เดือนกุมภาพันธ์ 2022 องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) ประกาศว่ายานสำรวจดาวอังคาร ‘เพอร์ซิเวียเรนซ์’ (Perseverance) ได้ลงจอดบนดาวเคราะห์แดงสำเร็จ ซึ่งเป็นการลงจอดแบบมีผู้ควบคุมอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่น และวิธีลงจอดดังกล่าวสามารถใช้กับเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินอื่นๆ ที่คล้ายกันได้ จึงมีความเป็นไปได้ว่า ในอนาคตอีกไม่ไกล เทคโนโลยีอาจเดินหน้าจนถึงขั้นที่การท่องเที่ยวในอวกาศไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป

ในเดือนกรกฏาคมปีเดียวกัน ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ ผู้ก่อตั้งบริษัทเวอร์จิ้นกาแลกติก (Virgin Galactic) บริษัทท่องเที่ยวทางอวกาศได้จัดทัวร์ขึ้นสู่อวกาศเป็นครั้งแรก โดยผู้โดยสารคือตัวเขา สองนักบิน และผู้เชี่ยวชาญด้านภารกิจอวกาศอีก 3 คน เพื่อสัมผัสกับสภาพไร้น้ำหนักเพียงไม่กี่นาที ก่อนกลับลงมาบนโลก ซึ่งการบินดังกล่าวเป็นไปด้วยดี

หลังจากนั้น การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในอวกาศเริ่มสูงมากขึ้น มีหลายบริษัทได้ทดลองและเปิดตัวมากมาย อาทิ เวอร์จิ้นกาแลกติก, บลูออริจิน (Blue Origin) และสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ของเจ้าพ่อทวิตเตอร์อย่าง อีลอน มัสก์ (Elon Musk)

ปลายปีที่ผ่านมา สเปซเอ็กซ์ได้เปิดเที่ยวบินสุดพิเศษ พาพลเรือนขึ้นไปสถานีอวกาศนานาชาติ ผ่านการบริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำส่วนตัว โดยเที่ยวบินดังกล่าวดำเนินการโดยบริษัท Axiom Space ผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศ ซึ่งวางแผนจะให้บริการภารกิจในเชิงพาณิชย์ และมีเป้าหมายจะเป็นเจ้าของและดำเนินการสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลกในปี 2027 แน่นอนว่า ดาวอังคารคืออีกหนึ่งเป้าหมายที่หลายบริษัทนำเที่ยวอวกาศได้หมายตาในการพานักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชม

Olympus Mons หรือภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล

Olympus Mons เป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล ภูเขาลูกนี้อยู่บนดาวอังคาร ในเขตภูเขาไฟธาร์ซิส (Tharsis) ปากปล่องภูเขาไฟมีความกว้างกว่า 60 กิโลเมตร สูงกว่า 25 กิโลเมตร เกือบ 3 เท่าของยอดเขาเอเวอเรสต์บนโลก และตัวภูเขาไฟมีขนาดพอๆ กับรัฐแอริโซนา

ภูเขาไฟ Olympus Mons มีลักษณะเป็นรูปโล่ขนาดใหญ่ ก่อตัวขึ้นจากลาวาที่ไหลลงมาตามทางและเย็นตัวลง ทำให้เกิดทางเดินเขาซึ่งมีความชันเฉลี่ยอยู่ที่ 5% เท่านั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่หากสามารถลงจอดในบริเวณใกล้เคียง จะสามารถพานักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปเยี่ยมชมบริเวณยอดเขาได้

อีกทั้งบนยอดเขามีลักษณะคล้ายแอ่งน้ำที่งดงาม กว้างประมาณ 85 กิโลเมตร ก่อตัวขึ้นจากหินหนืดที่เย็นตัวลงและพุพังลงจนกลายเป็นแอ่งลึกลงไป

เขตภูเขาไฟธาร์ซีส (Tharsis Volcanoes)

เมื่อปีนข้ามเขา Olympus Mons มาไม่ไกล จะมีภูเขาไฟขนาดมหึมากว่า 12 ลูก กินพื้นที่กว้างประมาณ 2,500 ไมล์ (ประมาณ 4,000 กิโลเมตร) ภูเขาไฟเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะใหญ่กว่าภูเขาไฟบนโลก เพราะดาวอังคารมีแรงดึงดูดต่ำกว่า ทำให้ภูเขาไฟสูงขึ้น โดยภูเขาไฟเหล่านี้อาจปะทุมานานถึง 2 พันล้านปี หรือครึ่งหนึ่งของประวัติศาสตร์ดาวอังคาร

ทั้งนี้ ภาพที่แสดงภูเขาไฟนี้ คือเขตธาร์ซีสทางตะวันออก ถ่ายโดยยานอวกาศ Viking 1 ในปี 1980 บริเวณขอบด้านซ้ายของภาพจะเห็นภูเขาไฟรูปโล่ 3 ลูกความสูงประมาณ 16 ไมล์ (ประมาณ 25 กิโลเมตร) ได้แก่ Ascraeus Mons, Pavonis Mons และ Arsia Moon

หุบผา Valles Marineris

ดาวอังคารไม่เพียงเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะเท่านั้น แต่ยังเป็นหุบเขาลึกที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะอีกด้วย

จากข้อมูลของ NASA เผยว่าหุบผา Valles Marineris ตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร มีความยาวกว่า 1 ใน 4 ของเส้นรอบวงของดาว และมีความยาวกว่า 4,000 กิโลเมตร ยาวกว่าแกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) เกือบ 10 เท่า ทั้งยังมีความลึกมากกว่าหลายเท่าตัว

นอกจากนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าหุบผาแห่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับการก่อตัว โดยหนึ่งในนั้นคือหุบผาที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำที่ไหลเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน จนทำให้เกิดร่องรอยความสวยงามของหุบผาแห่งนี้

ขั้วเหนือ-ใต้ของดาวอังคาร (The North and South Poles)

ดาวอังคารเองก็มีบริเวณขั้วโลกเหนือ-ใต้ เช่นเดียวกับโลก เป็นบริเวณที่มีน้ำแข็งปกคลุม ซึ่งมีการสำรวจโดยยานฟีนิกซ์ในปี 2551

อุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้นั้นเย็นจัดจนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ควบแน่นจากชั้นบรรยากาศกลายเป็นธารน้ำแข็ง โดยการเคลื่อนที่ของน้ำแข็งในบริเวณขั้วโลกนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสภาพอากาศบนดาวอังคารที่ทำให้ลมและพายุเกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี บริเวณนี้เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวทัวร์ชมดาวอังคารไม่ควรพลาด

Gale Crater and Mount Sharp (Aeolis Mons) หรือสถานที่ค้นพบหินดอกไม้

Gale Crater มีชื่อเสียงจากการลงจอดของยานสำรวจ Curiosity ในปี 2012 และมีการค้นพบหลักฐานทางธรณีวิทยามากมายเกี่ยวกับทฤษฎีที่ว่าในอดีตดาวอังคารเคยมีน้ำ

หนึ่งในการค้นพบที่น่าตื่นเต้นที่สุด คือการค้นพบวัตถุโมเลกุลอินทรีย์ที่ซับซ้อนในภูมิภาคนี้ โดยเป็นหินที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายดอกไม้ ที่ถูกค้นพบภายในหินอายุ 3.5 พันล้านปี

นอกจากนี้ นักวิจัยยังค้นพบความเข้มข้นของมีเทนในชั้นบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล โดยก๊าซมีเทนคือองค์ประกอบที่จุลินทรีย์สามารถผลิตขึ้นได้ และอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร

หุบเขาเมดูเซฟอสเซ (Medusae Fossae)

หุบเขา Medusae Fossae เป็นหนึ่งในสถานที่แปลกประหลาดที่สุดบนดาวอังคาร โดยหลายคนคาดเดาว่าคือที่เก็บหลักฐานของ UFO

จากข้อมูลของนาซาอธิบายว่าโพรง Medusae Fossae เป็นภูเขาไฟขนาดใหญ่ มีขนาดประมาณ 1 ใน 5 ของสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเวลาผ่านไป หุบเขาดังกล่าวถูกกระแสลมกัดเซาะจนทำให้กลายเป็นรูปทรงที่สวยงาม แต่นักวิทยาศาสตร์ยังจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเรียนรู้ว่าภูเขาไฟเหล่านี้ก่อตัวได้อย่างไร

หนึ่งในข้อสันนิษฐานคือ โพรงเกิดจากการปะทุของภูเขาไฟครั้งใหญ่หลายร้อยครั้งในช่วง 500 ล้านปีของดาวอังคาร การปะทุเหล่านี้ทำให้สภาพอากาศของดาวเคราะห์แดงอุ่นขึ้นเนื่องจากก๊าซเรือนกระจกจากภูเขาไฟลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และกลายสภาพเป็นหุบเขา Medusae Fossae ในที่สุด

หุบเขาสไลด์ลึกเฮเล (Recurring Slope Lineae in Hale Crater: RSL)

ลักษณะพื้นผิวของดาวอังคารที่เป็นหลุมบ่อลึกจนถึงภูเขาสูง ส่วนหนึ่งมักจะเกิดจากร่องรอยการชนอุกกาบาตที่ตกใส่พื้นผิวของดาวอังคาร ทำให้สภาพพื้นผิวส่วนใหญ่เป็นเส้นลาดเอียง ไม่มีความสม่ำเสมอ และหุบเขาสไลด์ลึกเฮเลคือหนึ่งในสถานที่เหล่านั้น

Ghost Dunes in Noctis Labyrinthus and Hellas basin หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ ‘เนินทรายผี’

มีหลักฐานมากมายในอดีตที่บ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยน้ำ โดยเฉพาะในบริเวณเนินทรายผี นักวิจัยกล่าวว่าพื้นที่เหล่านี้เคยมีเนินทรายสูงหลายสิบเมตร ต่อมา เนินทรายถูกน้ำท่วมโดยลาวาหรือน้ำ ซึ่งรักษาฐานเอาไว้ในขณะที่ยอดถูกกัดเซาะออกไปจากกระแสลม

เนินทรายเก่าแก่นี้แสดงให้เห็นว่า กระแสลมเคยพัดผ่านบนดาวอังคารในยุคโบราณอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้นักภูมิอากาศวิทยาทราบข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในยุคโบราณของดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ รวมถึงข้อมูลที่น่าตื่นเต้น เช่น อาจเคยมีจุลินทรีย์ซ่อนอยู่ในบริเวณกำบังของเนินทรายเหล่านี้ ซึ่งเป็นจุดที่ปลอดภัยจากรังสีและลมที่อาจจะพัดพาพวกมันออกไป

ที่มา

https://www.space.com/41254-touring-mars-red-planet-road-trip.html

https://www.voathai.com/a/space-tourism-mars-booming-nasa-china-uae-blue-origin-virgin-galactic/6380014.html

https://spaceth.co/its/

Tags: