530 ราย คือจำนวนผู้เสียชีวิตจากการเข้าไปเก็บศพของมูลนิธิร่วมกตัญญู 100 รายขึ้นไป คือจำนวนผู้เสียชีวิตจากการคาดการณ์โดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ 46 ราย คือจำนวน ‘ขั้นต่ำ’ ของผู้เสียชีวิตที่ตรวจสอบและรวบรวมโดยโครงการ ‘บันทึก 6 ตุลา’

การล้มตายครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากภัยพิบัติธรรมชาติครั้งใหญ่ แต่เกิดจากกระสุนปืนและอาวุธหนักของเจ้าหน้าที่รัฐและมวลชน ‘ฝ่ายขวา’ ที่ร่วมกันปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองภายในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จนเกิดเป็นภาพของชายและหญิงในชุดนักศึกษาขาดรุ่งริ่ง เต็มไปด้วยคราบเลือด กับภาพของมวลชนทั้งผู้ที่กำลังง่วนอยู่กับการใช้อาวุธทุบตีร่างของเยาวชนและผู้เฝ้ามองการกระทำไร้มนุษย์ด้วยรอยยิ้ม

หากจะตอบคำถามว่า อะไรคือปัจจัยสำคัญที่พาการชุมนุมอย่างสันติไปสู่การนองเลือด คำตอบคงมีไม่มากนัก และหนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ยุคนั้น ที่มีอิทธิพลตั้งแต่การสร้างความเป็นอื่นให้กับผู้ชุมนุมด้วยการกล่าวหาว่าเป็น ‘คอมมิวนิสต์’ การ ‘บิดเบือน’ เจตนารมณ์ในการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความเกลียดชัง ไปจนถึงการ ‘ปลุกระดม’ ให้เกิดการปราบปรามคนเห็นต่างอย่างเหี้ยมโหด

เมื่อสื่อมวลชนถูกมองว่า เป็นเครื่องมือชี้นำสถานการณ์บ้านเมืองได้ หลังการสังหารหมู่ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินจึงเข้าควบคุมสื่ออย่างเบ็ดเสร็จ โดยสั่งปิดหนังสือพิมพ์และสื่อทุกแขนง พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข่าวสาร เพื่อเซนเซอร์เนื้อหาที่ตัวเองไม่อยากให้เผยแพร่ ไปจนถึงออกคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 5 ซึ่งคำสั่งตอนหนึ่งระบุว่า

“ให้หนังสือพิมพ์รายวัน และสิ่งตีพิมพ์ต่อประชาชนอื่นๆ ที่เสนอข่าวและข้อเขียนแสดงความคิดเห็นทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ หยุดทำการพิมพ์ออกจำหน่ายจ่ายแจก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้จนกว่าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น”

นี่คือเหตุผลว่า เหตุใดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคมจบลง จึงไม่มีการนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง และกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งในวันที่ 9 ตุลาคม 2519 ภายใต้คณะกรรมการตรวจสอบข่าวสาร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นใหม่ เพื่อเซนเซอร์การรายงานข่าวเหตุการณ์ 6 ตุลาคมโดยเฉพาะ

The Momentum พาไปสำรวจการกล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 บนหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งของไทยและของต่างประเทศ เพื่อให้เห็นกันชัดๆ ว่า ความสูญเสียทางการเมืองถูกพูดถึงด้วยถ้อยคำใด ความแตกต่างของเนื้อข่าวระหว่างหนังสือพิมพ์ที่ถูกควบคุมโดยกองทัพฝ่ายขวา กับหนังสือพิมพ์ที่เป็นอิสระ ไปจนถึงการลงรายละเอียดของเหตุการณ์ว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับ ‘ข้อเท็จจริง’ มากน้อยเพียงใด

“ธานินทร์เป็นนายกฯ ตั้ง 23 ทหารใหญ่จัดการเด็ดขาด พวกทำลายชาติ”

การกล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ของหนังสือพิมพ์ชาวไทย ฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2519 กล่าวถึงการแต่งตั้ง ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผลลัพธ์หลังการรัฐประหารในช่วงเย็นวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยผู้แต่งตั้งคือคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ซึ่งพาดหัวข่าวได้ให้สถานะผู้ชุมนุมกลายเป็น ‘พวกทำลายชาติ’

เนื้อหาข่าวระบุว่า “เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. โดยประกาศของพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ประชาชนทั่วประเทศไทยได้รับทราบว่า บัดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร ดำรงตำแหน่งนายกฯ และต่อมาเมื่อเวลา 23.05 น. ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้ปราศรัยต่อประชาชนทั่วประเทศ โดยผ่านทางสถานีวิทยุกระจายเสียงทั่วประเทศและสถานีวิทยุโทรทัศน์ทุกแห่ง โดยยืนยันว่า จะปฏิบัติภารกิจสุดความสามารถ ในอันที่จะนำรัฐนาวาของไทยฝ่ามรสุมร้ายให้รอดพ้นภยันตราย ทั้งนี้เพื่อธำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และจะได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรีต่อไป”

นอกจากนี้หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวยังได้ให้ ‘เหตุผล’ ของการรัฐประหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ว่า เป็นเพราะรัฐบาล 4 พรรค (พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคธรรมสังคม และพรรคพลังใหม่) ไม่สามารถ ‘รักษา’ สถานการณ์บ้านเมืองตามวิถีทางรัฐธรรมนูญไว้ได้

“หากปล่อยไว้ประเทศชาติและประชาชนจะวิบัติยิ่งขึ้น” หนังสือพิมพ์ระบุ

ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามวิถีของ ‘รัฐธรรมนูญ’ ที่คณะรัฐประหารให้เหตุผล ทางคณะจึง ‘แต่งตั้ง’ นายทหารถึง 23 นาย จาก 3 กองทัพ และอธิบดีกรมตำรวจ เป็นคณะที่ปรึกษาของนายกฯ

ที่น่าสนใจคือกล่องข้อความข่าวด้านขวาล่าง ใช้ชื่อว่า ‘จากชาวไทยถึงคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน’ ที่กล่าวชื่นชมว่า การรัฐประหารครั้งนี้ทำให้ไทย ‘พ้นจากวิกฤติกาลอันเลวร้ายมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า’ และมาจากเดชานุภาพของพระสยามเทวาธิราชที่แผ่บารมีคุ้มครองแผ่นดินไทยและชาวไทย ขณะเดียวกันก็บอกด้วยว่า การตัดสินใจของคณะปฏิรูปเป็นแนวทางที่ ‘เฉียบขาด’ เพื่อคืนความสงบสุขให้คนไทยเช่นที่เคยเป็นมา

“เผยโฉม 24 นายพลยึดอำนาจ ล้าง ‘แดง’ ป๋วย-สุรินทร์-ดำรงเผ่นหนี”

หนังสือพิมพ์ดาวสยาม ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ ‘ฝ่ายขวา’ และมีสโลแกนว่า ‘เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ ฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2519 พาดหัวด้วยการเปิดหน้านายพลที่ยึดอำนาจเสมือนการสรรเสริญผู้ชนะสงคราม โดยใช้คำว่า ‘เพื่อราชบัลลังก์’ ขณะเดียวกันก็เปิดชื่อของผู้ที่หลบหนี ได้แก่ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สุรินทร์ มาศดิตถ์ และดำรง ลัทธพิพัฒน์ สส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘ฝ่ายซ้าย’ พร้อมทั้งเน้นหนักคำว่า ‘ล้างแดง’ ซึ่งอาจแปลความได้ถึงการปราบปราม ‘คอมมิวนิสต์’

ในเนื้อหาข่าวยังมีการกล่าวถึง ‘คลื่นมหาชน’ ณ ทำเนียบรัฐบาล เขตดุสิต ว่าเป็นจุดเริ่มต้นพลิกโฉมหน้าปฏิรูปการปกครองในปัจจุบัน

ทั้งนี้ บทบาทของหนังสือพิมพ์ดาวสยามที่สำคัญคือ ฉบับที่ออกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2519 ก่อนหน้าการล้อมปราบนักศึกษา 1 วัน ที่มีการ ‘บิดเบือน’ การแสดงละคร ‘แขวนคอ’ ซึ่งจำลองเหตุการณ์ฆาตกรรมเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่จังหวัดนครปฐม ให้สื่อความไปถึงการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

การกระทำดังกล่าวทำให้ขบวนการฝ่ายขวาจุดติด และลุกฮือต่อต้านขบวนการของนักศึกษาภายในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กระทั่งเกิดเหตุนองเลือด 6 ตุลาคม 2519

“ค้น 3 มหาวิทยาลัย ยันศูนย์ฯ ก่อชนวนนองเลือด ยอดกบฏ 3,074”

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2519 มีเนื้อหาที่คล้ายกับหนังสือพิมพ์ดาวสยามในส่วนของการ ‘เปิดหน้า’ คณะปฏิรูปการปกครอง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มีการ ‘เปิดตัวละคร’ เพิ่มเติมได้แก่ อาจารย์ลาวัณย์ อุปอินทร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และไรน่าน อรุณรังษี อดีต สส.จังหวัดพัทลุง พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ซึ่งก็คือผู้ที่ร่วมแต่งหน้าให้กับนักแสดงที่ตกเป็นประเด็นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ทั้งนี้ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ค้น 3 มหาวิทยาลัย พบเอกสารเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์มากมาย ตำรวจเก็บกวาดสิ่งพิมพ์ต้องห้ามทั่วกรุงกว่าแสนเล่ม” ซึ่งสะท้อนว่า คอมมิวนิสต์ในขณะนั้นเป็นประเด็นที่ถูกให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง และน่าสนใจเป็นพิเศษโดยเฉพาะกับเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519

“ตำรวจบาดเจ็บเผยเบื้องหลัง 6 ต.ค. ไม่ให้ประกันสุธรรมกับพวก” 

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 10 ตุลาคม 2519 มีการกล่าวถึงสถานการณ์ต่อจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ในแง่ของผู้เสียชีวิต แต่มุ่งไปที่การเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่นเดียวกับฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2519 ที่มีการกล่าวถึงว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 2 ราย

ขณะเดียวกันก็สะท้อนความเชื่อของคณะปฏิรูปที่มองว่า ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ถูกชักชวนให้มาร่วมชุมนุม

ในส่วนของความเคลื่อนไหวสำคัญในหน้านี้เห็นจะหนีไม่พ้นการ ‘อนุมัติ’ ให้ลูกเสือชาวบ้านทั่วประเทศเปิดอบรมและชุมนุมได้

สำหรับการอบรมลูกเสือชาวบ้านในช่วงปี 2518-2519 ไม่ได้เป็นการอบรมลูกเสือแบบที่เข้าใจกันทั่วไป แต่เป็นกระบวนการ ‘ปลูกฝัง’ อุดมการณ์ทางการเมืองแบบขวาจัด โดยมีเนื้อหาคือการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการสร้างจุดยืนให้ตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยกลไกของรัฐ ตั้งแต่การจัดตั้งและอบรมที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานอย่างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.)

“Coup in Thailand”

สำหรับหนังสือพิมพ์ The Canberra Times ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2519 ในประเทศออสเตรเลีย ระบุว่า “กรุงเทพฯ, วันพุธ (AAP-Reuters) กลุ่มบุคคลที่เรียกตนเองว่า ‘คณะปฏิรูปการปกครอง’ ประกาศผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองแล้ว”

ทั้งนี้ The Canberra Times มุ่งเน้นนำเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การหนีเอาตัวรอดของนักศึกษา และบอกอย่างชัดเจนว่าผู้ปราบปรามนักศึกษาเป็นฝ่ายใด โดยระบุว่า “ก่อนหน้าการรัฐประหาร ตำรวจติดอาวุธได้ยิงต่อสู้กับนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นเวลานานถึง 6 ชั่วโมง นักศึกษาบางส่วนที่พยายามหลบหนีได้กระโดดลงไปในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวซึ่งขนาบข้างมหาวิทยาลัย และมีรายงานว่าหลายคนจมน้ำเสียชีวิต ส่วนคนอื่นๆ ที่ยอมจำนนที่ประตูใหญ่ก็ถูกฝูงชนฝ่ายขวาที่โกรธแค้นเข้ารุมทำร้ายและประชาทัณฑ์ในทันที ศพสามร่างถูกนำไปเผากลางที่โล่งโดยมีฝูงชนเฝ้าดู ซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึง 2 หมื่นคน”

“THAI MILITARY TAKES POWER AFTER POLICE BATTLE PROTESTERS” (กองทัพไทยยึดอำนาจหลังตำรวจปะทะผู้ประท้วง)

รายงานข่าวชุดนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ The New York Times ฉบับวันที่ 7 ตุลาคม 2519 โดยมีพาดหัวรองว่า “เชื่อว่ามีผู้เสียชีวิต 30 คนและถูกจับกุม 1,700 คน รัฐธรรมนูญถูกระงับ และสิ่งพิมพ์ถูกสั่งแบน” พร้อมระบุว่า “กองทัพได้เข้าควบคุมอำนาจการปกครองของประเทศไทยในคืนวันพุธ เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ตำรวจและนักศึกษาฝ่ายขวาได้ปะทะกับกลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายในการต่อสู้ที่นองเลือดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ ซึ่งมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 30 คนและบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน”

นอกจากการรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งแตกต่างจากหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยที่มุ่งเน้นไปยังการรัฐประหารแล้ว ที่น่าสนใจคือ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ยังมีการกล่าวถึงการ ‘ปิดปาก’ สื่อของพลเรือเอกสงัดจากการประกาศการยึดอำนาจของทหารผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุ ทั้งยังให้ข้อมูลด้วยว่า ผู้สั่งปิดเป็น ‘นายทหาร’ ผู้ซึ่งคณะรัฐประหารได้เลือกให้เป็นผู้นำของ ‘คณะปฏิรูปการปกครอง’

“คณะปฏิรูปฯ ได้ประกาศระงับใช้รัฐธรรมนูญปี 2518 สั่งแบนสิ่งพิมพ์ทุกชนิด และห้ามการชุมนุมทางการเมืองของบุคคลเกินกว่าห้าคน มีการประกาศเคอร์ฟิวซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป” The New York Times ระบุ

อ้างอิง 

https://trove.nla.gov.au/newspaper/article/110829180?searchTerm=Thammasat%20University 

https://doct6.com/archives/15254

https://doct6.com/archives/category/documents/newspapers/page/2 

https://paperspast.natlib.govt.nz/newspapers/press/1976/10/07/1 

https://doct6.com/learn-about/timeline 

https://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2019/TU_2019_5806032354_13037_13103.pdf 

Tags: , ,