การจากไปของ บุ้ง-เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมทางการเมือง นำมาซึ่งปัญหาใหญ่หลายข้อที่ต้องตั้งกับกระบวนการยุติธรรมไทย
อันดับแรก สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือเนติพรเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง จากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์ ในคดี ‘ทำโพล’ ว่าด้วยขบวนเสด็จฯ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
เป็นการถูกคุมขังนับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2567 เป็นการถูกคุมขังเพราะศาลอาญาสั่งเพิกถอนการประกันตัวในคดี 112 เพราะศาลเห็นว่าผิดเงื่อนไขประกันตัว เนื่องด้วยเข้าข่ายทำร้ายตำรวจศาลที่กระทรวงวัฒนธรรม จากกรณีที่ทั้งหมดเดินทางไปขอให้ถอดถอน เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ พ้นจากศิลปินแห่งชาติในเดือนกันยายน 2566
และนับจากนั้น เนติพรก็ตัดสินใจอดอาหาร เพราะเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมนั้นบิดเบี้ยว และเงื่อนไขการเพิกถอนการประกันตัวก็ไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้เนติพรเห็นว่า สิทธิประกันตัวควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และวิธีต่อสู้ก็คือการอดอาหาร
“เรารู้อยู่แล้วว่าการออกมาเคลื่อนไหวอะไรแบบนี้ พวกเราจะต้องเสียอะไรไปเยอะมากแน่ๆ แต่วันนั้นที่เราไปทำโพลขบวนเสด็จ เราไปดูแลน้อง แต่เราก็ไม่คิดเลยว่าจะโดน 112” เนติพรเคยให้สัมภาษณ์กับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปมองหลักการพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรม หากพิจารณาในแง่มุมของสิทธิการประกันตัว เป็นที่ทราบกันดีว่า ตราบใดก็ตามที่คดียังไม่ถูกตัดสินโดยศาล ผู้ต้องหามีสิทธิตามกฎหมายที่จะได้รับการพิจารณาให้ประกันตัว เพื่อให้ผู้ต้องหาสามารถสืบหาพยานหลักฐานมาแก้ต่างข้อกล่าวหาที่ตนมีคดีอยู่ได้
อีกทั้งยังมีความจริงอีกประการที่สำคัญคือ ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็มีการระบุชัดเจนถึงหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บริสุทธิ์ (Presumption of Innocence) ในมาตรา 29 วรรคสอง ที่เขียนระบุว่า
“ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคําพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้”
ขณะเดียวกัน ขั้นตอนการ ‘ไม่ให้ประกันตัว’ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จะพิจารณาก็ต่อเมื่อ ‘อัตราโทษสูง’ ‘ผู้ก่อเหตุอาจหลบหนี’ หรือผู้ต้องหาอาจไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น หรือการให้ประกันตัวอาจเป็นอุปสรรค หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวน หรือการดำเนินคดี
แต่ในประเทศไทย การ ‘ไม่ให้ประกันตัว’ เปรียบเสมือนเทคนิคทางการ ‘ควบคุมอารมณ์’ ของสังคมอย่างหนึ่ง เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ตะวัน-แบมได้รับการประกันตัว ก็ต่อเมื่ออดอาหาร นาน 50 วัน เพราะอาการป่วยอยู่ในขั้นวิกฤต หรือกรณีของ เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ก็ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเพราะอดอาหารนาน และเริ่มมีกระแสการเคลื่อนไหวนอกเรือนจำ เมื่อผู้มีอำนาจต้องการ ‘ผ่อน’ กระแสทางการเมือง การอนุญาตให้ประกันตัวจึงค่อยเกิดขึ้น
ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ เมื่ออาการของเนติพรเข้าขั้นวิกฤตจากการอดอาหารยาวนาน เพราะเหตุใด กระบวนการยุติธรรมจึงไม่เลือกผ่อนเรื่องนี้ด้วยการอนุญาตให้ประกันตัว ให้ปล่อยตัวชั่วคราว?
อีกภาพคือเรื่องการทำงานของกรมราชทัณฑ์ หลังเกิดเหตุไม่นาน กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความของบุ้งออกมาพูดแรงๆ เมื่อเปรียบเทียบการทำงานของกรมราชทัณฑ์ระหว่าง ‘นักโทษ’ บางคดี
“เรื่องบางเรื่อง พูดไปมันขมขื่น ความเป็นมาตรฐานของราชทัณฑ์ไทยมันมีหรือเปล่า ถ้าลองเทียบเด็กที่โดนคดีการเมืองได้รับการดูแลรักษาได้ดีเท่าผู้หลักผู้ใหญ่บางคนหรือเปล่า พูดไปมันขมขื่น อย่าไปพูดดีกว่า”
เป็นการออกมาตั้งคำถามดังๆ ถึงกรมราชทัณฑ์ ที่มีหน้าที่ต้องดูแลผู้ต้องหา ผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ตั้งคำถามทั้งเรือนจำพิเศษกรุงเทพ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และทำไมถึงมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน กรณีการส่งผู้ป่วยออกไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลอื่นๆ
แน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งการตั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ศาลยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไป 2566 แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เคยกล่าวในระหว่างหาเสียงว่า “หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะขอความเมตตาต่อศาล ว่ามีน้องๆ และผู้เห็นต่างทางการเมืองหลายคนที่ติดอยู่ในนั้น ขอให้มีการปล่อยตัว และต้องมีการแก้ไขระเบียบ
“ต้องกำหนดว่าใครเป็นคนฟ้อง อัตราโทษเราไม่สนับสนุนเอามาใช้เป็นเกมการเมือง เราต้องมีกฎหมายคุ้มครองประมุขรัฐ แต่ไม่เอามาใช้เป็นเกมการเมือง ต้องฟังเสียงประชาชน”
กระนั้นเอง 10 เดือนหลังจากรัฐบาลเพื่อไทยตั้งขึ้น ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังมีผู้ต้องหาทางคดีการเมืองตั้งแต่ปี 2563 กว่า 1,945 ราย โดยถูกนำตัวไปฝากขังแล้วกว่า 45 ราย และมีอีกอย่างน้อย 27 รายที่ศาลฯ ไม่อนุญาตให้ประกันตัว
จากตัวเลขดังกล่าว มีสองในผู้ต้องหาที่เป็นที่รู้จักของสังคมเป็นอย่างดีที่ใช้วิธี ‘อดอาหาร’ ได้แก่ ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และแฟรงค์-ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร ผู้ต้องหาคดีอาญา มาตรา 116 จากกรณีถูกกล่าวหาว่าบีบแตรใส่ขบวนเสด็จ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับการประกันตัว และใช้วิธีอดอาหารประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิดังกล่าว เช่นเดียวกับเนติพร
เรื่องที่ย้อนแย้งก็คือ กระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นในห้วงเวลาเดียวกับที่ไทยเสนอตัวเป็นคณะมนตรีความมั่นคงด้านสิทธิมนุษยชนในสหประชาชาติ และเกิดขึ้นในห้วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลไทยยืนยันว่า เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งสุดขั้ว และเต็มขั้น ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนในระดับสากลชัดเจน
คำถามก็คือการจากไปของสุภาพสตรีคนหนึ่ง จะทำให้ทุกองคาพยพเรื่องนี้ ทั้งศาล ทั้งกระบวนการยุติธรรม ทั้งรัฐบาล เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่
หรือเรื่องทั้งหมดจะยังเป็นไปตามเดิม เพราะผู้มีอำนาจยังต้องการใช้กระบวนการนี้เพื่อลด ‘แรงเสียดทาน’ ทางการเมือง
เป็นบทเรียนที่สังคมไทยต้องร่วมกันตั้งคำถามต่อไป
Tags: ทะลุวัง, บุ้ง, บุ้ง ทะลุวัง, บุ้ง เนติพร, กระบวนการยุติธรรม, ม.112, The Momentum ANALYSIS