อากาศยามบ่ายของเมืองเกิ่นเทอ (Cần Thơ) ไม่ต่างจากประเทศไทยมากนัก ในช่วงเช้ามีแดดอุ่นๆ เสิร์ฟพร้อมกับกาแฟและบั๋นหมี่ (Banhmi) ขนมปังเวียดนามใส่ไส้ต่างๆ เข้ากันได้อย่างดี ยามเที่ยงอาทิตย์ตรงหัวก็ร้อนอบอ้าวจนต้องหาที่พักใต้เงาไม้ร่มๆ ริมทาง ซึ่งแตกต่างกับทางตอนเหนือของเวียดนาม ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ราวๆ 18 องศาเซลเซียส แต่ยังดีในช่วงบ่ายๆ พอจะมีลมเย็นๆ หอบเอาละอองของสายน้ำโขงมากระทบร่างให้เย็นชื่นใจอยู่บ้างเป็นพักๆ

เมืองเกิ่นเทอ เป็นเมืองใหญ่อันดับสี่ของประเทศเวียดนาม อยู่ในแถบ 13 จังหวัดภาคใต้ของประเทศเวียดนาม หรือที่เรียกว่า แม่โขงเดลตา (Maekong Delta) จึงทำให้เกิ่นเทอเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ก่อนจะออกสู่ทะเลจีนใต้ ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของพื้นที่แห่งนี้เป็นที่ราบลุ่มติดกับลำน้ำโขงสายหลักและลำน้ำสาขา ประกอบกับในพื้นที่แถบนี้มีเพียง 2 ฤดูเท่านั้นคือ ฤดูฝนและฤดูร้อน ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งเพาะปลูกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ประชากรในเมืองจึงมีอาชีพทางด้านเกษตรกรรม ประมง และค้าขายเป็นหลัก อีกทั้งในยามสงครามพื้นที่แห่งนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นปากท้องของเวียดนามใต้

ภายหลังจากสงครามเวียดนาม เมืองหลวงของเวียดนามใต้อย่าง ‘ไซง่อน’ ก็เปลี่ยนชื่อเป็น ‘นครโฮจิมินห์’ เพื่อรำลึกถึง ประธานโฮจิมินห์ (Hồ Chí Minh) นักปฏิวัติคนสำคัญ ผู้ประกาศอิสระภาพให้ชาวเวียดนาม ที่ภายหลังได้กลายมาเป็นประธานาธิบดีคนแรกแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เหนือ)

ในหลายเมืองของประเทศเวียดนาม มีการสร้างอนุสาวรีย์ประธานโฮจิมินห์ และอนุสรณ์สถานแด่ทหารกล้าที่เสียชีวิตในสงคราม เพื่อบอกคนรุ่นหลังถึงความเสียสละ และความเลวร้ายของสงครามที่ทำให้คนภายในประเทศต้องนองเลือดแก่ชาติมหาอำนาจ (Proxy war) ทำให้ประเทศเวียดนามตกต้องอยู่ภายใต้ไฟสงครามอยู่หลายปี จนกระทั่งเวียดนามเหนือสามารถรวมประเทศภายใต้ธงดาวแดงได้อีกครั้ง

ในเมืองเกิ่นเทอ บริเวณริมน้ำโขงหรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า ซอมเมกอม (Sông Mê Kông) ก็มีการสร้างอนุสาวรีย์ประธานโฮจิมินห์ เช่นกัน ซึ่งอยู่ติดกับท่าเรือตลาดกลางคืนเกิ่นเทอ (Can Tho Night Market) ในยามเย็นช่วงพลบค่ำ บนถนนต่างเต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ แต่ที่เห็นได้เยอะที่สุดคือ ร้านผลไม้ และร้านขายเสื้อผ้าแบบเวียดนามซึ่งเป็นที่ถูกใจนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยทุกร้านต่างประดับหน้าร้านด้วยไฟสีสันจัดจ้าน จึงทำให้พื้นที่ให้แห่งนี้ในยามค่ำคืนกลายเป็นถนนคนเดินที่มีสีสันสวยงามไม่แพ้ที่อื่นของโลก

ถัดมาคือสวนสาธารณะริมน้ำขนาดย่อม เป็นพื้นที่พักผ่อนและลานโล่งในการทำกิจกรรมต่างๆ จึงทำให้เห็นชาวเวียดนามและบรรดานักท่องเที่ยวต่างออกมาเดินเล่นในพื้นที่แถบนี้อย่างไม่ขาดสาย โดยไฮไลต์หลักคือสะพานแห่งความรักเนิ่นเกียว (Ninh Kiều) หรือสะพานดอกบัว ซึ่งเป็นสะพานคนเดินที่ทอดยาวข้ามลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง โดยมีการประดับไฟหลากหลายสี และมีจุดชมวิวเป็นประติมากรรมรูปดอกบัวอยู่บนสะพาน สาเหตุที่ได้ชื่อว่าเป็น สะพานแห่งความรัก เนื่องจากคู่รักชาวเวียดนามมักจะเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ออกเดต และขอแต่งงานอยู่บ่อยครั้ง

นอกจากนี้ สวนสาธารณะแห่งนี้ยังเป็นจุดบริการขึ้นเรือล่องไปตามแม่น้ำเพื่อชมบรรยากาศแม่น้ำโขง รวมไปถึงเป็นสถานที่สำหรับการดินเนอร์หรูบนเรือพร้อมชมบรรยากาศเมืองเกิ่นเทอในยามค่ำคืน ดังนั้นการสร้างอนุสาวรีย์ประธานโฮจิมินห์ขึ้นกลางสวนสาธารณะแห่งนี้ นอกจากจะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ยังเต็มไปด้วยความหมายที่สมบูรณ์สอดคล้องกับคำว่า ‘หัวใจของเวียดนาม’ ที่สลักอยู่บริเวณด้านใต้ของอนุสาวรีย์ แม้ประเทศเวียดนามจะผ่านสงครามมามากมายจนทำให้ประชาชนในประเทศยากจน แต่ในปัจจุบันเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในอาเซียน (ASEAN)

อย่างไรก็ตาม แม้เวียดนามมีการปกครองในรูปแบบคอมมิวนิสต์แต่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม จึงทำให้กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ต่างหันมาลงทุน และมีการคาดการณ์ว่าภายในไม่กี่สิบปีเวียดนามจะขึ้นมาเป็นผู้ทางเศรษฐกิจลำดับต้นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Tags: , , , ,