“เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถเป็นเซ็กซ์ครีเอเตอร์ได้ไหม”
“เราสามารถทำคลิปวาบหวิวกับครอบครัวได้จริงเหรอ”
เชื่อเหลือเกินว่า คงเป็นคำถามในใจของใครหลายคน เมื่อได้เห็นรายละเอียดใน #กำเงิน ซึ่งเป็นชื่อของหญิงวัย 21 ปี ที่ถูกเหล่าเพจดังออกมาให้ข้อมูลว่า เป็นผู้ถ่ายคลิปวาบหวิวร่วมกับเหล่าพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ที่บางคนอายุต่ำกว่า 18 ปี เพจดังยังอ้างว่า พฤติกรรมเหล่านี้มีพ่อแม่ร่วมสนับสนุนด้วย
จนนำมาซึ่งกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ตัวของกำเงินที่เป็นพี่สาวคนโตและพ่อแม่เด็ก ตามมาด้วยภาพของมูลนิธิที่พยายามเข้าไปแยกตัวเด็กทั้งชายและหญิงรวมกัน 9 คน ออกจากครอบครัวกำเงิน มากกว่านั้นคือการตั้งประเด็นว่า กรณีของ #กำเงิน เป็นการค้ามนุษย์หรือไม่
สิ่งที่ยังเป็นคำถามและยังไม่ได้คำตอบคือ ‘ปัจจัย’ หรือสาเหตุอะไรที่ทำให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี กลายเป็น ‘เซ็กซ์ครีเอเตอร์’
The Momentum พูดคุยกับ รองศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เพื่อสำรวจปัจจัยต่างๆ ไปพร้อมกัน
ครอบครัว
หากว่าตามที่โซเชียลมีเดียพูดถึงกรณี #กำเงิน สาเหตุที่ทำให้กำเงินหารายได้ด้วยการเป็นเซ็กซ์ครีเอเตอร์อาจเกิดจากการเลี้ยงดูของครอบครัว ซึ่งอัจฉราให้เหตุผลว่า ลูกอาจเห็นพ่อแม่มีเพศสัมพันธ์กันจึงเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ
“เราเคยทำวิจัยกับเด็กในบ้านพักของ พม. (กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) พบว่า 98% ของเด็กที่เข้ามาอยู่ในบ้านถูกล่วงละเมิดทางเพศมาก่อนหน้านั้น และส่วนใหญ่เขาก็อยู่กับพ่อแม่ บางคนมีพี่น้อง จึงเป็นไปได้ว่า เขาอาจจะเห็นพ่อแม่มีเพศสัมพันธ์กันแล้วคิดว่า การทำแบบนี้เป็นเรื่องปกติจึงเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ”
สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่กำเงินเพียงคนเดียวที่ถ่ายวิดีโอและภาพเรือนร่างของตัวเองขายในกลุ่มลับ แต่ยังมีคนในครอบครัวคนอื่นๆ ที่อายุไล่เลี่ยลงไป บางคนต่ำกว่า 18 ปี ที่รับบทบาทนี้ด้วย
“นอกจากพ่อแม่ เด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีก็อาจเลียนแบบจากพี่หรือน้องที่ใกล้ชิดเขา เช่นกรณีที่น้องสาวมีพี่สาวขายบริการทางเพศตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 18 ปี แล้วมาเห็นว่า พี่สาวตัวเองมีรายได้สามารถเอาเงินไปซื้อของใช้ เลยขอพี่สาวมาทำแบบเดียวกัน มันสะท้อนว่า สภาพแวดล้อมใกล้ตัวเขามันมีผลด้วย”
เมื่อเด็กยังต้องพึ่งพาการจัดการค่าใช้จ่ายจากครอบครัว การปฏิบัติของพ่อแม่ที่ทำให้เขารู้สึกว่า เขามีหน้าที่ต้องหารายได้จุนเจือค่าใช้จ่ายในบ้านตั้งแต่ยังเด็ก อัจฉรามองว่า จะทำให้เด็กเข้าสู่การทำงาน โดยหลงลืมความเหมาะสมของวัยและสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของตนเอง
ความต้องการสร้างตัวตน
ในมุมมองของนักมานุษยวิทยาอย่างนฤพนธ์มองว่า สังคมปัจจุบันผู้คนสามารถเข้าถึงโซเชียลมีเดียได้ตั้งแต่วัยเด็ก จึงมีการคิดหาวิธีการที่จะให้การเข้าถึงที่ง่ายนี้สร้างประโยชน์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การทำให้ตนเองมีชื่อเสียง
“ในโลกโซเชียลมีเดียมันกระตุ้นให้การแสดงออกในเรื่องเพศ สามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับคนนั้นๆ ได้ เรารู้อยู่แล้วว่า ทำไมคนถึงลงคลิปวาบหวิวใน OnlyFans ก็มันได้เงิน “อย่างกรณีกำเงินกับน้องๆ ทางเลือกในชีวิตของเขาอาจจะมีไม่มาก เขาก็ต้องกลับมามองว่า ตัวเองมีต้นทุนอะไรอยู่ในมือที่ลงทุนน้อยที่สุด แต่เขาได้รับประโยชน์เร็วที่สุด ซึ่งโซเชียลมีเดียมันลงทุนน้อย แค่มีโทรศัพท์เข้าอินเทอร์เน็ต เขาจะทำอะไรในนั้นก็ได้”
การลงทุนบนโซเชียลมีเดีย แม้ว่าจะเป็นการลงทุนน้อยแต่หากอยากได้ผลลัพธ์เร็ว คุณจะต้องเสริมด้วยทุนด้านทางกามารมณ์ (Erotic Capital)
“ถ้าดูจากโซเชียลมีเดียของกำเงินจะเห็นว่า เขาเป็นคนที่หน้าตาดีและเขาก็มองว่า มันเป็นอีกหนึ่งต้นทุนของเขา สามารถใช้เรือนร่างหาเงินได้ นั่นแปลว่ากำเงินกำลังเอาเรื่องเซ็กซ์หรือความอีโรติกมาเป็นสินค้า”
ส่วนการถ่ายภาพหรือวิดีโอวาบหวิวกับคนในครอบครัวเพื่อขายลงในกลุ่มลับนั้น นักมานุษยวิทยาอย่างนฤพนธ์มองว่า เป็นการทำธุรกิจครอบครัวอย่างหนึ่ง ครีเอเตอร์อาจมองว่า การถ่ายภาพหรือวิดีโอวาบหวิวกับครอบครัวนั้น สบายใจมากกว่าจะไปถ่ายคลิปร่วมกับคนอื่นๆ
เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็น ‘เซ็กซ์ครีเอเตอร์’ ได้ไหม
สิ่งที่สังคมยังคมสงสัยคือ หากเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เต็มใจที่จะร่วมถ่ายคลิปวาบหวิวกับครอบครัวจะถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ อัจฉราให้ความเห็นว่า แม้ว่าเด็กจะเต็มใจแต่หากอายุยังไม่ถึง 18 ปี อาจเข้าข่ายการค้ามนุษย์
“ในเคสของกำเงินมีเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ร่วมทำคลิปวาบหวิวด้วย ซึ่งเข้าข่ายการค้ามนุษย์อยู่ เพราะกฎหมายกำหนดเอาไว้แล้วว่าอายุไม่ถึง 18 ปี วุฒิภาวะยังไม่มากพอจะตัดสินใจเลือกว่า อะไรถูกต้องหรือเหมาะสมกับตัวเอง
“แต่ถ้าหลังอายุ 20 ปี ไปแล้ว หากจะตัดสินใจเป็นเซ็กซ์ครีเอเตอร์นั้นไม่ผิดแล้ว เพราะคุณมีข้อมูลพร้อม มีวุฒิภาวะมากพอ ได้เห็นว่าอะไรคือความเสี่ยง และรู้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไร
สังคมควรหาคำตอบมากกว่าตัดสิน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวกำเงินยังไม่ได้รับคำตอบว่า มีสาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไร แต่ขณะเดียวกันสังคมกลับกำลังตัดสินสาเหตุกันไปล่วงหน้า ซึ่งนฤพนธ์มองว่า ประเด็นนี้ต้องเข้าไปมองหาปัจจัย ที่ทำให้ครอบครัวลุกขึ้นมาเป็นเซ็กซ์ครีเอเตอร์ให้เจอ ก่อนจะชี้ผิดชี้ถูกโดยที่ไม่มีข้อมูล
“เราต้องเข้าไปพูดคุยกับเขาจริงๆ ก่อนจะมาตัดสินกันแล้วเอาคนในโซเชียลฯ ไปรุมด่าตามกระแสกันไป สุดท้ายพอความจริงออกมาอาจจะไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิดก็ได้”
นฤพนธ์ยังมองว่า การเข้าไปช่วยเหลือของมูลนิธิต่างๆ หลายครั้งทำไปเพียงเพราะต้องการกระแส และหลายครั้งมีการชี้ถูกผิด ตัดสินในปัญหาที่ยังไม่มีข้อเท็จจริงเปิดเผยออกมามากพอ
“คุณจะมาทำหน้าที่ช่วยเหลือเพียงเพราะอยากดังมันไม่พอ คุณจะต้องคิดด้วยว่า จะทำอย่างไรให้การช่วยเหลือไม่ได้เป็นการประณามคน ทุกวันนี้เรามีคนประเภทนี้เยอะมากที่พวกเขาไม่ใช่ตำรวจ แต่กลับตัดสินความดีความเลวของประชาชน
เช่นเดียวกับผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียที่ต่างแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ แม้จะยังมีข้อมูลเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นกับครอบครัวกำเงินอย่างน้อยนิด แต่กลับมีการแสดงจุดยืนตรงข้าม และก่นด่าการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างเผ็ดร้อน ในมุมมองของนักมานุษยวิทยาอย่างนฤพนธ์มองว่า ไม่เป็นผลดี
“มันไม่เป็นประโยชน์กับครอบครัวของกำเงินเลย เราไม่เคยเรียนรู้ว่า ทางเลือกของชีวิตมนุษย์มีไม่เหมือนกัน อินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามมากๆ เอาข่าวมาลงไม่ให้ข้อมูลที่เป็นกลางและเทกไซด์ ตัดสินถูกผิดกันเร็วเกินไป ซึ่งจริงๆ เราควรเข้าไปทำความเข้าใจว่า ทำไมพวกเขาอยู่กันอย่างไรในครอบครัว ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น”
ด้านอัจฉราเสริมว่า สิ่งที่สำคัญคือการไม่โทษว่า กรณีของน้องกำเงินเป็นเพราะใครคนใดคนหนึ่ง และต้องมอง ‘องค์รวม’ ทุกอย่างที่ทำให้เด็กและครอบครัวลุกขึ้นมาเป็นเซ็กซ์ครีเอเตอร์ตั้งแต่วัยเด็กว่า สะท้อนปัญหาหรือข้อบกพร่องใดหรือไม่
“เราต้องไม่โทษว่ามันเป็นเรื่องของผู้ปกครอง ไม่ใช่แค่เรื่องของเด็ก ไม่ใช่แค่เรื่องของการศึกษา แต่ว่ามันคือองค์รวมทุกๆ อย่างที่กำหนดให้มันเกิดขึ้น แล้วต้องมองต่อไปว่ามันสะท้อนอะไร ทำไมเขาถึงออกมาทำคลิปวาบหวิว จริงๆ แล้วอาจจะสะท้อนความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศไทยก็ได้นะ เพราะสภาพความเป็นอยู่ย่อมมีผลต่อพฤติกรรมของคนในประเทศด้วย”
Tags: Feature, ครอบครัว, ค้ามนุษย์, OnlyFans, กำเงิน, เซ็กซ์ครีเอเตอร์