สาเหตุหนึ่งที่ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องค้นคว้าสัมผัสที่หกและพลังจิต ก็คือสงครามเย็นระหว่างสหภาพโซเวียต

เป็นที่ทราบกันดีว่า ช่วงหลังสงครามโลกเข้าสู่สงครามเย็น เป็นช่วงที่สหรัฐฯ และโซเวียตแข่งขันกันในทุกทาง ตั้งแต่การสะสมอาวุธนิวเคลียร์ การแข่งขันกันทางอวกาศ (Space Race) ที่นำไปสู่ขีปนาวุธข้ามทวีป ICBM (Intercontinental Ballistic Missile) และวิทยาการอื่นๆ ที่สามารถนำไปสร้างอาวุธเพื่อให้ได้ชัยชนะเหนือฝั่งตรงข้ามได้

ในปี 1958 กองทัพเรือสหรัฐฯ ทดลองโทรจิตบนเรือดำน้ำที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ลำแรกของโลกที่ชื่อ USS Nautilus โดยหวังเอาไว้ว่า จะใช้โทรจิตนี้ติดต่อสื่อสารระหว่างเรือดำน้ำกับหน่วยเหนือ โดยที่เรือดำน้ำไม่ต้องขึ้นมารับส่งคลื่นวิทยุที่ผิวน้ำให้เสี่ยงกับการตรวจจับจากศัตรู

การทดลองทำง่ายมาก โดยใช้สิ่งที่เรียกว่าเซเนอร์การ์ด (Zener Card) เป็นไพ่ที่มีห้าลาย คือวงกลม เครื่องหมายบวก รูปคลื่น สี่เหลี่ยม และดาว โดยให้ลูกเรือบนเรือดำน้ำส่งกระแสจิตไปสู่ช่างเทคนิคที่อยู่บนฝั่งว่า ไพ่ที่เปิดออกมานั้นเป็นเครื่องหมายใด ในลำดับที่เท่าไร

เรื่องนี้ถูกเปิดเผยครั้งแรกในนิตยสารของฝรั่งเศส แต่ไม่เปิดเผยแหล่งข่าวว่าเป็นใคร โดยบทความบอกว่า ‘อัตราประสบผลสำเร็จ’ อยู่ที่ 75% ของทั้งหมด (เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคำว่า ‘อัตราประสบผลสำเร็จ’ นั้นเขาวัดกันอย่างไร)

ในที่สุด กองทัพเรือสหรัฐฯ ก็ออกมาแถลงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องลวงโลก แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่ ก็ทำให้สหภาพโซเวียตตื่นกลัวและหันมาวิจัยจริงจัง รายงานชิ้นหนึ่งของโซเวียตถึงขั้นกล่าวว่า “การค้นพบพลังงานที่เป็นพื้นฐานของโทรจิตจะมีความสำคัญเทียบเท่าได้กับการค้นพบพลังงานนิวเคลียร์” เลยทีเดียว

ต่อมาไม่นานโซเวียตก็ ‘โจมตี’ สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโก โดยการส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถี่หนึ่งไปที่ชั้นแปดและชั้นสาม (ซึ่งเป็นสำนักงานของซีไอเอ) ของอาคารสถานทูตสหรัฐฯ ซึ่งทางการสหรัฐฯ สงสัยว่า นี่อาจจะเป็นหนึ่งในการใช้คลื่นเพื่อล้วงเอาความลับผ่านทางกระแสจิตก็ได้

สิ่งที่กองทัพสหรัฐฯ พอจะทำได้ในตอนนั้น คือการให้นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ ทดลองโดยยิงคลื่นในลักษณะเดียวกันไปยังลิงในกรง นักวิทยาศาสตร์สรุปผลการทดลองนี้ว่า “เชื่อว่าคลื่นไมโครเวฟสามารถเข้าถึงสมองได้แน่นอน” ภายหลังมีงานวิจัยที่บอกว่า คลื่นไมโครเวฟนั้นก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้

[หมายเหตุ: เรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์อย่างกว้างขวางว่าจริงหรือไม่ จากหลักฐานต่างๆ ที่มีอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้แน่นอนว่าคลื่นไมโครเวฟทั้งจากโทรศัพท์และจากเครื่องไมโครเวฟอุ่นอาหารเป็นอันตรายต่อสมองหรือไม่ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งตื่นตระหนกกัน]  

ในทศวรรษ 1960 มีวิดีโอหนึ่งจากสถาบันวิจัยการทหารแห่งหนึ่งในเลนินกราด (เมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กในปัจจุบัน) ที่โชว์พลังจิตของผู้หญิงชาวรัสเซียคนหนึ่งที่สามารถใช้พลังจิตของเธอหยุดการเต้นของหัวใจกบ โดยยืนห่างออกไป 1.5 เมตรได้ เคลื่อนวัตถุสิ่งของได้ หรือแม้แต่เพิ่มอัตราการเต้นหัวใจของแพทย์ที่ไม่เชื่อในความสามารถของเธอก็ได้

สิ่งเหล่านี้เองทำให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เริ่มโครงการประเมินข่าวกรองที่เกี่ยวกับ “ภัยคุกคามด้านพลังงานทางจิตจากโซเวียต” โดยสำนักงานข่าวกรองการแพทย์ทหารบก ที่ขึ้นกับสำนักงานเจ้ากรมการแพทย์ทหารบก (Office of the Surgeon General)

การประเมินนี้ใช้เวลาถึงสองปี ได้ผลเป็นรายงานลับความยาว 174 หน้าซึ่งบ่งชี้ว่า เป็นที่แน่ชัดว่าสหภาพโซเวียตวิจัยปรจิตวิทยา (Parapsychology – หากแปลตรงตัวตามรากศัพท์จะได้เป็นวิชา “เกือบจะเป็นจิตวิทยา”)

รายงานแบ่งความอันตรายของพลังงานทางจิตเป็น 4 กลุ่ม คือ

1) ทำให้อุปกรณ์ทางทหารของสหรัฐฯ ไร้ความสามารถได้จากระยะไกล เช่นเครื่องบิน

2) ล่วงรู้เอกสารลับของทางการสหรัฐฯ ที่บอกถึงการเคลื่อนพลและสภาพของฐานทัพ

3) ก่อร่างความคิดของผู้นำทางทหารและพลเรือนของรัฐบาลสหรัฐ

4) ทำให้เจ้าพนักงานของสหรัฐฯ เสียชีวิตได้จากระยะไกล

จะเห็นได้ว่า ข้อสรุปของรายงานฉบับนี้มีผลต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ อย่างมาก ในกรณีที่พลังจิตมีอยู่จริง เพราะมันสามารถแปรเปลี่ยนมาเป็นอาวุธที่ร้ายแรงได้โดยที่ไม่มีทางป้องกันใดๆ และไม่สามารถตรวจจับได้ด้วย รายงานนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ทางพลังจิตในช่วงสงความเย็นระหว่างสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา

 

อูริ เก็ลเลอร์ : นักมายากล นักต้มตุ๋น ผู้มีพลังจิต สายลับ หรือทั้งหมดปนๆ กัน

กลับมาสู่จุดที่ทิ้งท้ายไว้เมื่อตอนที่แล้ว คือเรื่องราวของชายชาวอิสราเอลผู้ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลกด้วยการโชว์พลังจิตที่เรียกได้ว่า ‘ครบเครื่อง’ ที่สุดคนหนึ่งของโลก

ชายผู้นั้นก็คือ อูริ เก็ลเลอร์ (Uri Geller) เขาเติบโตมาในช่วงที่อิสราเอลเพิ่งก่อตั้งประเทศได้ไม่นาน มีศึกสงครามอยู่ตลอดเวลา เก็ลเลอร์มีพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุตั้งแต่เด็ก คือสามารถงอส้อมได้โดยการเพ่งกระแสจิต

เก็ลเลอร์ใฝ่ฝันอยากทำงานกับหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของอิสราเอลที่ชื่อ มอสสาด (Mossad) ระหว่างปิดเทอม เขาทำงานพิเศษที่โรงแรมของพ่อเลี้ยง และได้เจอกับสายลับที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเมล็ดพันธุ์พืชที่โรงแรมของพ่อเลี้ยง ชื่อ โยอาฟ ชาชาม (Yoav Shacham) ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็เริ่มสนิทกัน

สายลับคนนั้นสอนศิลปะป้องกันตัวให้กับเก็ลเลอร์ จนกระทั่งเก็ลเลอร์บอกกับสายลับว่า “ผมรู้นะว่าคุณโยอาฟเป็นสายลับ” โยอาฟตกใจและแปลกใจมากที่เด็กคนหนึ่งรู้ความลับของเขา จึงบอกกับเก็ลเลอร์ว่า ถ้าโตขึ้นแล้วยังอยากเป็นสายลับให้กับมอสสาดอยู่ จงไปสมัครเป็นทหารประจำการในกองทัพ แล้วให้มาหาเขาอีกทีหนึ่ง

เก็ลเลอร์จึงเก็บความลับเอาไว้ เมื่อโตขึ้นก็ไปสมัครเป็นทหาร แต่วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนปี 1966 มีข่าวการเสียชีวิตของพันตรีโยอาฟจากการสู้รบที่ชายแดนอิสราเอล-จอร์แดนลงในหนังสือพิมพ์ เก็ลเลอร์เสียใจมาก เพราะคนที่เขาหวังจะให้ช่วยให้ได้เป็นสายลับเสียชีวิตลง และเขาดันหลับยามระหว่างฝึกในโรงเรียนนายร้อยของอิสราเอล จึงทำให้หมดโอกาสได้เป็นสายลับไป

หลังจากนั้นเก็ลเลอร์ก็ปลดประจำการ แล้วก็ดำรงชีวิตด้วยการโชว์พลังจิตตามร้านอาหารหรือตามงานรื่นเริงต่างๆ จนมีคนดังหลายคนเห็นความสามารถจึงพาไปออกทีวี

นอกเหนือจากการงอช้อนส้อมแล้ว เก็ลเลอร์ยังมีความสามารถด้านโทรจิต ครั้งหนึ่งเก็ลเลอร์ได้พบกับพิธีกรรายการทีวีชื่อดังในอิสราเอลที่ไม่เชื่อเรื่องพลังจิตในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เก็ลเลอร์จึงพิสูจน์ให้พิธีกรคนนั้นเชื่อ โดยการให้พิธีกรนั้นเลือกเลขอะไรก็ได้ตั้งแต่เลขหนึ่งจนถึงหนึ่งแสนและพูดออกมาดัง ๆ เมื่อพิธีกรพูดเลขออกมา เก็ลเลอร์ก็แบมือออกแล้วพิธีกรคนนั้นก็เห็นเลขที่เพิ่งพูดออกมาเขียนโดยหมึกดำอยู่บนฝ่ามือของเก็ลเลอร์

ความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่เก็ลเลอร์มีก็คือ “แม็ปดาวซิ่ง” (Map Dowsing) หรือการใช้ลูกตุ้มเหล็กห้อยจากมือเหนือแผนที่เพื่อหาสิ่งของ คน หรืออะไรก็ตามที่ต้องการ มีการรายงานว่า เก็ลเลอร์ใช้ความสามารถนี้หาแหล่งน้ำมันให้กับบริษัทน้ำมันของประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส (และนี่จะกลายเป็นแหล่งทำเงินมหาศาลให้เก็ลเลอร์)

แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เก็ลเลอร์โด่งดังไปทั่วโลก ครั้งหนึ่งก่อนที่เก็ลเลอร์กำลังจะขึ้นแสดงโชว์พลังจิตต่างๆ ให้ผู้ชมที่ซื้อบัตรเข้ามาดู เก็ลเลอร์ก็เกิดป่วยกระทันหัน อัตราการเต้นของหัวใจพุ่งขึ้นไปสูงถึง 160 ครั้งต่อนาที จนผู้ชมที่เป็นหมอต้องมาช่วยดูอาการ เมื่อเก็ลเลอร์อาการทรงตัวดีขึ้นก็ประกาศว่าประธานาธิบดีของอียิปต์ นายกามาล อับเดล นาซเซอร์ ฮุซเซน เสียชีวิตแล้วหรือกำลังจะเสียชีวิต ในหมู่ผู้ชมนั้นมีนักข่าวอยู่ด้วย นักข่าวจึงออกไปโทรศัพท์เพื่อเช็คข่าวว่าเป็นจริงหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีข่าวการเสียชีวิตของประธานาธิบดีอียิปต์แต่อย่างใด คนดูจึงเริ่มทยอยเดินออกและเรียกร้องให้เก็ลเลอร์คืนเงินค่าบัตร

ผ่านไปเพียงยี่สิบนาทีเท่านั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาในห้องและประกาศว่า สถานีวิทยุไคโรประกาศว่าประธานาธิบดีอียิปต์เสียชีวิตแล้วด้วยอาการหัวใจวาย จากนั้น ชื่อเสียงของเก็ลเลอร์ก็ดังเป็นพลุแตกชั่วข้ามคืน จนเมื่อนักข่าวถามในโอกาสวันปีใหม่ว่า อิสราเอลจะมีอะไรน่าสนใจในปีต่อไป โกลดา เมียร์ นายกรัฐมนตรีอิสราเอลในขณะนั้นถึงกับแซวว่า “อย่ามาถามฉันเลย ไปถามนายอูริ เก็ลเลอร์นู่น”

ผู้ที่เห็นศักยภาพและโอกาสในการทดลองความสามารถของอูริ เก็ลเลอร์ ก็คือ นพ.อันดริจา พูฮาริค จากมูลนิธิราวด์เทเบิลนั่นเอง นพ.พูฮาริคลงทุนเดินทางไปอิสราเอล และเข้าชมโชว์ของเก็ลเลอร์เพื่อให้มีโอกาสได้พูดคุยกัน

จากนั้น นพ.พูฮาริค จึงเชิญเก็ลเลอร์ไปพบที่บ้านพักของนายทหารกองทัพบกอิสราเอลคนหนึ่ง เพื่อทดสอบเก็ลเลอร์ด้วยอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ต่างๆ จำนวนมากที่นพ.พูฮาริคขนมาจากสหรัฐฯ

จากเอกสารลับจากซีไอเอที่ถูกปลดชั้นความลับ (declassified) นั้น บอกถึงความสามารถพลังจิตที่ นพ.พูฮาริคทดสอบเก็ลเลอร์ โดยมีพยานเป็นนายทหารกองทัพบกอิสราเอลนายหนึ่ง ได้แก่ การหักแหวนทองที่อยู่ในกำมือของอีกคนหนึ่ง การเพ่งกระแสจิตเพื่อทำให้เทอร์โมมิเตอร์เพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้นได้โดยไม่ได้สัมผัสใดๆ ทำให้นาฬิกาที่ตายอยู่เดินต่อได้โดยไม่ได้สัมผัส เลื่อนเข็มนาฬิกาไปข้างหน้าหรือข้างหลังได้โดยไม่มีการสัมผัส และโทรจิตโดยมีความแม่นยำถึง 90% ในการทายตัวเลขสามหลักที่นพ.พูฮาริคนึกขึ้น

หลังจากการทดสอบที่กินเวลาสองอาทิตย์ นพ.พูฮาริคต้องการให้อูริ เกลเลอร์เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อทำการทดลองต่อ โดยคาดว่าทางซีไอเอน่าจะต้องการทดสอบแบบเดียวกับที่โซเวียตปล่อยวิดีโอของผู้หญิงรัสเซียที่แสดงพลังจิตแบบเดียวกัน นพ.พูฮาริคจึงติดต่อไปยังนักบินอวกาศโครงการอพอลโล 14 ที่ชื่อเอ็ดการ์ มิทเชล (Edgar Mitchell) เพื่อให้มาร่วมงานด้วย มิทเชลเป็นหนึ่งในมนุษย์โลกไม่กี่คนที่ได้ไปเหยียบดวงจันทร์ ในช่วงปฏิบัติการอพอลโล 14 กำลังเดินทางไปยังดวงจันทร์ มิทเชลซึ่งตอนนั้นก็สนใจพลังจิตอยู่ก่อนแล้ว ก็ทดลองการส่งโทรจิตกับเพื่อนที่อยู่บนโลก โดยใช้เซนเนอร์การ์ดแบบเดียวกับการทดลองในเรือดำน้ำของสหรัฐฯ

แต่ครั้งนี้ผลการทดลองถูกเพียงแค่หนึ่งในสี่ของจำนวนครั้งที่ทดลอง ซึ่งตามสถิติแล้ว ไม่ต่างอะไรกับการเดาสุ่ม มิทเชลอ้างในภายหลังที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผยว่า ที่ผลผิดพลาดเยอะเป็นเพราะระหว่างปฏิบัติการบนอวกาศต้องทำภารกิจจำนวนมาก ภารกิจเหล่านี้ทำให้เวลาที่ต้องส่งโทรจิตคลาดเคลื่อนไป

[ข้อสังเกต เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถือว่าอันตรายมากในความเห็นของผม เพราะลำพังการเดินทางในอวกาศปกติก็มีขั้นตอนระเบียบวิธีที่อัดแน่นอยู่แล้ว การที่มิทเชลทำการทดลองส่วนตัวซึ่งไม่ได้อยู่ในแผน และมีเวลาที่แบ่งเอาไว้แน่นอนนั้นอาจทำให้เกิดความผิดพลาดที่แก้ไขไม่ได้จนถึงขั้นทำให้ทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมภารกิจไม่สามารถกลับโลกได้เลยทีเดียว]

มิทเชลตอบรับการช่วยนพ.พูฮาริคเพื่อนำอูริ เก็ลเลอร์มายังสหรัฐฯ เพื่อทดลองให้กับซีไอเอ ปัญหาสำคัญของซีไอเอก็คือ ความเชื่อมั่นของเจ้าหน้าที่ซีไอเอว่าการทดลองพลังจิตนั้นคุ้มค่าที่จะดำเนินการ แม้ว่างบประมาณของซีไอเอจะเป็นงบลับที่มีการตรวจสอบน้อยนิดอยู่แล้ว แต่ในสังคมวงกว้างนั้นมีความไม่เชื่อถือพลังจิต เจ้าหน้าที่ของซีไอเอที่ส่วนใหญ่เป็นนักวิเคราะห์ข้อมูลก็ไม่เชื่อถือการทดลองหรือข้อมูลเกี่ยวกับพลังจิต แม้ว่าผู้นำสูงสุดขององค์กรจะต้องการให้ตรวจสอบ แต่ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงความน่าเชื่อถือของการทดลองที่จะได้มาด้วย

มูลนิธิราวด์เทเบิลของนพ.พูฮาริคไม่อยู่ในข่ายที่จะทำการทดลองแบบนี้ได้ เพราะซีไอเอประเมินว่า การทดลองที่ทำนั้น ไม่มีตัวควบคุม และไม่ได้ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม ดังนั้น เพื่อที่จะให้การทดลองมีคุณภาพและน่าเชื่อถือที่สุด ซีไอเอจึงต้องหาสถาบันที่เป็นกลาง มีคุณภาพสูงสุด และมีชื่อเสียงซึ่งทำวิจัยให้กับวงการทหารและข่าวกรองอยู่แล้วมาทำการทดลองที่เป็นวิทยาศาสตร์

ซีไอเอจึงติดต่อไปที่สถาบันวิจัยแห่งสแตนฟอร์ด (Stanford Research Institute – SRI) เพื่อให้ทำการทดลองให้

ส่วนเรื่องที่ว่า สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ชื่อดัง จะทดลองแบบไหนกับผู้มีพลังจิต และได้ผลเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

Fact Box

  • เรื่อง Space Race โดยเฉพาะการที่โซเวียตส่งดาวเทียมดวงแรกขึ้นไปได้ เป็นจุดเริ่มต้นของหน่วยงานที่เรารู้จักกันดีว่าเป็นผู้สร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นั่นก็คือ ARPA ซึ่งต่อมากลายเป็น DARPA สาเหตุที่สหรัฐฯ ตกใจเป็นอย่างยิ่งเพราะการส่งดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรบนบรรยากาศชั้นสูงนั้นเป็นขั้นแรกของการสร้าง ICBM
  • อ่านบทความตอนแรก: ร่างทรง พลังจิต วิทยาศาสตร์: เมื่อกองทัพสหรัฐฯ ใช้พลังพิเศษในการสงคราม ได้ที่ https://themomentum.co/extrasensory-us-armed-forces/
  • เรื่องราวว่าด้วยพลังจิตกับการสืบสวนสอบสวนของรับาลสหรัฐ ปรากฏอยู่ในหนังสือ Phenomena: the secret history of the U.S. Government’s investigations into extrasensory perception and psychokinesis (แปลเป็นไทยได้ว่า ปรากฏการณ์: ประวัติศาสตร์ลับของการสืบสวนสอบสวนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ในเรื่องสัมผัสที่หกและพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ) เขียนโดยแอนนี เจค็อบเซน (Annie Jacobsen) เป็นหนึ่งในสี่นักเขียนผู้เข้าชิงรางวัล Pulitzer Prize จากหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติของหน่วยงานวิจัยวิทยาศาสตร์ขั้นสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ (DARPA – Defense Advanced Research Project Agency) กลุ่มหนังสือประวัติศาสตร์ในปี 2016 (แต่ไม่ได้รางวัล)
Tags: , , , , , ,