สองสัปดาห์มานี้ มีข่าวดังเกี่ยวกับร่างทรง คนทรง ถูกนำเสนอผ่านข่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆ ข่าวเรื่องร่างทรง คนทรงเจ้า พลังพิเศษมองเห็นอดีตหรืออนาคต หรือการติดต่อกับวิญญาณคนที่ตายไปแล้ว เป็นเรื่องราวที่อยู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ความเชื่อในเรื่องลี้ลับเหล่านี้น่าจะมีมาก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก

ก่อนที่ผมจะมีอาชีพเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมเองเคยสงสัยว่า ร่างทรง คนทรง พลังจิต หรือพลังพิเศษที่คนจำนวนหนึ่งในสังคมไทยเชื่ออย่างสุดใจว่ามีจริงๆ นั้น มีทฤษฎีทางฟิสิกส์ เคมี ชีวภาพ อะไรที่พอจะอธิบายได้บ้างหรือไม่ ว่าสิ่งเหล่านี้ทำงานอย่างไร ผมเคยลองค้นหาจากหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยแต่ก็ไม่เคยพบ อาจเพราะผมไม่ได้ตั้งใจค้นข้อมูลอย่างจริงจัง จึงยังไม่พบคำตอบ (หากผู้อ่านท่านใดมีแหล่งข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นชื่อหนังสือหรือบุคคลที่พอจะบอกเล่าทฤษฎีของเรื่องเหล่านี้ได้ ขอความกรุณาส่งข้อมูลมาให้ผม จักเป็นพระคุณยิ่ง)

จนกระทั่ง ผมพบหนังสือเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับการทดลองพลังลี้ลับ แถมยังดำเนินการโดยกองทัพและหน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา หนังสือเล่มนี้ออกมาเมื่อปี 2017 พอมีข่าวเกี่ยวกับร่างทรง ผมจึงนึกถึงหนังสือเล่มนี้และขุดมันขึ้นมาอ่านเสียที

หนังสือเล่มนี้ชื่อ Phenomena: the secret history of the U.S. Government’s investigations into extrasensory perception and psychokinesis (แปลเป็นไทยได้ว่า ปรากฏการณ์: ประวัติศาสตร์ลับของการสืบสวนสอบสวนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ในเรื่องสัมผัสที่หกและพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ) เขียนโดยแอนนี เจค็อบเซน (Annie Jacobsen) เป็นหนึ่งในสี่นักเขียนผู้เข้าชิงรางวัล Pulitzer Prize จากหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติของหน่วยงานวิจัยวิทยาศาสตร์ขั้นสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ (DARPA – Defense Advanced Research Project Agency) กลุ่มหนังสือประวัติศาสตร์ในปี 2016 (แต่ไม่ได้รางวัล)

วิทยาศาสตร์ของพลังจิต

หนังสือเล่มนี้เขียนถึงเรื่องราวตามชื่อของหนังสือ ว่าเป็นความพยายามตรวจสอบสิ่งที่เรียกว่า ESP ซึ่งภาษาไทยคือ ‘สัมผัสที่หก’ และ Psychokinesis ซึ่งภาษาไทยคือ ‘การเคลื่อนวัตถุด้วยพลังจิต’ โดยการตรวจสอบ สืบสวน สอบสวนนี้ ทำโดยหน่วยงานราชการทหารและหน่วยข่าวกรองพลเรือนและทหารของสหรัฐอเมริกา

สิ่งที่น่าสนใจในมุมของผมซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็คือ การตรวจสอบเรื่องนี้ถูกกระทำโดยนักวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ส่วนหนึ่งเป็นนักฟิสิกส์ อีกส่วนหนึ่งเป็นแพทย์ ซึ่งรวมไปถึงจิตแพทย์ด้วย และยังรวมไปถึงการใช้งานจริงเพื่อหาข่าวกรองทั้งสำหรับพลเรือนและทางการทหาร

ในบรรดา “สัมผัสที่หก” ที่นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบนั้น มีตั้งแต่ร่างทรง (channeler/medium/clairaudience) โทรจิต (telepathy) ตาทิพย์ (clairvoyance ศัพท์ที่ทางการใช้คือ remote viewing/remote sensing) และสุดท้าย คือพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ (psychokinesis)

หนังสือเล่มนี้ความยาวเกือบ 500 หน้า แบ่งออกเป็นสี่ส่วนใหญ่ แยกตามช่วงเวลาและหน่วยงานที่เป็นผู้นำการทดลองและใช้งาน ช่วงแรกคือตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง ช่วงที่สองคือช่วงที่รับผิดชอบโดยหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐ (ซีไอเอ – Central Intelligence Agency) ช่วงที่สามคือช่วงที่รับผิดชอบโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐ (Department of Defense) และช่วงที่สี่คือช่วงทศวรรษ 1980 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งผมจะกล่าวถึงบางเรื่องราวที่แอนนี เจค็อบเซน ร้อยเรียงเอาไว้ในหนังสือ

‘ข่าวกรอง’ กับความน่าเชื่อถือของโหรทหาร

ในช่วงเริ่มต้นของบทแรก เล่าถึงเหตุการณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองช่วงปี 1941 ที่รูดอล์ฟ เฮสส์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสูงสุดของนาซีเยอรมนีถูกจับได้ในกลาสโกว์ จากการลักลอบบินเข้ามาเจรจาลับเพื่อให้ประเทศอังกฤษยอมเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี

ในบันทึกของผู้บัญชาการระดับสูงอีกคนหนึ่งหลังสงครามบอกเล่าว่า เฮสส์มั่นใจว่าเรื่องนี้จะสำเร็จแน่ เพราะมีนิมิตในฝันที่มาจากพลัง ‘เหนือธรรมชาติ’ บอกมา ในปี 2002 สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษเสนออีกด้านหนึ่งของเรื่องนี้ นั่นก็คือ เฮสส์มีที่ปรึกษาเป็นนักโหราศาสตร์ชาวเยอรมันสองคน จากการบอกเล่าของแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยตัวกล่าวว่า หน่วยข่าวกรองของอังกฤษในขณะนั้นขอความร่วมมือจากนักโหราศาสตร์ชื่อดังของอังกฤษคนหนึ่งที่ชื่อ ซีบิล ลีก (Sybil Leek) เพื่อสร้างแผนภูมิโหราศาสตร์ปลอมขึ้นมา โดยคาดว่านักโหราศาสตร์ที่เป็นที่ปรึกษาของเฮสส์จะหลงเชื่อ จนทำให้นักโหราศาสตร์สองคนนั้นแนะนำให้เฮสส์ลักลอบเดินทางมาอังกฤษ

ปัจจุบัน บันทึกของทางการอังกฤษเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังคงเป็นความลับอยู่ และแหล่งข่าวที่ให้ข่าวนี้กับบีบีซีก็ไม่สามารถติดต่อได้ผ่านช่องทางปกติ เรื่องนี้จึงยังคงเป็นปริศนาว่าจริงหรือไม่ต่อไป

ในบทแรกนี้ ยังเล่าถึงความพยายามแบบเดียวกันในอเมริกา ที่หน่วยข่าวกรองของอังกฤษขอความร่วมมือจากหมอดูชื่อดังในอเมริกาเพื่อทำสงครามข่าวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยให้ทำนายว่า นายพลระดับสูงของกองทัพเยอรมันถูกจับหรือเป็นบ้าไป แล้วในวันต่อมา ก็มีข่าวลงหนังสือพิมพ์ที่มีคนอ่านจำนวนมากว่า มีนายพลของเยอรมันโดนจับจริงๆ (แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น) สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่คณะกรรมการการสื่อสารของรัฐบาลกลางสหรัฐ (Federal Communications Commission – FCC) ประกาศยกเลิกการแบนนักโหราศาสตร์จากสื่อในปี 1941 จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้มีการวางแผนการทำงานกันอย่างเป็นระบบ

เป็นที่น่าสังเกตว่าแอนนี เจค็อบเซน เลือกจะเอาเรื่องที่หน่วยข่าวกรองของอังกฤษใช้ประโยชน์จากนักโหราศาสตร์ชื่อดังเพื่อหลอกนักโหราศาสตร์ที่ปรึกษาของเจ้าหน้าที่นาซีระดับสูง ราวกับจะแสดงให้เห็นตั้งแต่ต้นว่า ที่รัฐบาลอังกฤษหลอกล่อ ลวง หรืออำพรางความต้องการที่แท้จริง น่าจะเป็นสิ่งที่ ‘เหมาะสม’ ในการจัดการหรือใช้ประโยชน์จากเรื่องลี้ลับเหล่านี้

ผมคาดเดาเอาเองว่า เรื่องราวการใช้ประโยชน์จากผู้ที่อ้างว่ามีพลังจิตหรือสามารถล่วงรู้อนาคตได้น่าจะมีเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ (หรือทั้งหมด) น่าจะยังไม่หมดระยะเวลาที่จะต้องปกปิดเป็นความลับ (หรืออาจจะเปิดเผยออกมาแล้ว แต่ไม่อยู่ในการรับรู้ของผม)

พลังพิเศษในการสงครามของกองทัพสหรัฐฯ

หลังจากนั้น หนังสือจึงเริ่มเล่าถึงเรื่องราวความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของการวิจัยพลังพิเศษเหล่านี้ของรัฐบาลสหรัฐฯว่าเริ่มต้นอย่างไร ตัวละครที่สำคัญมีใครบ้าง และผลจากการค้นคว้าวิจัยนั้น มีสิ่งใดบ้างที่รัฐบาลสหรัฐฯ นำไปใช้ในการสงคราม

จุดเริ่มต้นเกิดจาก เฮนรี่ คาเรล “อันดริจา” พูฮาริค (Henry Karel “Andrija” Puharich) นายแพทย์นักวิจัยคนหนึ่งที่มั่นใจว่าพลังพิเศษเหล่านี้มีจริง แต่ตัวนายแพทย์ไม่ได้มีพลังพิเศษเหล่านั้นเอง ช่วงที่นพ.พูฮาริคทำงานเป็นหมอก็ได้สัมผัสกับเรื่องลี้ลับบางอย่าง และคิดทฤษฎีที่มาอธิบายพลังลี้ลับเหล่านี้ เรียกกันว่า ทฤษฎีพูฮาริค

อธิบายคร่าวๆ ก็คือ พลังลี้ลับเหล่านี้น่าจะมีที่มาจากสมองของมนุษย์เอง เซลล์สมองนั้นสื่อสารกันด้วยพลังงานบางอย่างที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก (ในขณะนั้น) และการตรวจจับ การควบคุมหรือปรับปรุงพลังงานนั้นน่าจะเป็นหนทางในการเข้าถึงสัมผัสที่หกและพลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของได้

ระหว่างนั้น พูฮาริคก็อยู่ในวงสังคมชั้นสูงของอเมริกาที่สนใจในพลังพิเศษเหมือนกัน เหล่าคนในสังคมชั้นสูงที่เป็นเจ้าของกิจการต่างๆ เห็นว่า ถ้าพลังพิเศษนี้ใช้ได้จริง ก็ควรจะศึกษาอย่างจริงจัง จึงลงขันกันให้ทุนนพ.พูฮาริคเพื่อทดลองพลังจิตแบบต่างๆ ว่ามีความเป็นไปอย่างไร สามารถอธิบายโดยใช้วิทยาการในขณะนั้นได้หรือไม่ แล้วจะนำมาใช้งานอะไรได้บ้าง โดยได้ตั้งเป็นมูลนิธิขึ้นมาชื่อว่า “มูลนิธิราวด์เทเบิล” (Round Table Foundation)

ในช่วงที่พูฮาริคทำวิจัยอยู่ที่มูลนิธิ ได้ทดลองหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับความสามารถพิเศษของมนุษย์ เช่น ทดสอบการได้ยินเสียงที่ต่ำกว่าหรือเหนือกว่าช่วงการได้ยินปกติของมนุษย์ รวมทั้งทดลองกับสัตว์อีกหลายชนิด แต่ที่น่าสนใจที่สุดในช่วงนี้ คือการที่พูฮาริคทดสอบความสามารถของเหล่าบุคคลที่อ้างว่ามีพลังจิต วิธีการทดลองก็คือ จากทฤษฎีที่ว่าพลังจิตเหล่านั้นเป็นพลังงานอย่างหนึ่งจากสมอง เพื่อให้พลังจิตนั้นได้ผลสูงสุด จะต้องไม่มีการปนเปื้อนจากคลื่นหรือพลังงานภายนอก ดังนั้น จึงให้คนที่มีพลังจิตนั้นเข้าไปอยู่ในกล่องเหล็กที่เรียกว่า “กรงฟาราเดย์” (Faraday cage) เนื่องจากกรงฟาราเดย์นี้สามารถป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆ จากภายนอกกรงได้ทั้งหมดนั่นเอง

เหล่าคนชั้นสูงที่ก่อตั้งมูลนิธิราวด์เทเบิลล้วนแล้วแต่มี ‘คอนเน็คชั่น’ ที่กว้างขวาง เรื่องนี้จึงถูกเล่าต่อกันไปในวงสังคมชั้นสูง รวมถึงได้รับความสนใจจากสื่อหลัก จนต่อมา ทางรัฐบาลกลางสหรัฐฯ นำโดยกองทัพบกสหรัฐฯ เรียกตัวให้นายแพทย์พูฮาริคกลับไปประจำการในกองทัพบก ช่วงวันธรรมดานั้นนายแพทย์พูฮาริคจะทำหน้าที่อยู่ที่ศูนย์อาวุธเคมีกองทัพบกเอดจ์วูด (Edgewood arsenal, Army Chemical Center) ตั้งอยู่ย่านชานเมืองหลวงกรุงวอชิงตัน ดีซี ส่วนวันหยุดก็จะกลับไปทำการทดลองที่มูลนิธิราวด์เทเบิล

หนึ่งในโครงการที่กองทัพบกสหรัฐฯ ต้องการเรียนรู้และเข้าใจเพื่อนำมาใช้ก็คือ การค้นหาสารเคมีที่มีฤทธิ์ทำให้ประสาทหลอน (hallucinogens) ซึ่งนพ.พูฮาริคมีหน้าที่ค้นหาสารดังกล่าวเพื่อผลสองประการ หนึ่งคือเพื่อทำให้ศัตรูหมดความสามารถในการต่อสู้ วิธีการคร่าว ๆ คือการนำสารเคมีนี้มาทำให้เหมาะที่จะเป็นอาวุธเพื่อใช้ในวงกว้าง สองคือเพื่อใช้สืบสวนสอบสวนสายลับหรือทหารของศัตรู หรือที่ศัพท์ทางเทคนิคเรียกว่า ‘การควบคุมจิตใจ’ (Mind control) ซึ่งโครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการย่อยในโครงการใหญ่ที่ชื่อ MKULTRA (ซึ่งโครงการนี้มีโครงการย่อยจำนวนมากที่ค้นหาวิธีที่ได้ผลที่สุดในการโน้มน้าวจิตใจ ทั้งการใช้สารเคมี คลื่นวิทยุ และอื่นๆ)

จากบันทึกของนพ.พูฮาริค บอกว่ามีนิมิตมาเข้าฝันให้เขาไปหาสารเคมีเหล่านี้จาก ‘เห็ด’ ต่อมาเขาก็พบกับนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งที่ทำวิจัยในเม็กซิโก เกี่ยวกับสารเคมีในเห็ดชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์หลอนประสาท โดยนักวิทยาศาสตร์คนนี้ศึกษาประวัติศาสตร์ของชนเผ่าหนึ่งในเม็กซิโก พบว่าชนเผ่านี้มีตำนานเกี่ยวกับพิธีกรรมหนึ่งที่สืบทอดกันมายาวนาน คือ คนในเผ่าจะได้รับเห็ดชนิดหนึ่ง ซึ่งคนในพิธีกรรมนั้นจะได้ ‘สัมผัส’ กับพระเจ้าเมื่อกินเห็ดที่ว่าเข้าไป  (หมายเหตุ โครงการลับเหล่านี้เกี่ยวโยงกับนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันอดีตนาซีหลายคน ที่กองทัพสหรัฐฯ ดึงตัวเข้ามาทำงานด้วยผ่าน ‘โครงการเปเปอร์คลิป’ ซึ่งหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการหาสารหลอนประสาทนี้ ก็มาจากโครงการเปเปอร์คลิปด้วย)

ช่วงแรกของการทดลอง ไม่มีความก้าวหน้าเกี่ยวกับสัมผัสที่หกและพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุมากนัก ส่วนใหญ่เป็นการนำคนที่อ้างว่ามีพลังจิตเข้ามาเพื่อแสดงพลัง การทดลองเหล่านั้นแทบไม่มีการควบคุมตัวแปรอื่นใดเลย นอกจากการนำคนที่มีพลังจิตเข้าไปอยู่ในกรงฟาราเดย์ แต่สิ่งที่จะทำให้เกิดเป็นจุดเปลี่ยนของการทดลองเหล่านี้ มาจากผู้มีพลังจิตคนหนึ่งจากประเทศอิสราเอล ที่ชื่อ อูริ เกลเล่อร์ (Uri Geller) ซึ่งมีความสามารถทางจิตที่หลากหลาย และเป็นหนึ่งในบุคคลที่โด่งดังมากที่สุดในโลกเรื่องพลังจิต

โปรดติดตามต่อในตอนที่สอง

Tags: , , ,