1.02 ล้านคน คือเด็กอายุ 3-18 ปี ที่หลุดออกจากระบบการศึกษาไทยในปี 2566 คิดเป็นร้อยละ 8.41 ของประชากรในวัยเดียวกันทั้งประเทศ เด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาอยู่ในวัยเข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษาชั้นปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3) กว่า 3.94 แสนคน หรือร้อยละ 38.42 ของจำนวนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาทั้งหมด มากสุดอยู่ที่กรุงเทพมหานคร 1.3 แสนคน จังหวัดตาก 6.5 หมื่นคน และจังหวัดเชียงใหม่ 3.6 หมื่นคน
เหตุผลสูงสุดของการหลุดออกจากระบบการศึกษาของเด็กกลุ่มนี้คือ ปัญหาความยากจน (ร้อยละ 46.70) พวกเขาไม่มีทุนทรัพย์สำหรับค่าใช้จ่ายก่อน ระหว่าง และหลังเรียน หลายคนจึงเลือกออกจากการระบบศึกษากลางคัน เพื่อตัดลดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
แม้เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้เรียน ความยากจนข้นแค้นก็ยังไม่หายไปไหน ดังนั้นการศึกษาจึงยังจำเป็นอยู่เสมอสำหรับเด็กทุกคน ฉะนั้นโจทย์ของปัญหานี้คือการต้องได้เรียนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่มีค่าใช้จ่ายแฝงใดๆ เพิ่มเติมในการเข้าสู่ระบบการศึกษา เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ก็อาจจะต้องตัดทอนให้อยู่ในระดับที่ต้องใช้เงินน้อยที่สุด หรือหากไม่ใช้เลยก็จะเป็นการดี และคำตอบจะเป็นอะไรไม่ได้เลย นอกจากการ ‘บวชเรียน’ เป็นสามเณรในวัด
หนึ่งในนั้นคือ สามเณรตะวัน สุวรรณรัตน์ นักเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ ที่เลือกออกจากระบบการศึกษาภาคสามัญตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มาเข้าเรียนต่อโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เขตพระนคร เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวลง
“ที่ที่ผมเรียนไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากการค่าเดินทางเป็นหลัก เพราะวัดของผมอยู่ชานเมือง ตัวผมต้องเข้าไปเรียนใจกลางกรุงเทพฯ”
ครอบครัวของสามเณรตะวัน ประกอบอาชีพรับจ้างประจำและรับจ้างรายวัน คุณแม่เป็นพนักงานของปั๊มน้ำมัน ส่วนคุณพ่อมีรายได้จากการขับวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งกลุ่มรับจ้างรายวันและงานประจำนับเป็นอาชีพของผู้ปกครองที่เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษากว่าร้อยละ 47.11 และร้อยละ 27.95 ตามลำดับ
รายได้จากการเป็นพนักงานประจำจากคุณแม่ ประกอบกับรายได้จากงานไม่ประจำของคุณพ่อ จึงทำให้สามเณรตะวันตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรจากการชักชวนของพระอาจารย์ระหว่างการบวชภาคฤดูร้อน เนื่องจากมองว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวลงได้ ที่สำคัญคือการได้เรียนโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาทุนทรัพย์ของพ่อแม่
“ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อลดภาระของครอบครัวลง เพราะหากผมเรียนทางโลก (ระดับมัธยมปลาย) รายจ่ายของพ่อแม่ก็จะเพิ่มขึ้นอีก และส่วนตัวผมค่อนข้างจะชื่นชอบในการเรียนพระพุทธศาสนาอยู่แล้วจึงมาบวชเรียน”
การศึกษาภายในวัด หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘พระปริยัติธรรม’ มีการแบ่งหลักสูตรออกเป็น 2 แผนก แผนกแรกคือ ‘พระปริยัติธรรม แผนกสามัญ’ มีการเรียนในรายวิชาที่คล้ายคลึงกับสถาบันการศึกษาทางโลกในระดับมัธยม เช่น วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และสังคมศึกษา และ ‘แผนกนักธรรมบาลี’ ที่ศึกษาเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าจากภาษาบาลี ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกเรียนตามแผนกได้ตามประสงค์
“การเรียนพระปริยัติธรรมมีวิชาอื่นๆ นอกจากการเรียนภาษาบาลีด้วย อย่างภาษาไทย สังคม หน้าที่พลเมือง มีไปถึงวิชาการงานอาชีพ แล้วก็พวกวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หลักสูตรเหมือนกับโรงเรียนทางโลกเลย จะมีก็แต่วิชาพลศึกษาที่ยังไม่มีให้เรียน
“ถามว่าอยากเรียนไหม หากว่าพลศึกษามันเป็นวิชาพื้นฐานที่ควรจะเรียน ผมก็อยากจะเรียนนะ แต่ส่วนตัวผมมองว่ายังไม่ได้มีความจำเป็นขนาดนั้น”
ใน 5 วันของสัปดาห์ สามเณรตะวันจะต้องเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะจากดอนเมือง เข้ามายังเขตพระนคร ให้ทันเวลาเรียนที่จะเริ่มตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไปถึง 5 หรือ 6 โมงเย็นในบางวัน ใน 1 วันสามเณรจะมีเรียนใน 4 รายวิชา ส่วนวิชาบาลีนั้นเรียนสัปดาห์ละ 2 ครั้งเท่านั้น
การจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ ที่สามเณรตะวันเรียนอยู่ มีการสอนไม่แตกต่างจากโรงเรียนในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งใช้หลักสูตรแกนกลางเดียวกันกับหลักสูตรทางโลก วุฒิการศึกษาเทียบเท่ากับวุฒิมัธยมศึกษาตอนต้นและวุฒิการศึกษามัธยมตอนปลาย สามารถเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษาทั่วไปได้ และทั้งหมดนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ในอีกแง่หนึ่ง นอกจากการศึกษาสำหรับคณะสงฆ์ โดยมีเป้าหมายหลักคือการรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้ผู้เรียนนำไปปฏิบัติและนำไปเผยแผ่แก่ชาวโลกแล้ว พระอภิเชษฐ์ สมคำศรี ผู้อำนวยการส่วนงานบริหาร ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ให้ข้อมูลถึงประโยชน์ของการศึกษาพระปริยัติธรรมว่า การศึกษาในรูปแบบนี้ได้โอบรับเยาวชนที่ตกหล่นจากระบบการศึกษาเข้ามาอยู่ในระบบอีกครั้ง
“วัตถุประสงค์ใหญ่ๆ ก็คือ การเอาเยาวชนที่ตกหล่นจากระบบการศึกษากลับเข้ามาอีกครั้ง เพื่อพัฒนาให้เขาเป็นเยาวชนของชาติต่อไป”
การนำเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษายังมีลักษณะการทำงานแบบเชิงรุก เพื่อให้เข้าถึงเด็กต่างจังหวัดหรือในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงได้ยาก มีโอกาสได้เรียนหนังสืออีกครั้ง โดยการให้สามเณรที่เป็นนิสิตเคยร่ำเรียนพระปริยัติธรรมมาก่อนหน้านี้ ออกไปปฏิบัติศาสนกิจตามถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเอง เพื่อมองหาเยาวชนที่มีปัญหา และดึงกลับเข้าการศึกษาของคณะสงฆ์อีกครั้ง
“ทางเถรสมาคมก็มีการทำงานเชิงรุก ทำงานบนที่สูง ลงพื้นที่ไปตามจังหวัดต่างๆ ทั้งภาคอีสาน และในกลุ่มชาติพันธ์ุ และยังมีโอกาสขยายพื้นที่การทำงานไปยังแถบประเทศอาเซียนอย่างลาว พม่า และกัมพูชา เพื่อให้เขามาเข้าสู่ระบบการศึกษาพระปริยัติธรรมของบ้านเราด้วย”
อย่างไรก็ดี เมื่อถามถึงเหตุผลของการเข้าสู่การศึกษาพระปริยัติธรรมสำหรับเยาวชนไทยแล้ว พระอภิเชษฐ์ไม่ปฏิเสธว่าเกิดจากปัญหาทางเศรฐกิจและสังคม เด็กหลายคนที่เข้าเรียนเป็นกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจ จึงขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเรียน ความไม่พร้อมของครอบครัว รวมถึงปัญหายาเสพติด
“เราพบว่าเด็กส่วนใหญ่มีปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ และครอบครัว ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ปัญหาเหล่านี้ทำให้เขาเข้าสู่ร่มเงากาสาวพัสตร์”
“ซึ่งการทำให้เด็กเหล่านี้เข้ามาอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ก็เป็นการบ่มเพาะปัญญา มีการให้ความรัก ความอบอุ่นแก่เขา และอบรมเรื่องของการดำเนินชีวิต เขาก็จะมีการปฏิบัติตัวที่แตกต่างไป”
“ส่วนการเรียนพระปริยัติธรรมจะช่วยแก้ปัญหาความขาดแคลนเหล่านี้ได้อย่างไร ก็ต้องบอกว่าสามารถแก้ได้ในระดับที่ดีเลยทีเดียว เพราะปัจจุบันระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ทางด้านพระปริยัติธรรมสามัญ หรือโดยเฉพาะแผนกบาลีเองก็เป็นที่ยอมรับในวุฒิการศึกษา ซึ่งสามารถเรียนจนได้วุฒิที่เทียบเท่ากับวุฒิการศึกษาระดับปริญญาของสถานศึกษาทางโลก ดังนั้นก็นับว่าการศึกษาทางพระปริยัติธรรมให้โอกาสกับเด็กและเยาวชนที่ตกหล่นจากระบบการศึกษา หรือเปิดโอกาสให้กลุ่มเปราะบางได้เข้ามาบวชเรียน ถือว่าแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้”
ทั้งนี้การศึกษาพระปริยัติธรรมก็ยังคงมีปัญหาให้ต้องหาทางพัฒนาต่อ โดยเฉพาะการศึกษาพระปริยัติธรรมในแผนกนักธรรมบาลี ที่เน้นไปในการศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยพระอภิเชษฐ์มองว่า การศึกษาในแผนกดังกล่าวควรมีการเพิ่มหลักสูตรวิชาทั่วไปเข้าไปด้วย เช่น ภาษาอังกฤษ ซึ่งมักเป็นรายวิชาที่ใช้ในการสอบวัดคะแนนเข้าสู่หลักสูตรของคณะต่างๆ ในระดับอุดมศึกษา
“พระอาจารย์มองเห็นว่า ปัญหาของการศึกษาพระปริยัติธรรมคือ การเอาวุฒิไปเทียบสอบความรู้ เช่น คณะอักษรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ก็อาจจะทำให้เราเจอกับปัญหา แต่คณะสงฆ์แผนกนักธรรมบาลีก็พยายามปรับเปลี่ยนอยู่ แต่ก็ยังเป็นรูปธรรมได้ไม่มาก
“แต่หากสามเณรมีโอกาสได้ศึกษาเพิ่มเติม ปัญหาจุดนี้ก็อาจจะไม่มี”
ที่สำคัญคือการดึงเยาวชนผู้ขาดแคลนการศึกษาเข้าสู่ระบบการศึกษาแบบพระปริยัติธรรมกับการทำงานเชิงรุกที่ได้กล่าวไป อาจทำให้เด็กที่ถูกชักชวนเข้ามาไม่ได้ศึกษาถึงหลักสูตรที่จะเข้าเรียนเบื้องต้นก่อน ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหากับเยาวชน เช่น ไม่สามารถเรียนในหลักสูตรนักธรรมบาลีได้
ทั้งนี้การศึกษาแบบพระปริยัติธรรมก็นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทาง ที่ช่วยให้เด็ก ‘กลุ่มเปราะบาง’ ยากจน มีโอกาสเข้าถึงระบบการศึกษา เนื่องจากมีหลักสูตรการเรียนที่สามารถนำไปต่อยอดเข้าสู่ระบบการศึกษาทางโลกได้ ทั้งยังไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียน เยาวชนรวมทั้งผู้ปกครองจำนวนมากจึงผลักดันเยาวชนเข้าสู่การศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าในปี 2565 มีสามเณรบรรพชาในระยะยาวถึง 7.3 หมื่นรูป จากปี 2563 ที่มีอยู่เพียง 3.3 หมื่นรูป ขณะที่แนวโน้มตั้งแต่ปี 2556-2562 ตัวเลขของสามเณรที่บวชในระยะยาวกับลดลงอย่างชัดเจน
นอกจากวัดจะเป็นศาสนสถานสำหรับยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงกลายเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการกลับเข้าสู่การศึกษาอีกครั้งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับสามเณรตะวัน เยาวชนที่เปลี่ยนจากระบบการศึกษาทั่วไป สู่การศึกษาใต้ร่มกาสาวพัตร์ ในวันนี้สามเณรได้วางแผนเส้นทางหลังเรียนจบไว้แล้ว
“ตอนแรกผมตั้งใจจะเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะผมชอบกฎหมาย แต่ก็ชอบเนื้อหาพระพุทธศาสนาแล้วก็ปรัชญาชีวิตด้วย ก็อาจจะเริ่มเรียนในภาควิชาปรัชญาที่วิทยาลัยสงฆ์ ไม่ก็อาจจะเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากนั้นก็จะใช้ชีวิต เริ่มวางแผนว่าจะหางานทำ และมีครอบครัว” สามเณรตะวันทิ้งท้าย
Tags: ระบบการศึกษา, โรงเรียน, กระทรวงศึกษาธิการ, พระปริยัติธรรม, Feature