เจมส์ บอนด์ ของเอียน เฟลมมิ่ง ชอบจิบมาร์ตินี่ แต่เอสเปรสโซ่มาร์ตินี่น่าจะเป็นแก้วที่เรายังไม่เคยเห็นบอนด์ดื่ม เพราะเอสเปรสโซ่มาร์ตินี่ถือกำเนิดขึ้นแก้วแรกเมื่อปี 1984 และเป็นการเกิดขึ้นแบบกะทันหันเสียด้วย
“Wake me up, and then fuck me up” นาโอมิ แคมป์เบลล์ นางแบบสาวที่โด่งดังเอามากๆ ในช่วงปีนั้น เอ่ยคำนี้ที่หน้าบาร์ของเฟรดคลับในโซโห ตอนที่ดิ๊ก แบรดเซลล์ บาร์เทนเดอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุค ’80-’90s กำลังทำหน้าที่อยู่หลังบาร์นั้น ตามนิสัยที่คนขนานนามให้แคมป์เบลล์ว่าเป็นจอมบงการ เธอบอกให้เขาทำเครื่องดื่มอะไรก็ได้ให้เธอสักแก้ว และเอาแบบที่ทำให้เธอ ‘ตื่นตัว’ ด้วย
แบรดเซลล์ใช้เวลาคิดไม่นาน เครื่องดื่มแก้วที่นางแบบสาวต้องการก็อยู่ในมือ เป็นค็อกเทลรสนุ่มหวานหอม ที่เขาใส่ส่วนผสมของวอดก้า Coffee Liqueurs หรือเหล้าที่มีกลิ่นกาแฟ และเอสเปรสโซ่อีก 25 มิลลิลิตร ในอัตราส่วน 2:1:1 ทั้งสามส่วนผสมทำความรู้จักกันครั้งแรกในเชกเกอร์ ผสานเนื้อรวมเป็นหนึ่งพร้อมก้อนน้ำแข็งเย็นเจี๊ยบ ก่อนที่แบรดเซลล์จะบรรจงรินค็อกเทลสูตรใหม่ลงแก้วมาร์ตินี่ เราไม่รู้ว่าในคืนนั้นควรจะขอบคุณนางแบบสาวหรือบาร์เทนเดอร์หนุ่มดี เพราะตั้งแต่นั้น เอสเปรสโซ่มาร์ตินี่ก็กลายเป็นเครื่องดื่มในตำนาน และกลายเป็นมรดกชิ้นสำคัญต่อวงการค็อกเทลมาจนถึงตอนนี้
บนโต๊ะยาวในค่ำคืนหนึ่งที่ D’Ark พิมาน 49 โจ แมคแคนตา แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Grey Goose ซูเปอร์ พรีเมียมวอดก้า จากแคว้นคอนยัค ประเทศฝรั่งเศส กำลังพาเราไปทำความรู้จักกับ เอสเปรสโซ่มาร์ตินี่ ในอีกรูปแบบ เขาเรียกแก้วนี้ว่า L’espresso Martini ค็อกเทลที่มีอะไรแตกต่างไปจากเอสเปรสโซ่มาร์ตินี่ต้นตำรับอยู่เล็กน้อย โจเพิ่งเดินทางมาจากฝรั่งเศสหลังจบภารกิจที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ และบอกว่าค็อกเทลที่เขาจะทำให้เราดื่มนั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมกาแฟของชาวปารีเซียง
ก่อนจะพาเราเดินทางไปถึงแก้วไฮไลต์พร้อมๆ กัน โจกระตุ้นเราด้วยค็อกเทลที่เขาปรุงเอง เริ่มจาก French Martini ค็อกเทลก่อนอาหารที่ให้รสชาติกลมกล่อมด้วยวอดก้าขวดที่เขาคุ้นเคย ผสมกับ Noilly Pratz เวอร์มูตสัญชาติฝรั่งเศส สร้างสมดุลด้วย Orange Bitters แล้วเพิ่มความหอมด้วยกลิ่นของเปลือกมะนาว
ส่วนแก้วที่สอง Le Grand Fizz เป็นค็อกเทลหรูหราที่วิธีการทำไม่ซับซ้อนแต่เรียกความสดชื่นกลับมาเต็มๆ แล้วผสมด้วย วอดก้า และ St. Germain ซึ่งเป็นเหล้า Elderflower ที่มีกลิ่นหอมหวาน มะนาวฝานบีบทั้งเปลือก และโซดา คนด้วยน้ำแข็งจนเย็นจัด เป็นความต่อเนื่องที่กำลังดี
เมื่อมาถึงแก้วไฮไลต์อย่าง เลเปรสโซ มาร์ตินี่ โจบอกเราแล้วว่าแก้วนี้จะทำให้เราตื่น เอสเพรสโซหนึ่งช็อตที่เขาใช้ เป็นกาแฟคั่วบดพิเศษของร้าน D’ARK ที่เบลนด์จากเมล็ดกาแฟอาราบิก้าของโคลัมเบียและเปรู ให้สัมผัสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยโน้ตของช็อกโกแลตและโกโก้ ซึ่งกลมกลืนกับเกรย์กูซวอดก้า Kahlua เหล้ากาแฟซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับเอสเพรสโซ่มาร์ตินี่ และเป็นอีกหนึ่งส่วนผสมที่ขาดไม่ได้ โจเติมความหวานลงอีกนิดด้วยไซรัป สะบัดเกลือลงไปอีกหน่อยเพื่อดึงรสชาติของกาแฟให้ออกมาได้เต็มที่ เชกเกอร์ถูกเขย่าตามจังหวะมือของเขา อึดใจเดียว เลเปรสโซ มาร์ตินี่ก็พร้อมรินลงแก้ว และเสร็จสมบูรณ์หลังจากเมล็ดกาแฟสามเมล็ดได้วางลงบนหน้า ซึ่งเป็นการตกแต่งตามความเชื่อแบบอิตาเลียน แทนความหมายถึงความแข็งแรง ความร่ำรวย และความสุข
ไม่มากและไม่น้อยไปกว่าที่โจบรรยายถึงค็อกเทลแก้วนี้ เลเปรสโซ มาร์ตินี่ให้ความนุ่มเนียนของฟองกาแฟ รสหวานละมุน ดื่มง่าย แม้ในความละมุนนั้นจะมีระดับความเข้มของดีกรีมากกว่า 40 อยู่นิดๆ และแน่นอนว่าเรา ‘ตื่น’ กันขึ้นทันตา
นางแบบสาวจอมบงการซึ่งได้ลองรสชาตินี้เป็นคนแรกเมื่อ 34 ปีก่อน ก็คงเคยรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน
Fact Box
เกรย์ กูซ วอดก้า ซึ่งใช้ในการผสมค็อกเทลนี้ เป็นวอดก้าที่ผลิตในฝรั่งเศส 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านกระบวนการกลั่นเฉพาะตัวเพื่อให้ได้วอดก้าที่มีความบริสุทธิ์ที่สุด และได้รสสัมผัสแบบธรรมชาติ ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยไม่ใช้วัตถุดิบที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม และนำส่วนที่เหลือจากการกลั่นไปทำอาหารสัตว์ ลดรอยเท้าคาร์บอน (carbon footprint) ในการขนส่งด้วยการคิดค้นวิธีผลิตขวดให้มีน้ำหนักเบาขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ พร้อมทั้งพิมพ์ฉลากด้วยหมึกออร์แกนิกที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ