมีแต่คนที่พ่ายแพ้ และเป็นพวกเราเสียเองที่ถูกวางให้เป็นผู้แพ้ ในระบบที่ตั้งใจให้เราแพ้ตั้งแต่ต้น
Tags: วิกฤตชนชั้นกลาง, ระบอบประชาธิปไตย, ความเหลื่อมล้ำ, วิกฤตเศรษฐกิจ, ชนชั้นกลาง